จี้ทูตพาณิชย์เดินเกม 100 กิจกรรมดันเป้าส่งออกโต 15% ผู้ประกอบการรวมพลเกาะติดตลาดเออีซี ทูตอาเซียนผนึกกำลังชี้โอกาสการค้า-ลงทุน ทูตภูมิภาคอเมริกาเหนือฟุ้งสินค้าคลายเครียดขายดี
นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานเปิดกิจกรรมเอ็กซ์สปอร์ตคลีนิก พร้อมการเสวนา “การเจาะตลาดต่างประเทศให้ประสบความสำเร็จ”เพื่อผลักดันการส่งออกของไทยให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 15% หรือ 224,600 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ว่าในครึ่งปีหลัง 2554 ได้กำชับให้ทูตพาณิชย์ 56 สคร. หรือ สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศทั่วโลกทำกว่า 100 กิจกรรมให้เป็นไปตามเป้าหมายตัวเลขการส่งออกที่รมว.พาณิชย์ พรทิวา นาคาศัย ตั้งเป้าไว้
“มีผู้สนใจเข้าร่วมฟังราว 800 คน โดยผู้ประกอบการกว่า 230คนสนใจฟังข้อมูลเชิงลึกของกลุ่มอาเซียนมากที่สุด เนื่องจากการรวมเป็นตลาดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี)ในปี 2558 เป็นที่จับตามาก จึงได้เน้นให้ทูตพาณิชย์ให้ข้อมูลแบบหมดเปลือกเพื่อการตัดสินใจการค้าลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ”นางนันทวัลย์ กล่าวและว่า สำหรับปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันและค่าเงินนั้น โดยค่าเงินในช่วงที่ผ่านมามีเสถียรภาพดีส่งผลดีต่อการส่งออก ส่วนราคาน้ำมันนั้น ทั้งคู่แข่งและคู่ค้าของไทยได้รับผลเหมือนกัน จึงไม่มีใครได้เปรียบเสียบเปรียบ
นางจีรนันท์ วงษ์มงคล ผอ.สคร.พนมเปญ ประเทศกัมพูชา กล่าวว่า การสู้รบตามแนวชายแดนส่งผลกระทบต่อโอกาสการค้าระหว่างสองประเทศ รวมถึงการท่องเที่ยว จึงทำให้เวียดนาม จีน เกาหลีและญี่ปุ่นเข้ามาชิงส่วนแบ่งตลาด แต่เชื่อว่าเมื่อเหตุการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ประกอบกับมีเออีซีเป็นตัวเร่ง ตลาดกัมพูชาก็ยังเป็นแหล่งวัตถุดิบ การค้าและลงทุนที่มีอนาคตแน่นอน
นางประนอมศรี โสมขันเงิน ผอ.สคร.โฮจิมินห์ซิตี้ กล่าวคาดการณ์ว่า ในปลายปีนี้เวียดนามอาจจะลดค่าเงินดองอีกเป็นครั้งที่ 6 เพื่อลดการขาดดุลการค้า ซึ่งจะส่งผลถึงอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก เงินกู้(27%)และเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงกฎ ระเบียบบ่อยครั้งและความไม่มีเสถียรภาพค่าเงิน ทำให้ผู้ประกอบการที่จะเข้าไปลงทุนอาจต้องคิดหนัก ภายหลังจากที่หลายประเทศเข้าไปลงทุนในเวียดนามจนเกือบอิ่มตัว
ทั้งนี้เวียดนามเป็นตลาดที่มีการบริโภคสูง โดยประชากรกว่า 50% หรือ 44 ล้านคน เป็นกลุ่มคนรุ่นเยาว์และคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง เพราะรับกระแสบริโภคนิยม ตอบรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาดโลกได้รวดเร็ว สามารถสื่อสารกันภายในเครือญาตอย่างมีประสิทธิผล “รัฐบาลเวียดนามตั้งเป้าหมายยกระดับให้ประเทศกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมในอีก 10ปีข้างหน้า เนื่องจากรายได้ของประชากรต่อคนต่อปีพ้นขีดประเทศยากจนแล้ว โดยในปีนี้คาดว่าจะสูงถึง 1,300 เหรียญสหรัฐฯ ภายใต้จีดีพีเติบโต 7% ปัจจุบันมีการเร่งแก้ไขกฎระเบียบต่างๆ ให้สอดรับกับเออีซีในปี 2558 และการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ)กับ15 ประเทศ ซึ่งจะเป็นโอกาสของไทยด้านค้าขายและแหล่งวัตถุดิบสำคัญของไทย”นางประนอมศรี กล่าว
รายงานข่าวจากกรมส่งเสริมการส่งออก แจ้งว่า สถานการณ์ตลาดภาพรวมของสหรัฐฯและแคนาดานั้น สหรัฐฯต้องการเข้ามาทำเอฟทีเอกับประเทศในอาเซียน โดยเฉพาะประเทศ จีน อินเดีย เกาหลี โดยกลุ่มสินค้าที่มีแนวโน้มดีจะเป็นสินค้าจำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน และสินค้าคลายเคลียด อาทิ บุหรี่ เครื่องสำอาง ของตกแต่งบ้าน เนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมาทำให้ผู้คนต้องหาทางออกในการระบายความเครียด
ตลาดและช่องทางในการค้าระหว่างประเทศที่น่าสนใจตลาดเฉพาะ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล โรงแรม สนามกีฬา เรือสำราญ เรือนจำ และซุปเปอร์มาเก็ต ตลาดเหล่านี้เป็นตลาดที่มีกำลังซื้อจำนวนมาก โดยเฉพาะในเรือนจำที่มีอัตราการเพิ่มจำนวนนักโทษเพิ่มมากขึ้น นอกจากนั้นพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เช่นการรับประทานอาหารสำเร็จรูปมากขึ้น โดยกลุ่มเป้าหมายที่น่าสนใจแบ่งออก ได้แก่ 1.ฮิสแปนิส( Hispanic) ที่มีจำนวนมากขึ้นในอเมริกา 2.คนอินเดีย จีน เวียดนาม ลาว 3.คนอ้วน ในขณะนี้รัฐบาลมีการสนับสนุนให้คนลดความอ้วน โดยมีกิจกรรม โครงการต่างๆเพื่อเข้าไปช่วยเหลือคนโรคอ้วน ทั้งนี้กลุ่มเป้าหมายนี้เป็นกลุ่มที่น่าสนใจ ในการส่งออกสินค้าเพื่อสุขภาพ 4.ผู้สูงอายุc และ 5.สัตว์เลี้ยง
ทั้งนี้สินค้าที่เหมาะกับปัจจุบันที่มีความต้องการสูง คือ สินค้าเกี่ยวกับมะพร้าว Healthy food trend สินค้าที่มีการสนับสนุนความยั่งยืน ในการประหยัดพลังงาน การรักษาสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
สำหรับตลาดแคนนาดานั้น มีความต้องการสินค้าเกษตรกรรม เช่น เนื้อสัตว์ ผักผลไม้ ทั้งนี้เรามีคู่แข่งคือ เวียดนาม จีน เม็กซิโก ที่ส่งออกสินค้าเหล่านี้เข้ามายังแคนาดา โดยแคนาดายังเป็นประตูอีกช่องทางหนึ่งที่จะทำให้เราสามารถนำสินค้าไปจากแวนคูเวอร์ไปยังอเมริกาเหนือ แต่เนื่องจากประเทศไทยไม่สามารถส่งสินค้าทางอากาศเข้าไปยังแคนาดาได้โดยตรงทำให้การขนส่งทางอากาศมีราคาสูง หากเราจะแข่งขันกับประเทศในแถบอเมริกาใต้ที่มีเขตการค้าเสรีระหว่างกัน
แนวโน้มสินค้าในตลาดจะมีลักษณะคล้ายกับอเมริกา โดยเฉพาะ baby boomer ที่มีความต้องการสินค้า เวชภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม เกมส์ฝึกสมอง และการท่องเที่ยว
นอกจากนี้ประเทศเม็กซิโก ประเทศนี้เป็นประเทศที่มีความสามารถด้านการผลิตพอสมควร หากเราต้องการนำสินค้าไปขายยังสหรัฐฯเราสามารถไปผลิตในเม็กซิโก เพื่อส่งสินค้าไปยังประเทศในแถบอเมริกา เพื่อใช้มาตรการการค้าเสรีจากประเทศเหล่านี้
ที่มา: http://www.depthai.go.th