ปี 2554 เป็นปีที่ดีของการทำธุรกิจอัญมณีและการปรับตัวขึ้นของระบบเศรฐกิจที่ซบเซามานานนับปี ซึ่งในการสำรวจของ National Jeweler’s State of Major 2011 ทำขึ้นทุกปี ในช่วง 30 ปีนี้ ได้วิเคราะห์ว่ามีหลายปัจจัยที่มีผลต่อการฟื้นตัวของธุรกิจอัญมณี
ในปีนี้เป็นครั้งแรกที่มีการเปลี่ยนแปลงในการทำรายงานประจำปีและได้รายงานเป็นข้อมูลออนไลน์ที่ให้ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตสามารถทราบข้อมูลของการพัฒนาธุรกิจต่างๆ ที่มีผลต่อการทำธุรกิจอัญมณีในช่วงปีที่ผ่ามมา ในส่วนท้ายของบทความนี้ National Jeweler’s State of Major 2011 ได้จัดอันดับ 50 North American Retail Jewelry Chains ซึ่งสำรวจจากจำนวนของร้านจำหน่าย และ National Jeweler’s $100 Million Super Sellers เป็นการจัดอันดับของธุรกิจอัญมณีรายใหญ่ระดับชาติ โดยดูจากรายได้ประจำปีของธุรกิจนั้นๆ
แต่ละรายงานเริ่มต้นด้วยสารบัญซึ่งสามารถใช้สืบค้นข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพของบริษัทที่ต้องการศึกษา ทั้งหมดนี้สามารถทำให้ผู้อ่านเข้าใจและสะดวกกับผู้ใช้ National Jeweler’s State of Major ออนไลน์มากกว่าการทำเป็นสื่อสิงพิมพ์เหมือนในอดีต
ในปีนี้ Mr. Michelle Graff เป็นผู้เขียนบทวิเคราะห์นี้ และ Mr. Ken Gessman ซึ่งเป็นผู้นำในการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ได้ตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้อีกครั้งหนึ่ง
โดยรวมแล้ว ในปี 2010 เป็นปีที่ยากลำบากของผู้ทำธุรกิจอัญมณีกับต่างประเทศและร้านขายอัญมณีระดับชาติส่วนใหญ่ไม่ได้คาดคิดไว้ล่วงหน้าถึงความยากลำบากอย่างนี้
37 รายของบริษัทอัญมณีที่มียอดขาย 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่ National Jeweler’s 2011จัดทำรายชื่อนั้น มี 25 ราย รายงานว่ายอดขายของบริษัทนั้นเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ในขณะที่มี 12 ราย รายงานว่ามียอดขายที่ลดลง ซึ่ง 5 บริษัทใหญ่ เช่น Bulgari Corp of America, Van Cleef & Arpels, Harry Winston, DeBeers Diamond Jewellers และ Robbins Brothers มียอดขายที่เกินกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ และในปี 2010 การขยายตัวของบริษัทอัญมณีในสหรัฐอเมริกาที่มียอดขายเกินกว่า 100 ล้านเหรียญนั้นเพิ่มขี้นจาก 32 บริษัทเป็น 37 บริษัท การเพิ่มขึ้นนี้มีความหมายอย่างมากในธุรกิจอัญมณีของสหรัฐ
นักวิเคราะห์ด้านอุตสหกรรมธุรกิจอัญมณี Mr. Ken Gassman ให้ข้อมูลว่า ในปี 2010 ที่มีการเพิ่มขึ้นของบริษัทในการจัดอันดับของ National Jeweler’s State นั้น บางบริษัทมียอดขายขึ้นๆ ลงๆ มาตั้งแต่ปี 2009 ทำให้มีความแปลกใจอย่างมากต่อผลการสำรวจ เพราะปรากฎว่าปี 2010 เป็นปีที่ยอดขายอัญมณีอยู่ในอัตราที่สูงมาก ซึ่ง Mr. Ken Gassman กล่าวว่า ในภาพรวมธุรกิจอัญมณีในสหรัฐอเมริกาได้ประโยชน์กับการฟื้นตัวกลับมาของภาวะเศรษฐกิจที่กำลังจะดีขึ้นและกลับมาเป็นอย่างเดิมในไม่ช้าและคิดว่าในปี 2011 จะดีขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ดี ไม่ทุกประเภทของอัญมณีที่ฟื้นกลับมาทั้งหมดเช่น Jewelry specific chain เสียส่วนแบ่งการตลาดไปมากในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำในจำนวน 12 บริษัท มีรายงานว่ามียอดขายตกต่ำในปี 2010 มี 7 บริษัทเป็น Jewelry specific chain คือ Zale Corp, Fred Meyer Jewelers, Birks& Maryors, Ben Bridge Jewelry, Ultra Store, Samuels Jewelers and Goldenwest Diamond Crop, The jewelry Source and The Jewelry Factory.
บริษัทที่มียอดขายสูงนั้นกลับเป็นผู้ที่ขายสินค้าราคาแพง (high-end chain) เช่น บริษัท Tiffany & Co. มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 12, บริษัท Cartier and VanCleef & Arpel มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 20, บริษัท Bulgari มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 10, บริษัท De Beers Diamond Jewellers มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 และ บริษัท Harry Winston มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 53
อย่างไรก็ตาม ร้านค้าที่ไม่ได้ขายสินค้า High—end เช่นบริษัท Key Jewelers and Jared the Galleria of Jewelry ก็มีผลประกอบการในปี 2010 ที่ดีและจนถึงปลายปีมียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 8
บรรยากาศในขณะนี้ใกล้เคียงกับช่วงปี 2007 ที่เกิดภาวะเศรษฐกิจซบเซา คือ สินค้าระดับ high-end ยังคงขายได้ขณะที่สินค้าระดับกลาง-ต่ำประสบปัญหามาก Mr. Ken Gassman กล่าวว่า“เราเห็นสินค้าราคาแพงสามารถขายได้ในภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาเพราะผู้บริโภคระดับบนยังมีกำลังซื้ออยู่และยินดีที่จะจ่ายเพิ่มขึ้นสำหรับสินค้าอัญมณี (เสมือนเป็นการลงทุนประเภทหนึ่ง)”
คำถามที่ว่า ผู้บริโภคที่ไม่ซื้ออัญมณีกับร้านค้า Chain store ขนาดใหญ่ไปซื้ออัญมณีจากที่ไหน คำตอบคือ ผู้บริโภคหันไปจับจ่ายใช้สอยในร้านค้าเช่น Costco, Walmart, J.C Penney และ ในอินเตอร์เน็ต ผู้บริโภคส่วนใหญ่มองหาสินค้าราคาถูกเป็นหลัก
“ราคาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสินค้าอัญมณีในภาวะที่เศรษฐกิจซบเซา” Mr. Ken Gassman กล่าวว่าไม่มีอะไรที่ทำให้ผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าได้หากพวกเขารู้สึกว่าสามารถซื้อของได้ในราคาที่ถูกลงและมีคุณภาพเท่าเดิม ( Specialty Chain Jewelers)
สำหรับห้างสรรพสินค้า สินค้ายอดขายเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 1-2 แต่จะมีบางรายที่มียอดขายเพิ่มสูงขึ้นเกินค่าเฉลี่ยได้แก่ ห้างสรรพสินค้า Saks Fifth Avenue มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 และ Macy’s ยอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 แต่ก็ยังทำให้อันดับของ Macy’s ในรายซื่อร้านค้าที่มียอดขาย 100 ล้านเหรียญตกลงไปอยู่ที่ อันดับที่ 5 จากอันดับที่ 4
สำหรับกลุ่มร้านค้าที่ขายสินค้าลดราคาอย่างเช่น Warmart, Kohl’s และ T.J. Maxx ยอดขายเพิ่มขึ้นอยู่ประมาณที่ร้อยละ 2-5 ในขณะที่ การขาย Pure-play ทางอินเตอร์เน็ตเพิ่มขึ้นในอัตราเลขสองหลัก
บริษัท Blue Nile ในปลายปี มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ในขณะที่ยอดขายอัญมณีและเครื่องประดับใน Amazon.com เพิ่มขึ้นร้อยละ 20
Mr. Ken Gassman กล่าวว่า ร้านจำหน่ายสินค้าทาง อินเตอร์เน็ตถึงแม้จะมียอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ก็ยังไม่มีผลในส่วนแบ่งตลาดที่ชัดเจน
ยอดขายในสื่อต่างๆ เช่น TV มีผลประกอบการที่แตกต่างกันได้แก่Jewelry television มียอดขายที่เพิ่มขึ้นร้อยละ14 และบริษัท Shop NBC มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 บริษัท QVC ลดลงร้อยละ14 และบริษัทHSN ลดลงร้อยละ1
ในขณะที่กลุ่มของบริษัทที่มีรายชื่ออยู่ในNational Jeweler’s $100 Million Super Sellers มียอดขายที่เพิ่มขึ้น แต่ในปี 2010 ไม่มีบริษัทไหนเลยที่มีการขยายตัวของบริษัท
ในการจัดอันดับของ National Jeweler ปี 2011นั้น 50อันดับแรกของ Retail Jewelry chains ในอเมริกาเหนือโดยการนับจำนวนร้านค้านั้น มี 2 บริษัทใน 10 อันดับแรก คือ Tiffany & Co. ที่มีร้านค้าเพิ่มขึ้นจาก 79 ร้าน เป็น 84 ร้าน และ บริษัท Na Hoku เปิดร้านเพิ่มขึ้น 3 ร้าน
ส่วน Spence Diamonds ได้ออกจากตลาดสหรัฐโดยสิ้นเชิงและบริษัท Dunkin’s Diamonds ที่เคยอยู่ในอันดับ 46 เมื่อปี 2010 โดยมีร้านค้า 8 ร้าน ในปีนี้ได้หลุดจาก 50 อันดับแรกเนื่องจากบริษัท Dunkin’s Diamonds ไม่สามารถคงร้านค้าไว้ที่ 8 ร้านได้ ซึ่งเป็นจำนวนร้านค้าขั้นต่ำของการพิจารณาจัดอันดับ ในปัจจุบันนี้ บริษัท Dunkin’s Diamonds มี 7 สาขา 5 ร้านในรัฐโอไฮโอ และ 2 สาขาในรัฐฟลอริดา ส่วนบริษัท R.J Financial / Romano’s Jewelry อยู่อันดับที่ 44 ในปีที่แล้วมี 9 ร้านได้ทำการควบรวมกิจการและมีจำนวนร้านต่ำกว่า 8 ร้านค้า
Mr. Ken Gassman กล่าวว่า บริษัท Chain store ขนาดใหญ่ได้ลดจำนวนร้านค้าลงโดยเลือกปิดสาขาที่ไม่มีกำไรและช่วงหลังเศรษฐกิจซบเซา ก็จะเลือกมากขึ้นสำหรับสถานที่จะเปิดร้านใหม่ นอกจากนี้ก็จะมีการเปิดร้านในอินเตอร์เน็ตและ Mobile Space มากขึ้น
Mr. Ken Gassman กล่าวว่า เป็นการถูกต้องที่จะปิดร้านที่ไม่ทำกำไรในภาวะเศรษฐกิจซบเซาเป็นสาเหตุทำให้หลายบริษัทหันกลับมาพิจารณาวางแผนธุรกิจของตนใหม่
การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดใน 360 วันที่ผ่านมาจนถึงเดือนมกราคม คือการที่ Mr. Terry Burman เกษียณลงหลังจากทำงานมานานกว่า 10 ปี ในตำแหน่งผู้บริหารบริษัท Signet Jewelry Ltd. บริษัทแม่ของบริษัท Sterling โดย Mr. Michael Barnes ได้เข้ามาบริหารแทนซึ่งก่อนหน้านั้น Mr. Michael Barnes เป็นประธานบริษัท Fossil มาก่อน
Mr. Michael Barnes ยังไม่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อใดหลังการเข้ามารับตำแหน่งใหม่นี้จึงเกิดคำถามตามมาว่าในอนาคต กับบริษัท Signet Jewelry อาจจะขยาย line สินค้าอื่นซึ่งในกรณีนี้ตัวแทนของบริษัทได้ตอบผ่านทาง e-mail ว่ายังไม่มีแผนใดๆ ในขณะนี้
Mr. Jeff Taraschi ซึ่งเป็นนักวิเคราะห์อุตสาหกรรมกล่าวว่า ไม่จำเป็นที่ Mr. Michael Barnes เข้ามาบริหารบริษัท Sterling เพื่อที่จะขยายสินค้าอื่นนอกเหนือจากสินค้าอัญมณี เช่น แว่นตากันแดดและผ้าผันคอราคาแพง (Scarves) ขายควบคู่กับอัญมณีของบริษัท Leo diamonds และบริษัท Le Vian Jewelry. แต่มันทำให้เห็นว่า Sterling หันมาให้ความสนใจกับการสร้างแบรนด์มากขึ้น
จากประวัติการทำงานของ Mr. Michael Barnes กับบริษัท Fossil ซึ่งเป็นผู้บริหารแบรนด์หลายแบรนด์ในตลาดหลายระดับ ซึ่งบริษัท Fossil ขายนาฬิกาภายใต้ 6 แบรนด์ ของบริษัทเองและผลิตนาฬิกาภายใต้แบรนด์ของผู้อื่น 9 แบรนด์ ยกตัวอย่างเช่น Burberry, DKNY and Marc by Marc Jacobs เป็นต้น บริษัทยังมีอีก 2 ยี่ห้อซึ่งเป็นอุปกรณ์ Accessories คือ Fossil และ Relic และขายสินค้าเครื่องประดับแฟชั่น ภายใต้ตรา Fossil, Diesel และ Emporio Armani อีกด้วย
Mr. Jeff Taraschi กล่าวอีกว่า Mr. Michael Barnes จะใช้ความสามารถของเขาในการบริหาร Sterling ซึ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา Sterling ก็มีผลประกอบธุรกิจที่ดีเยี่ยมอยู่แล้ว
บริษัท Sterling ไม่ใช่เป็นบริษัทเดียวที่เปลี่ยนตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงในปี 2010 เมื่อเดือนกันยายน บริษัท Zale ได้ประกาศว่า Mr. Theo Killio จะมาเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ถาวรของบริษัท ซึ่งก่อนหน้านี้ Mr. Theo Killio ทำงานกับบริษัท Neal Goldberg มาก่อนจนถึงเดือน มกราคม 2010
Mr. Jeff Taraschi ได้ให้ความมั่นใจว่า Mr. Theo Killio จะสามารถบริหารบริษัท Zale ให้ดีขึ้นเพราะที่ผ่านมาบริษัทขาดจุดหมายที่ชัดเจนและเปลี่ยนระบบการจัดการหลายครั้งทำให้ต้องเสียส่วนแบ่งทางการตลาดในกับคู่แข่งเช่นบริษัท Sterling ซึ่ง Mr. Theo Killio จะสามารถทำให้บริษัทกลับมาแข่งขันในตลาดสินค้าอัญมณีได้ใหม่อีกครั้ง
Mr. Jeff Taraschi กลาวว่า ถ้าคุณไปยังร้าน Zale วันนี้และคุณเปรียบเทียบกับร้าน Zale ใน 1 ปีที่ผ่านมาร้าน Zale จะดูดีขึ้นมีการจัดการที่เป็นระบบและทำให้สามารถเรียกลูกค้าเดิมที่เคยชื่นชอบ brand ให้กลับมาใช้บริการ
แต่สิ่งที่ Mr. Jeff Taraschi ยังไม่มีคำตอบคือ Zale มีแผนที่จะนำธุรกิจไปข้างหน้าอย่างไรในอนาคตโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความแตกต่างของสินค้าหรือสินค้าใหม่ เมื่อบริษัท Zale ต้องแข่งขันกับคู่แข่งทางการตลาดที่สำคัญเช่น บริษัท Le Vian และ บริษัท Open Hearts by Jane Seymour และบริษัท Kay Jewelers
“คำถามคือ อะไรที่ บริษัท Zale สามารถนำเสนอให้กับลูกค้าที่จะทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอีกแทนที่จะไปซื้อจะบริษัทคู่แข่ง”
Mr. Gassman กล่าวว่า อนาคต ของบริษัท Zale จะเป็นอย่างไรยังเป็นคำถามอยู่ เพราะบริษัทได้ผ่านความสับสนวุ่นว่ายในการบริหารการจัดการ ซึ่งเป็นอุปสรรคในการเติบโตของบริษัท ในขณะที่ บริษัท Sterling มีความสามารถในการจัดการกับการตลาดในภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซามากกว่าบริษัท Zale ซึ่ง บริษัท Zale ยังต้องใช้เวลาอีกนานในการปรับตัว
ในช่วงท้ายปี 2010 บริษัท De Beers ได้ประกาศว่าจะปิดหน่วยงาน Diamond Promotion Service (DPS) และ The Diamond Information Center (DIC) ซึ่งเป็นหน่วยโฆษณาประชาสัมพันธ์ซึ่งดำเนินการมาอย่างยาวนานเป็นการสิ้นสุดยุคของการทำการโฆษณาเครื่องประดับเพชรในตลาดสหรัฐอเมริกา
บริษัท De Beers ปัจจุบันคุมเพชรดิบประมาณ ร้อยละ 35 — 40 ของโลกเท่านั้น ดังนั้น De Beers จึงหันมาให้ความสำคัญส่งเสริมการขายและการกระตุ้นอุปสงค์ในส่วนของเครื่องประดับเพชรแบรนด์ของตัวเองคือ Forevermark
การประกาศของบริษัทได้ส่งผลต่อการความต้องการของผู้บริโภคเครื่องประดับเพชรในสหรัฐอเมริกาซึ่ง บริษัท De Beers จะไม่ใช้ คำพูดที่ว่า “A Diamond is Forever” หรือ คำที่ว่าการให้เพชรเป็นสิ่งเตือนความทรงจำ “Past Present and Future” เป็นจุดขายในการตลาดอีกต่อไป
ในปัจจุบันนี้ ร้านค้าต่างๆ ต้องการนำเสนอสินค้าใหม่ ๆ ให้กับลูกค้าโดยผ่านทางสื่อต่างๆ เช่น เวปไซต์ การสร้างวีดีโอใน Youtube หรือการสร้างโซเชียลมีเดีย เช่น Twitter และ Facebook การใช้ผู้ที่มีชื่อเสียงในสังคมในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ก็ทำให้ร้านค้ามีผู้เข้าร้านมากขึ้น
บริษัท Sterling Jewelers ประสบความสำเร็จอย่างมากในสินค้าที่เรียกว่า “Open Heart by Jane Seymour” สินค้าเปิดตัวใน ปี 2008 และใช้ชื่อตามศิลปินนักแสดง Jane Seymour เป็นจุดขาย
ในเดือนกรกฎาคม บริษัท Sterling ประกาศว่าจะเริ่มทำการขายสินค้าเครื่องประดับของเจ้าสาวเป็นสินค้าอัญมณีที่มีนักออกแบบชื่อดัง Neil Laneเป็นคนออกแบบและเป็นสินค้าของ Kay Jewelers ต่อมาอีกไม่กี่เดือน Helzberg Diamonds ประกาศว่าจะแข่งขันกับสินค้าของ Kay Jewelers โดยสินค้าที่ใช้ชื่อว่า “Judith Ripka Bridal” ออกจำหน่าย สินค้าcollectionเป็นการประสมระหว่างเครื่องประดับเพชรและออกแบบโดยนักออกแบบชื่อดังซึ่งหันมาออกแบบเครื่องประดับเจ้าสาว
ในขณะที่ บริษัท Sterling และบริษัท Helzberg แข่งขันกันทางด้านการออกแบบ ทางด้านห้างสรรพสินค้าก็ทำการการตลาดรูปแบบใหม่ เข่น JC Penney ได้ประชาสัมพันธ์ ว่าจะออกแบบสินค้าให้กับเจ้าสาวชุดใหม่โดยใช้ brand สินค้าที่เป็นที่นิยมในชุดแต่งงาน ในขณะที่ บริษัท Sears ได้ทำแผนการตลาดโดยใช้ David Tutera, พิธีกรรายการ My Fair Wedding ซึ่งเป็นreality show (WE TV) ในการโฆษณาสินค้า บริษัทต่างๆ กำลังที่จะหาช่องทางในการเพิ่มมูลค่าของสินค้าของตัวเองในขณะที่ ไม่สามารถใช้ขบวนการแบบเดิมที่ บริษัท De Beers เคยใช้เพื่อการจัดการในการตลาดเพื่อจูงใจผู้บริโภคในตลาดสินค้าอัญมณีเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
ในขณะที่ Helzberg และ Sterling เสาะหานักออกแบบเครื่องประดับชื่อดังเพื่อออกแบบ Collection เฉพาะให้ตนเองทางห้างสรรพสินค้าต่างๆ ใช้กลยุทธ์ที่ต่างออกไปเช่น JC Penney สร้างแบรนด์ใหม่สำหรับกลุ่มลูกค้าเจ้าสาว Sears สนับสนุนแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในวงการธุรกิจแต่งงาน การทำธุรกิจในปัจจุบันนี้ไม่ใช่เพียงแต่ว่าหาคู่ค้าที่มีความสามารถเท่านั้น ยังต้องหาคู่ค้าที่มีขื่อเสียงเป็นที่รู้จักอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ในปีที่ผ่านมาบริษัท QVC หาคู่ค้าในการทำการตลาดสินค้าตัวใหม่ในสินค้า costume and fine jewelry ซึ่งเป็นผู้มี่ชื่อเสียงเช่น Christie Brinkley, Pricilla Presley และ Melania Trump เป็นต้น นอกจากนี้ยังรวมถึง The Smithsonian Institute ผลิตเครื่องประดับที่ได้แบบจากพิพิธภัณฑ์ออกสู่ตลาดด้วย
Mr. Jeff Taraschi กล่าวว่า การทำการตลาดของบริษัท HSN เป็นผลสำเร็จอย่างสูงในการนำนักเทนนิสชื่อดัง Serena Williams และ Ramona Singer นักแสดงจาก The Real Housewives of New York City มาทำการโฆษณาสินค้าให้กับตนเอง
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ อินเตอร์เน็ตมีผลอย่างมากในการตลาดของสินค้าอัญมณีเช่น ร้านค้า online, mobile retailing และ social market ทำให้บริษัทต่างๆ ให้ความสำคัญต่อเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้นเพื่อจะเข้าถึงกลุ่มลูกค้า
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าบริษัทต่างๆ จะไล่ตามเทคโนโลยีได้ทันในระดับเดียวกัน แต่บริษัทที่ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นเครื่องมือที่เป็นประโยชน์ต่อการขายสินค้าได้อย่างโดดเด่นได้แก่ บริษัท QVC บริษัท HSN และ ShopNBC
จากรายงานการเงินของบริษัทที่มีสื่อการขายหลายประเภท แสดงให้เห็นว่า การขายสินค้า online ปัจจุบัน บริษัท HSN และบริษัท QVC นับเป็นรายได้ประมาณ 1 ใน 3 ส่วนของยอดขายทั้งหมดของ บริษัทShop NBCคิดเป็นร้อยละ 41และ Jewelry Television คิดเป็นร้อยละ 25 ของยอดขายทั้งหมด
ห้างสรรพสินค้าต่างฯ ได้ปรับตัวในการใช้ สื่อ online และหันมาให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีมากขึ้น
Macy’s ได้ทำ virtual fitting room ที่นครนิวยอร์ก ในเดือนกันยายน 2010 และเมื่อต้นปีที่ผ่านมาห้างต่างๆ มีแผนที่จะเพิ่มบุคลากรอีก 725 ตำแหน่งสำหรับการปรับปรุงการซื้อสินค้า online ซึ่งจะทำให้ลูกค้าตัดสินใจในการซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้นโดยการซื้อสินค้าผ่าน laptop และ โทรศัพท์มือถือ ส่วนห้างสรรพสินค้า JC Penny ได้ประกาศว่าในเดือนมกราคมจะเริ่มให้ความสนใจในสื่อ online มากขึ้น ในการขายสินค้าเครื่องประดับและในเดือนธันวาคมจะจัดทำ Facebook
ร้านค้าต่างๆ ได้ปรับเทคนิคในการการขาย โดยวิธีการที่เรียกว่า “ findmore smart fixture” เป็นวิธีการที่ให้ ผู้ที่ซื้อสินค้าสามารถเข้าไปดูในเวป JCP.com ที่ตั้งเป็น Kiosk ไว้ในห้างเพื่อหาสินค้าที่ตนต้องการได้ในขณะที่อยู่ที่ร้านค้า
ในส่วนของร้านขายสินค้าราคาถูกเช่น Kohl’s คาดว่าในปี 2011นี้จะมียอดขาย online ประมาณ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ประมาณ ร้อยละ 17 ของยอดรวมในการขายของร้านค้าในปี 2010
ร้านค้า Pure-play internet ได้รายงานเป็นปีที่มียอดขายสูง บริษัท Blue Nile มีรายได้ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 10 ในขณะที่ Amazon.com การขายอัญมณีเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ในเดือนเมษายน 2010 บริษัท Blue Nile ได้สร้างระบบ mobile ของ Blue Nile.com เพราะผู้บริหาร Mr. Diane Irvine เห็นว่าระบบ mobile นี้จะเป็นวิธีการซื้อสินค้าในอนาคต
ในส่วนของสินค้า Jewelry-specific chain บริษัท Tiffany&Co. เป็นผู้นำในด้านการตลาดสินค้าอินเตอร์เน็ต โดยรายงานว่าในส่วนของการขายทางอินเตอร์เน็ตนั้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 ในปี 2010 โดย Mr. Jeff Taraschi บอกว่าในส่วนของ e-mail marketing นั้นมีความชัดแจนมากในช่วงเทศกาล วันหยุด
แต่มี 2 บริษัทใหญ่ในวงการคือบริษัท Zale และ บริษัท Sterling กลับยังไม่มีการพัฒนาและส่งเสริมการขายทางอินเตอร์เน็ตทั้ง 2 บริษัทไม่มีรายงานตัวเลขการขายทางอินเตอร์เน็ตที่ชัดเจนแต่ บริษัท Zale กล่าวว่าการขายสินค้าทางอินเตอร์เน็ตได้เพิ่มมากขึ้นอย่างมากโดยมากว่าค่าเฉลี่ยที่ได้คาดการณ์ไว้
ส่วนในด้านของบริษัท Sterling ยังเป็นการสร้างระบบธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับร้านค้าและการส่งเสริม brand experience แต่ในอนาคตบริษัทจะต้องหันมาเห็นความสำคัญในการขายสินค้า online
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก
ที่มา: http://www.depthai.go.th