๑. เศรษฐกิจของอิตาลีในช่วง ๒ สัปดาห์แรกของเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔ ยังคงชะลอตัว โดยผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติอิตาลี ได้เปิดเผยว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจดังกล่าว ทำให้การลดงบประมาณขาดดุลและหนี้สาธารณะไม่เป็นไปตามเป้าหมาย และหากรัฐบาลต้องการลดงบประมาณขาดดุลให้เป็นไปตามเป้า จะต้องทำ GDP เพิ่มขึ้นให้ได้ ๒.๓% ในอีก ๓ ปีข้างหน้า ทั้งนี้ นอกเหนือจากมาตรการเข้มงวดด้านงบประมาณเพื่อขจัดการขาดดุลภายในปี ๒๕๕๗ ที่รัฐบาลอิตาลีเริ่มออกมาใช้แล้ว รัฐบาลควรมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ และการใช้จ่ายของประชาชนควบคู่ไปด้วย
๒. สำนักข่าว ANSA รายงานว่ารายได้ครัวเรือนในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๔ ยังคงตกต่ำต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการยืนยันว่าเศรษฐกิจยังคงต้องดิ้นรนเพื่อให้ฟื้นตัวจากวิกฤติเศรษฐกิจต่อไป อัตราเงินเฟ้อที่ผันผวน ส่งผลให้กำลังซื้อของครัวเรือนลดลง ๐.๘% (ทั้งๆที่อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมเพิ่มขึ้น ๑.๑%) การออมของครัวเรือนลดลง ๐.๙% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (ค่าเฉลี่ยเงินออมอยู่ที่ประมาณ ๑๑.๕% ของรายได้ครอบครัว)
ทั้งนี้ การใช้จ่ายเพื่อบริโภคระหว่างประชากรทางเหนือและตอนใต้ของอิตาลียังคงมีความแตกต่างโดยในปี ๒๕๕๓ ครัวเรือนในแคว้นลอมบาร์เดียรอบๆมิลาน ใช้จ่ายอยู่ที่ ๒,๘๙๖ ยูโร/เดือน ขณะที่ครัวเรือนในซิชิลีใช้อยู่ที่ ๑,๖๖๘ ยูโร/เดือน (ค่าเฉลี่ยของครัวเรือนทั้งอิตาลีอยู่ที่ ๒,๔๕๓ ยูโร/เดือน เพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๕๒ ๐.๕%)
๓. ประธานาธิบดีนาโปลิตาโนแห่งอิตาลีได้ลงนามในพระราชกฤษฎีกามาตรการเข้มงวดด้านงบประมาณของรัฐบาลวงเงิน ๔๘,๐๐๐ ล้านยูโร ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการขาดดุลงบประมาณให้ได้ ๐.๒% ของ GDP ในปี ๒๕๕๗
รัฐบาลยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินมาตรการเข้มงวดโดยตัดลดงบประมาณลง ๒ พันล้านยูโรในปี ๒๕๕๔, และ ๑๗ พันล้านยูโรสำหรับด้านการออมเพื่อความผาสุกของประชาชน (๒ พันล้านยูโรในปี ๒๕๕๖ และ ๑๕ พันล้านยูโรในปี ๒๕๕๗)
ทั้งนี้ มาตรการเข้มงวดด้านงบประมาณในปี ๒๕๕๔ มีประเด็นหลักๆ ได้แก่ การตัดลดเงินสนับสนุนสำหรับกระทรวงต่างๆ และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น การเพิ่มภาษีของธนาคารด้านธุรกรรมทางการค้า และการบริโภคสำหรับรถยนต์ การหยุดจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างราชการ และการเก็บอากรใหม่สำหรับธุรกรรมในตลาดหุ้น รวมทั้งการปรับ แก้ไขระบบงบประมาณให้ง่ายยิ่งขึ้นโดยการแบ่งระบบภาษีออกเป็น ๓ ช่วง คือ ๒๐% ๓๐% และ ๔๐% (แทนระบบเดิมที่ใช้อยู่ปัจจุบันที่แบ่งเป็น ๕ ช่วง) ทั้งนี้หน่วยงานจัดอันดับความน่าเชื่อถือโดย Moody's และ Standard and Poor's ได้ออกมาเตือนว่าอิตาลีอาจถูกพิจารณาลดอันดับความน่าเชื่อถือลงซึ่งเป็นผลจากมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างต่ำและการมีหนี้สาธารณะสูงถึง ๑๒๐% ของ GDP
อย่างไรก็ดี คาดว่าในปี ๒๕๕๔ อิตาลีจะขาดดุลงบประมาณลดลงเหลือ ๓.๙% ของ GDP (ลดลงจากปี ๒๕๕๓ ที่ขาดดุล ๔.๖%) ซึ่งเป็นผลจากการออกมาตรการเข้มงวดด้านงบประมาณของรัฐบาล
๔. คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบพระราชกฤษฎีกาอนุมัติวงเงินกว่า ๗๐๐ ล้านยูโร เพื่อใช้ในการปฏิบัติการทางทหารในต่างประเทศ น้อยกว่าที่เคยตั้งเป้าไว้ ๒๐๐ ล้านยูโร ปัจจุบันอิตาลีมีหน่วยปฏิบัติการทางทหารในอัฟกานิสถาน เลบานอน และลิเบีย มีทหารประจำการ ๙,๙๕๐ นาย ซึ่งคาดว่า ๒,๐๗๘ นาย จะถูกถอนกำลังกลับมาภายในปลายปีนี้ ซึ่งจะทำให้ลดค่าใช้จ่ายไปได้ประมาณ ๑๔๒ ล้านยูโร
๕. สำนักงานวิจัยเกี่ยวกับสังคม (CENSIS) รายงานว่าคนอิตาลีนิยมใช้อินเตอร์เน็ตถึง ๕๐% ของประชากรทั้งหมด โดยผู้ใช้ ๘๗.๔% เป็นวัยรุ่นในช่วงอายุระหว่าง ๑๔-๒๙ ปี ส่วนผู้สูงอายุระหว่าง ๖๕-๘๐ปี ใช้อินเตอร์เน็ตได้ถึง ๑๕.๑% ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตส่วนมาก(๗๒.๒%) จบการศึกษาอย่างน้อยในระดับมัธยมศึกษา ขณะที่ผู้มีการศึกษาน้อยกว่าระดับดังกล่าวมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ต ๓๗.๗% ของผู้ใช้บริการทั้งหมด ผลวิจัยยังพบว่ายอดจำหน่ายสื่อสิ่งพิมพ์ในช่วง ๒ ปีที่ผ่านมาลดลง ๗% เนื่องจากวัยรุ่นอิตาลีกว่าครึ่งเลิกซื้อหนังสือพิมพ์
๖. สมาพันธ์เกษตรกรแห่งชาติ (COLDIRETTI) รายงานว่ายอดการส่งออกไวน์ และอาหารของอิตาลีเริ่มจะนำหน้าการส่งออกรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถที่ใช้ในการเกษตรกรรม และพาหนะอื่นๆ โดยจะเห็นได้จากในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๔ การส่งออกสินค้าเกษตรมีมูลค่า ๗.๑ พันล้านยูโร ขณะที่ การส่งออกยานพาหนะมีมูลค่า ๖.๖ พันล้านยูโร ทั้งนี้ในช่วง ๕ ปีที่ผ่านมา อิตาลีส่งออกสินค้าอาหารและไวน์เพิ่มขึ้น ๒๓% ในขณะที่การส่งออกสินค้ายานยนต์ลดลง ๑๑%
ภาคเกษตรกรรมของอิตาลียังคงมีแนวโน้มที่ดีและยังช่วยพยุงเศรษฐกิจอิตาลีไว้ด้วย โดยปี ๒๕๕๓ ที่ผ่านมาสามารถสร้างงานเพิ่มขึ้น +๖% ส่งออกเพิ่มขึ้น ๑๑% และเพิ่มรายได้ให้ภาครัฐ +๑.๒% แม้ว่าจะประสบปัญหาบ้าง เช่น เรื่องโรคในสุกร และโรคพืชผัก รวมถึง การแข่งขันทางการตลาดที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งประธานสมาพันธ์เกษตรกรแห่งชาติเห็นว่าจะทำให้ระบบกสิกรรมของชาติอยู่ในภาวะเสี่ยง เช่น ปัญหาเรื่องการชำระหนี้โควต้านม ที่รัฐบาลไม่ควรเลื่อนการชำระหนี้ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎ เนื่องจากไม่เป็นธรรมแก่ผู้ที่ปฏิบัติตามกฎ และชำระเงินตามเวลา
๗. ราคาน้ำมันในอิตาลีพุ่งขึ้นสูงสุดอีกครั้ง โดยมีราคาเฉลี่ยแต่ละบริษัท ดังนี้
Eni ๑.๕๗๙ ๑.๔๖๗ ESSo ๑.๖๑๓ ๑.๔๘๘ IP ๑.๕๙๕ ๑.๔๗๕ Q8 ๑.๖๐๐ ๑.๔๗๖ Shell ๑.๕๗๘ ๑.๔๖๑ Tamoil ๑.๕๘๗ ๑.๔๗๒ Total ๑.๕๙๙ ๑.๔๗๕
๙. ตัวชี้วัดเศรษฐกิจอิตาลี ณ วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔
รายการ จำนวน % เปลี่ยนแปลง % เปลี่ยนแปลง
เทียบกับเดือน/ เทียบกับช่วงเดียวกันปี
ไตรมาสก่อน ก่อน ๑. ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (มิ.ย.๕๔) -๐.๑% +๑.๗% ๒. คำสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรม +๐.๓% +๐.๙% (มิ.ย.๕๔) ๓.การบริโภค (พ.ค ๕๔) -๐.๑% +๑.๑% ๔.ภาวะเงินเฟ้อ (มิ.ย ๕๔) +๐.๑% +๒.๗% ๕.อัตราการจ้างงาน (พ.ค ๕๔) ๕๖.๙% +๐.๑% ๐%
(จำนวนคนที่ได้จ้างงาน
๒๒,๙๑๔,๐๐๐คน)
๖.อัตราการว่างงาน (พ.ค ๕๔) ๘.๑% +๐.๕% +๐.๔%
(จำนวนคนว่างงาน
๒,๐๑๑,๐๐๐ คน )
๗. การนำเข้า (เม.ย.๕๔) +๐.๘% +๒๐.๗% ๘. การส่งออก (เม.ย.๕๔) +๐.๘% +๑๒.๙% ๙. หนี้สาธารณะ (เม.ย.๕๔) ๑,๘๙๐ +๑.๒% +๔.๓%
(พันล้านยูโร) ที่มา: Confindustria, ConFcommercio, ISTAT, Bank of Italy
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงโรม
ที่มา: http://www.depthai.go.th