20 อันดับผู้ผลิตสินค้าอาหารทะเลในอเมริกาเหนือ

ข่าวเศรษฐกิจ Friday July 29, 2011 15:00 —กรมส่งเสริมการส่งออก

บริษัท Trident Seafoods บริษัท High Liner Seafoods บริษัท Beaver Street Fisheries และ สามบริษัทหลักในการผลิตสินค้าอาหารทะเลคือ บริษัท StarKist บริษัท Chicken of the Sea และบริษัท Bumble Bee เป็นบริษัทในกลุ่มผู้ผลิตอาหารทะเล 20 อันดับแรกจากการรายงานของนิตยสาร Sea Food Business

บริษัทผู้ผลิตสินค้าอาหารทะเลสนองความต้องการของผู้บริโภค ทั้งสำหรับกลุ่มร้านอาหารซึ่งต้องการวัตถุดิบที่ง่ายในการปรุงอาหารและเพื่อลดต้นทุนของร้านและกลุ่มลูกค้าทั่วไปที่ต้องประหยัดค่าใช้จ่ายแต่ยังคงต้องการบริโภคอาหารทะเล ซึ่งผู้ผลิตและนักวิเคราะห์กล่าวว่าการเพิ่มมูลค่าสินค้าให้กับสินค้าอาหารทะเลจะทำให้ยอดขายของอาหารทะเลเพิ่มขึ้นในภาวะเศรฐกิจที่กำลังจะฟื้นตัว ซึ่งการบริโภคอาหารทะเลในประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ประมาณ 16 ปอนค์ต่อคน ในช่วงหลายปีทีผ่านมา

การผลิตสินค้าอาหารทะเลประเภทพร้อมปรุงหรือเป็นอาหารพร้อมรับประทาน (Value- Added products) อาจจะเป็นกลยุทธ์ในการทำให้การบริโภคอาหารทะเลเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเปลี่ยนความคิดของผู้บริโภคที่ว่าอาหารทะเลยากต่อการนำไปประกอบอาหาร เมื่อดูอันดับของนิตยสาร SeaFood Business 2010 ในการจัดอันดับ 20 อันดับแรกของผู้ผลิตสินค้าอาหารทะเลของอเมริกาเหนือ ที่มียอดขาย 10.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ พบว่าบริษัทที่เป็นผู้นำในการผลิตและให้บริการอาหารทะเลและร้านค้าส่งอาหารทะเลพยายามที่จะลดความยุ่งยากในการปรุงอาหารทะเลให้กับลูกค้าออกไป

ขณะที่หลายบริษัทดูเหมือนมียอดขายสินค้าอาหารทะเลเพิ่มขึ้น หากแต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้นทุนของวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจถดถอยยังคงมีอยู่ ถึงแม้อาหารทะเลที่เป็นที่นิยมเช่น กุ้ง ทูน่า แซลมอน และ Whitefish เป็นสินค้าที่ขายได้กำไรในช่วงที่เศรษฐกิจของสหรัฐถดถอยและเริ่มที่จะประสบปัญหาเงินเฟ้อ แต่ก็เป็นสิ่งที่ท้าทายของธุรกิจสินค้าอาหารทะเลในขณะนี้

Mr. Henry Demone, CEO บริษัท Lunenburg ในเมือง Nova Scotia ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท High Liner Foods เป็นบริษัทที่อยู่อันดับ 7 ในการจัดอันดับในปี 2011 และมียอดขาย 602 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2010 กล่าวว่า “การทำราคาสินค้าปลาแซลมอนนั้นยากมาก ราคาของแซลมอนเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทไม่ได้ขายแซลมอนเลี้ยง ธุรกิจของเราคือจับปลาแซลมอนจากทะเล ทำให้ราคาแซลมอนของเราเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับราคาต้นทุนของเราเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังสูงไปสำหรับผู้บริโภค”

ยอดขายร้อยละ 60 ของบริษัท High Liner Foods เป็นการขายให้กับกลุ่มร้านอาหารและภัตตาคาร (Food Service) แต่ก็ยังต้องทำราคากับผู้ค้าปลีกอีก ธุรกิจสินค้าอาหารทะเลทั้งในประเทศแคนาดาและสหรัฐอเมริกามีการแข่งขันกันสูง (โดยประมาณ 2 ใน 3 ของผู้บริโภคสินค้าอาหารทะเลในประเทศสหรัฐอเมริกากินอาหารทะเลในร้านอาหาร) การเพิ่มมูลค่าสินค้าอาหารทะเลที่ประหยัดเวลาและขั้นตอนในการทำและราคาไม่แพง เป็นอาหารพร้อมรับประทาน ซึ่งบริษัทได้ผลิตแบรนด์ Fire Roasters และทำการโฆษณาสินค้าในงานแสดงสินค้า Boston Seafood Show ในปีนี้ บริษัทคาดว่า เป็นทางเดียวที่จะดึงผู้บริโภคให้กลับมาซื้อสินค้าอาหารทะเลในร้านค้าได้

Mr. Henry Demone กล่าวว่า “การที่มีวัตถุดิบอย่างต่อเนื่อง การความคุมสัดส่วนการผลิต ความสามารถในการตรวจสอบการผลิตและการรักษาปัจจัยต่างๆ เหล่านั้นให้คงที่ เป็นสิ่งที่เป็นจุดแข็งของแบรนด์และเป็นมูลค่าเพิ่มของบริษัท” แต่ราคาของสินค้าก็มักมีความสำคัญที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่สินค้าอาหารทะเลมีการแข่งขันกันในด้านราคาสูง ผู้ค้าปลีกที่ทำธุรกิจมานานกล่าวว่า แต่ละบริษัทมีการแข่งขันกันในด้านที่ตัวเองมีความถนัด (competition happens behind the glass shield)

Mr. Steve Lutz, ผู้บริหารระดับสูงของบริษัท Perishables Group กล่าวว่า “สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราเห็นคือการที่ผู้บริโภคให้ความสนใจในราคาของสินค้า ต้องการใช้เงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2008 เราจะเห็นว่ามีผู้บริโภคสินค้าอาหารทะเลมีจำนวนลดลง ผู้บริโภคเปลี่ยนการบริโภคสินค้าราคาแพงเป็นสินค้าราคาปานกลางและราคาถูก”

Mr. Steve Lutz ยังเน้นอีกว่าไม่ใช่กลุ่มลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจถดถอยเท่านั้นที่มีผลต่อแนวโน้มดังกล่าว แต่ผู้บริโภคทุกกลุ่มมีพฤติกรรมการบริโภคคล้ายกัน อย่างไรก็ตามสินค้าอาหารทะเลที่มีราคาแพงบางรายการมียอดขายเพิ่มขึ้นบ้างหลังจากที่ยอดขายต่ำมาระยะเวลาหนึ่งเช่น Lobster ในปีที่ผ่านเป็นสินค้าอาหารทะเลที่มีความสำคัญและมียอดขายที่เพิ่มขึ้น Lobsterเป็นสินค้าทะเลที่มีราคาแพงเมื่อเทียบราคาต่อปอนด์ในร้านค้า แต่เนื่องจากผลผลิต Lobster ในท้องตลาดเพิ่มขึ้นมีผลให้ราคาลดลงจากราคา 14 เหรียญสหรัฐไปเป็น 11 เหรียญสหรัฐต่อปอนด์ Mr. Steve Lutz กล่าวว่า “ราคา Lobster ที่ลดลงเป็นผลทำให้ผู้บริโภค Lobster เพิ่มจำนวนมากขึ้น”

อีกตัวอย่างของการเพิ่มมูลค่าสินค้าอาหารทะเลมีความสำคัญกับยอดขายที่เพิ่มขึ้น ดูได้จากทางตอนใต้ของประเทศสหรัฐอเมริกา บริษัท Beaver Street Fisheries ในเมือง Jacksonville รัฐฟลอริดา บริษัทอยู่ในอันดับที่ 9 ของการจัดอันดับโดยในปี 2010 มียอดขาย 443 ล้านเหรียญสหรัฐ ในเดือนมีนาคนที่ผ่านมาได้เพิ่มสินค้าทะเลอีก 9 ชนิดในยี่ห้อที่ได้รับความนิยมคือ Sea Best ซึ่งเป็นสินค้าที่มีคุณภาพระดับภัตตาคาร ซึ่งผู้บริโภคสามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าต่างๆ และง่ายต่อการประกอบอาหารเองที่บ้าน Mr. Jeff Edwards CEO บริษัท Beaver Streer กล่าวว่าบริษัทได้เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายไปจากการขายแต่อาหารทะเลแช่แข็ง

Mr. Edwards กล่าวว่า “บริษัท Beaver Street Fisheries ให้ความสำคัญในสองเรื่องคือเรื่องความปลอดภัยของอาหารและเรื่องการรักษาคุณภาพของสินค้า” การให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยและการควบคุมคุณภาพของแหล่งผลิตสินค้าอาหารทะเลทั่วโลก ทำให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้าของบริษัท

Mr. Edwards กล่าวอีกว่า “บริษัท Beaver Street ให้ความสำคัญในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในทะเลให้มีความอุดมสมบูรณ์และบริษัทมีแผนในการอนุรักษ์ท้องทะเลในอนาคตเพื่อที่จะเป็นแหล่งผลิตอาหารทะเลต่อไป” บริษัทได้เข้าร่วมในองค์กรต่างๆ คือ World Wildlife Fund, Marine Stewardship Council และ Global Aquaculture Alliance projects เหล่านี้เป็นองค์กรที่มีความสำคัญในการส่งเสริมให้ผู้ผลิตสินค้าอาหารทะเล ร้านค้าปลีกสินค้าอาหารทะเลและร้านอาหารสินค้าอาหารทะเล ให้มีการใช้ท้องทะเลเป็นแหล่งผลิตอาหารทะเลที่มีคุณภาพในอนาคต

วิธีการจัดอันดับ

การจัดอันดับผู้ผลิตอาหารทะเลไม่พิจารณาจากยอดขายแต่ละปีเท่านั้นเพราะการจัดอันดับมีความซับซ้อนและบริษัทมีความหลากหลาย มีความแตกต่างในรูปแบบของการทำธุรกิจ เพื่อที่จะทำการจัดอันดับได้รวมกลุ่มของผู้ผลิตเป็นสองกลุ่มคือกลุ่มผู้ค้าส่งและกลุ่มผู้กระจายสินค้า ธุรกิจอาหารทะเลเป็นเรื่องที่มีความสลับซับซ้อน ในบางครั้งยอดขายในการขายสินค้าสามารถนับรวมมากกว่าหนึ่งครั้ง ยกตัวอย่างเช่นบริษัท Tri-Marine International ในเมือง Bellevue รัฐวอชิงตัน ดีซี ผลิตทูน่าที่ใช้ในการทำทูน่ากระป๋องให้กับสามบริษัทใหญ่ “Big Three” ซึ่งทั้ง 4 บริษัทนี้มีชื่ออยู่ใน 20 อันดับ

ความท้าทายในการรวบรวมข้อมูลในปีนี้มีความสำคัญมาก ซึ่งนิตยสาร SeaFood Businessได้สอบถามผู้บริหารของบริษัทต่างๆ ที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลยอดขายสินค้าอาหารทะเลและรายงานผลประจำปี สองบริษัทมหาชนคือ บริษัท Clearwater Seafoods และ บริษัท High Liner Foods ทั้งสองมีฐานการผลิตในประเทศแคนาดา โดยทั่วไปแล้วบริษัทผู้นำในการผลิตอาหารทะเลในสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่เป็นบริษัทเอกชนกับธุรกิจครอบครัว ซึ่งบริษัทเหล่านี้จะไม่รายงานข้อมูลรายละเอียดในการขายให้กับสื่อต่างๆ ซึ่งการให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลของบริษัททั้งสองเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมอย่างยิ่งและหลายบริษัทเป็นบริษัทต่างชาติเช่น ญี่ปุ่น ไทย และ เกาหลีใต้

การมีส่วนร่วมของหลายบริษัททำให้เราทราบถึงจำนวนของยอดขายและการคาดการณ์ต่างๆได้

สำหรับบริษัทที่ไม่ให้ความร่วมมือในปีนี้ การจัดอันดับจะนำยอดขายของปีก่อนหน้านี้มาคำนวน ถ้าบริษัทไม่ให้ความร่วมมือเป็นเวลา 2 ปีบริษัทจะถูกตัดออกจากรายชื่อ 20 อันดับ ทำให้บริษัทกว่า 40 บริษัทให้ความร่วมมือ ซึ่งในปีนี้บริษัท Trident Seafoods ในเมืองซีแอตเติล ได้อันดับที่ 1 แต่ทางบริษัทยังไม่ได้ติดต่อทางโทรศัพท์และอีเมล์กลับเพื่อให้ข้อมูลยอดขายในปี 2010

อย่างไรก็ดี มี 3 บริษัทที่ไม่ให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลยอดขายประจำปี คือบริษัท Red Chamber เมือง Vernon รัฐแคลิฟอร์เนีย บริษัท Maruha Nichiro และบริษัท Pacific Seafood Group เมือง Clackamas รัฐออริกอน ซึ่งบริษัท Red Chamber ได้ให้ข้อมูลยอดขายครั้งสุดท้าย 1,016 ล้านเหรียญสหรัฐตั้งแต่ปี 2006 และผู้บริหารบริษัทไม่ได้ให้ข้อมูลในปีที่ผ่านมา และบริษัท Pacific Seafood Group ได้ให้ข้อมูลยอดขายครั้งสุดท้าย 874 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2005 ในการคาดการณ์ในปีนี้ทางบริษัท Pacific Seafood Group มียอดขาย 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่บริษัทเลือกที่จะไม่บอกข้อมูลซึ่งบริษัทมีความคิดว่า “ทำดีที่สุด แต่ไม่ต้องใหญ่ที่สุด”

บริษัท Maruha Nichiro เป็นบริษัทของญี่ปุ่นที่มาตั้งสำนักงานใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกาที่เมืองซีแอตเติล ไม่ให้ข้อมูลยอดขายเช่นเดียวกัน บริษัทเป็นเจ้าของบริษัทอื่นๆ อีกหลายบริษัทเช่น บริษัท Westward Seafood และบริษัท Peter Pan Seafood ในเมืองซีแอตเติล บริษัท Orca Bay Seafood ในเมืองแรนตัน รัฐวอชิงตัน และบริษัท Trans Ocean Products เมืองเบอร์ลิงแฮม รัฐวอชิงตัน ซึ่งบริษัท Maruha Nichiro มียอดขายในปีก่อน 9.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ดังนั้นการจัดรายชื่อบริษัท 20 อันดับแรก อาจมีความแตกต่างถ้าเรารวมยอดขายของของบริษัท Red Chamber บริษัท Pacific และ บริษัท Maruha แล้วจะมียอดขายรวมประมาณ 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ