สถานการณ์การค้าไทย-ตะวันออกกลาง
การค้าไทย-ตะวันออกกลาง ในเดือนมิถุนายน 2554
มูลค่าการค้ารวมทั้งสิ้น 19,908.65 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 35.70 แบ่งเป็น มูลค่าการส่งออก 5,787.68 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 24.16 มูลค่าการนำเข้า 14,120.97 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 41.07 ไทยขาดดุลการค้าตะวันออกกลาง 8,333.30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ทั้งนี้ สินค้าส่งออกจากไทยไปยังตลาดตะวันออกกลาง ที่มีมูลค่าสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
1. รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ มีมูลค่า 1,292.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.77
2. ข้าว มีมูลค่า 593.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 92.38
3. เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ มีมูลค่า 376.5 ล้านเหรียญ สหรัฐฯ อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 36.95
4. อัญมณีและเครื่องประดับ มีมูลค่า 298.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อัตราการขยายตัวลดลง ร้อยละ 35.12
5. เคมีภัณฑ์ มีมูลค่า 252.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 72.73
รายงานประเด็นการค้าที่สำคัญทางการค้าในเขตภูมิภาคตะวันออกกลาง ประจำเดือนมิถุนายน 2554
1. กลุ่มทุนตะวันออกกลางแห่ซื้อที่ดินจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปูทางรองรับโครง การ "ฮาลาล" ป้อนโลกมุสลิม เหตุพื้นที่มีความเหมาะสม เนื่องจากประเทศไทยมีประชากรที่นับถือศาสนาอิสลามใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ร้อยละ 80 และมีผู้ประกอบการฮาลาลมากกว่า 400 ราย ทำให้ธุรกิจการค้าฮาลาลเติบโตอย่างรวดเร็ว การซื้อขายที่ดินในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กลุ่มทุนยังมีความต้องการอย่างมาก โดยเฉพาะจะมีกลุ่มนักลงทุนจากประเทศกลุ่มตะวันออกกลางเข้ามากว้านซื้อแบบไม่จำกัดจำนวน เพื่อไว้รองรับโครงการอุตสาหกรรมฮาลาล เพราะเป็นพื้นที่ที่เหมาะสม มีความพร้อมด้านวัตถุในปริมาณที่สูง เช่น วัวและแพะ ต่างกับพื้นที่ประเทศมาเลเซียที่ยังต้องนำเข้าวัวและแพะจากประเทศไทย
2. อิสราเอลเป็นประเทศที่นิยมบริโภคข้าวหอมมะลิไทย และมีการนำเข้าข้าวหอมมะลิไทยปีละประมาณ 50,000 ตัน ซึ่งบริโภคโดยคนอิสราเอลและเอเชีย โดยคนอิสราเอลจะรู้จักข้าวหอมมะลิในชื่อ Jasmin Rice หรือ Fragrant Rice และจะไม่รู้จักข้าวไทยในนาม Thai Hom Mali Rice ส่วนมาตรการในการนำเข้าข้าวจะไม่เสียภาษีศุลกากร แต่จะต้องส่งตัวอย่างข้าว พร้อมผลการตรวจสอบตามมาตรฐานความปลอดภัยของผู้บริโภคจากผู้ผลิต เมื่อได้รับการอนุมัติแล้ว จึงจะนำเข้าได้ และต้องติดฉลากภาษาฮิบรูเกี่ยงกับสินค้า ชื่อผู้ผลิตและผู้นำเข้า เป็นต้น
3. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐอเมริกาได้ออกแถลงการณ์ร่วมเกี่ยวกับการลงโทษบุคคลและนิติบุคคลสัญชาติอิหร่านเพิ่มเติมภายใต้มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ตามคำสั่ง Executive Order 13382 และ 13224 โดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งการประกาศคว่ำบาตรบุคคลและนิติบุคคลสัญชาติอิหร่านเพิ่มในครั้งนี้มีสาเหตุมาจากการเป็นผู้สนับสนุนและให้บริการขนส่งอาวุธให้กองกำลังของอิหร่านและกระทรวงกลาโหมอิหร่าน จากข้อมูลข้างต้นจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะภาคธุรกิจการท่องเที่ยว ซึ่งเกี่ยวข้องกับสายการบิน Iran Air และบริษัทเดินเรือซึ่งใช้บริการท่าเรืออิหร่านที่อยู่ภายใต้การจัดการของบริษัท Tide Water Middle East Company ในการเพิ่มความระมัดระวังและรับทราบความเสี่ยงในการทำธุรกรรมกับบุคคลหรือนิติบุคคล โดยเฉพาะกรณีฝ่ายไทยเป็นผู้โอนเงิน แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ผูกผันให้ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง Executive Order ของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ก็ตาม
4. เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงอาบูดาบีได้เดินทางไปรัฐราสอัลไคมา ซึ่งเป็นรัฐทางเหนือสุดของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อสำรวจตลาดและสินค้าไทยที่วางขายในห้างร้านต่าง ๆ รวมทั้งพบปะกับผู้นำเข้าสินค้าจากประเทศไทย โดยเอกอัครราชทูตฯ ได้เยี่ยมชมกิจการของสหกรณ์รัฐราสอัลไคมาห์ ซึ่งเป็นแหล่งนำเข้าสินค้าไทยที่สำคัญ อาทิ ข้าว นมผง อาหารกระป๋อง และผลไม้ไทยตามฤดูกาล และได้พบกับนาย Mohamed Hassan Al Shamsi ประธานสมาคมสหกรณ์รัฐราสอัลไคมาห์ เพื่อเจรจาขอให้นำเข้าสินค้าไทยชนิดต่าง ๆ ไปวางขายในร้านค้าของสหกรณ์ซึ่งมีสาขาอยู่ทั่วรัฐราสอัลไคมาห์ให้มากขึ้นด้วย
5. กลุ่มผู้สนับสนุนประธานาธิบดี Bashar al-Assad ได้บุกโจมตีสถานทูตสหรัฐฯ และสถานทูตฝรั่งเศสในกรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรีย รวมทั้งทำร้ายเจ้าหน้าที่สถานทูตดังกล่าว ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ และเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสได้เดินทางเยือนเมืองฮามา ซึ่งเป็นเมืองที่กลุ่มผู้ชุมนุมฝ่ายต่อต้านประธานาธิบดี al-Assad ปักหลักประท้วงต่อต้านรัฐบาลซีเรีย จึงสร้างความโกรธเคืองแก่กลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลซีเรีย อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สร้างความตึงเครียดระหว่างรัฐบาลซีเรียและรัฐบาลสหรัฐฯ รวมทั้งจากปฏิบัติการตอบโต้ที่รุนแรงของรัฐบาลซีเรียต่อกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงฝ่ายต่อต้าน
6. S&P ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือตราสารทางการเงินประเภท Long-term Foreign and Local Sovereign Credit Ratings ของคูเวต 1 Notch จาก AA- เป็น AA และคง Outlook ไว้ที่ Stable เนื่องจากเห็นว่าฐานะทางการคลังของคูเวตมีความแข็งแกร่ง ประกอบกับดุลการชำระเงินระหว่างประเทศของคูเวตอยู่ในระดับที่สมดุล
ที่มา: http://www.depthai.go.th