สหรัฐฯ มีรถจดทะเบียนจำนวน 247 ล้านคันในปี 2550 โดยแยกเป็น รถยนต์ส่วนบุคคลจำนวน 136 ล้านคน รถบรรทุก/รถกระบะ 110 ล้านคัน และ รถบัส 1 ล้านคัน ดังนั้น อาจจะกล่าวได้ว่า ปัจจุบันสหรัฐฯ มีรถเก่า/ใช้แล้ว (Used Cars) ประมาณ 246 ล้านคันเป็นอย่างต่ำ (หักรถเก่าที่ถูกทำลายไปภายใต้โปรแกรม Cash for Clunker จำนวน 685,000 คัน ในปี 2553)
จากรายงานการสำรวจ 15th Annual Consumer Attitude Study ประจำปี 2011 ของวารสารAftermarket Business World พบว่าเจ้าของรถร้อยละ 60 มีความต้องการยืดอายุการใช้รถที่ ร้อยละ 15 ต้องการซื้อรถใช้แล้ว (Used Cars) และ อีกร้อยละ 20 มีความต้องซื้อรถใหม่แต่เป็นรถชนิดที่ประหยัดน้ำมัน (Economical Vehicle)โดยมีเหตุสนับสนุน คือ
1. ราคาเบนซินที่เพิ่มสูงขึ้นลำดับ ผนวกกับภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ยังไม่หลุดพ้นภาวะชะลอตัว เป็นผลให้ผู้บริโภคจำนวนมากต้องควบคุมการใช้จ่าย มีอำนาจการซื้อลดลง และ ไม่สามารถซื้อรถใหม่ (New Car) ได้เนื่องจากมีราคาสูง จึงยืดอายุการใช้รถที่มีอยู่ออกไป
2. ปัจจุบัน รถยนต์สหรัฐฯ มีความคงทนมากยิ่งขึ้น หรือมีอายุการใช้โดยเฉลี่ยประมาณ 9.4 ปี ซึ่งเพิ่มสูงขึ้น 3 ปี เมื่อเปรียบเทียบกับรถในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
3. ปัจจบุน ไม่มีสิ่งจูงใจ (Incentive) เช่นการให้ Rebate หรืออัตราดอกเบี้ยต่ำชักจูง ผู้บริโภคหันไปซื้อรถใหม่ ในขณะที่รถใช้แล้ว (Used Car) มีราคาไม่แพง และหาสินเชื่อเงินกู้ได้ง่ายกว่า
มูลค่าตลาดชิ้นส่วนซ่อมบำรุงแบบ (Aftermarket Parts ) มีมูลค่าประมาณ 340,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (10,200 ล้านล้านบาท) ในปี 2552 ขยายตัวร้อยละ 4.5 แยกออกเป็น ยอดจำหน่าย ชิ้นส่วนรถยนต์และรถบรรทุกขนาดเล็ก (Car & Light Truck) จำนวน 237,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และ ชิ้นส่วนสำหรับรถใช้งานหนัก (Heavy Duty vehicle) 85,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ชิ้นส่วนยานยนต์ประเภทซ่อมบำรุง (Aftermarket) แยกตามประเภท
1. กลุ่ม Accessories ร้อยละ 12 2. กลุ่ม Driving Train ร้อยละ 5 3. กลุ่ม Service Parts ร้อยละ 9 4. กลุ่ม Electrical System ร้อยละ 4 5. อื่นๆ * ร้อยละ 12
- ประกอบด้วยสินค้า Brake Systems, Engine Hard Parts, Exhaust Systems, Fuel Systems
ชิ้นส่วนยานยนต์ที่มีความต้องการสูงในตลาดสหรัฐฯ
ความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมเจ้าของรถดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น เป็นผล ก่อให้เกิดความต้องการ และการขยายตัวของสินค้าอุปกรณ์และชิ้นส่วนประภทซ่อมบำรุง (Aftermarket Parts) ในสหรัฐฯ
และประเภทสินค้าที่มีความต้องการสูง ได้แก่
- เครี่องยนต์และส่วนประกอบ (Engines & Componentz)
- เบรกและอุปกรณ์ braking (Systems &Components)
- อุปกรณ์ช่วงล่าง (Suspension System)
- ท่อไอเสีย (Exhaust System๗
- Transmissions and Rear Axles
- เครื่องปรับอากาศ (Air conditioning)
- ดวงไฟ (Lamp & Lightings)
- ยางรถยนต์ และ กะทะล้อ (Tire & Wheel)
- ชิ้นส่วนทำจากยาง (Rubber Parts)
- ไส้กรองอากาศ/น้ำมัน (Air Filter/Oil Filter)
นักการตลาดสินค้า Aftermarket ในสหรัฐฯ ให้ข้อพิจารณาสำคัญ 2 ประการ คือ คุณสมบัติสินค้า และ แผนการตลาด แก่ผู้ประกอบการในต่างประเทศที่ต้องการขยายตลาดสินค้าอุปกรณ์และชิ้นส่วนประภทซ่อมบำรุงไปยังสหรัฐฯ
1. คุณสมบัติสินค้า: ควรพิจารณาในเรื่อง ความเด่น ความเป็นพิเศษไม่เหมือนใคร (Unique) คุณภาพดี มีบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบเป็น"Americanized" และมีราคาที่แข่งขันได้ (Competitive Pricing)
2. การวางแผนการตลาด: ควรพิจารณาในเรื่อง การจัดทำเอกสารสินค้า ราคาสินค้า การค้ำประกันสินค้า การเข้าร่วมงานแสดงสินค้า และ การจ้างตัวแทนการขาย
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครชิคาโก
ที่มา: http://www.depthai.go.th