การก่อสร้างของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 มีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อน โครงการขนาดใหญ่อยู่ที่รัฐอาบูดาบี โดยเฉพาะการก่อสร้างภาครัฐขยายตัวได้ค่อนข้างดีและเป็นปัจจัยหนุนต่อธุรกิจก่อสร้างโดยรวม ซึ่งทั้งหมดย่อมหมายถึงอัตราความต้องการวัสดุก่อสร้าง จนไปถึงสินค้าสำหรับตกแต่งอาคารบ้านเรือนขยายมากขึ้นด้วย
รัฐบาลอาบูดาบีให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการคมนาคมได้จัดหางบประมาณไม่น้อยกว่า 68 พันล้านเหรียญสหรัฐฯสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน ปัจจบันการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ของรัฐหลายโครงการใกล้เสร็จสิ้น และอีกหลายโครงการมีความคืบหน้ามากขึ้น อาทิ Yas Island, Khalifa City นอกจากนี้ ยังมีโครงการลงทุนขนาดเล็กทั้ง ถนน การบริหารจัดการ
โดยรวมคาดว่าอุตสาหกรรมก่อสร้างของยูเออีระหว่างปี 2011-2013 ขยายตัวขึ้นประมาณ 30% มูลค่าของตลาดอสังหาในยูเออีประมาณ 3.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (US$3.1 Trillion) หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 42% ของการก่อสร้างทั้งสิ้นในตะวันออกกลาง
โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ในยูเออีนั้นส่วนใหญ่ที่อยู่ในรัฐอาบูดาบี แบ่งเป็นโครงการก่อสร้างอาคาร เช่น โรงแรม อาคารที่พักอาศัย ฯลฯ โครงการก่อสร้างโรงงานด้านพลังงาน เช่น โรงงานนิวเคลียร์ และโครงการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานต่างๆ เช่น ถนน อุโมงค์ ทางรถไฟ ฯลฯ มีดังต่อไปนี้
Khalifa City
— มูลค่า US$40 Billion อาคารสำนักงานรัฐบาลและสถานทูต
Saadiyat Island
— มูลค่า US$28 Billion รองรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว วัฒนธรรมที่อยู่อาศัย และห้าง/ร้านค้าปลีก
Burooj Properties
— มูลค่า US$24. Billion รองรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่อยู่อาศัยและห้าง/ร้านค้าปล
Masdar City
— มูลค่า US$22 Billion เมืองสีเขียวปลอดพลังงานจากคาร์บอน
Al Raha Beach Complex
— มูลค่า US$19 Billion รองรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่อยู่อาศัย และห้าง/ร้านค้าปลีก
Capital Trading
— มูลค่า US$10 Billion. ธุรกิจการค้า
Al Reem Island
— มูลค่า US$8 Billion. รองรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่อยู่อาศัย .
Sheikh Mohammed Bin Zayed City
- มูลค่า US$ 6.5 Billion. ที่อยู่อาศัย แหล่งบันเทิงและการค้า
Abu Dhabi Rail Project
— มูลค่า US$3 Billion โครงการรถไฟ
MGM Grand Project
— มูลค่า US$3 Billion. อุตสหากรรมท่องเที่ยวและสถานที่พักผ่อนและบันเทิง
Building Materials City
— มูลค่า US$3 Billion. ธุรกิจการค้า ที่พักอาศัยและห้าง/ร้านค้าปลีก
Capital Centre
— มูลค่า US$2.4 Billion. ศูนย์จัดแสดงสินค้าอาบูดาบี สำนักงานธุรกิจการค้า
Alghadeer
— มูลค่า US $4 billion -บ้านพัก 6000 หลัง ภายใน 6 หมู่บ้านพร้อมห้าง/ร้านค้าปลี
Khalifa Port and Industrial Zone
— มูลค่า US $5 billion ธุรกิจการค้า และอุตาสหากรรม
Mafraq - Ghweifat International Highway
— มูลค่า US $2.7 billion -สาธารณูปโภคพื้นฐาน
Taweelah Aluminium Smelter
— มูลค่า US $10 billion — อุตสาหกรรมถลุงอลูมิเนียม
อุตสาหกรรมก่อสร้างมีห่วงโซ่อุปทานเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอื่นจำนวนมาก อาทิ วัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ แรงงาน รวมทั้งอุตสาหกรรมสนับสนุนต่างๆ จากโครงการต่างๆที่ระบุไว้ข้างต้นนั้น จะเห็นว่าสินค้าเกี่ยวกับการก่อสร้างยังคงมีความต้องการอยู่อีกมากในตลาดนี้
สินค้าวัสดุก่อสร้างหลักๆที่อาบูดาบีต้องอาศัยนำเข้าจากต่างประเทศ และให้ความสำคัญอันดับต้นๆ มีดังต่อไปนี้
- วัสดุก่อสร้างสำหรับงานโครงสร้าง ได้แก่ ซีเมนต์ Aggregates ทราย คอนกรีต เหล็ก ไม้ อิฐบล๊อก วัสดุมุงหลังคา วัสดุกันน้ำต่างๆ หินธรรมชาติ
- วัสดุก่อสร้างสำหรับงานระบบ ได้แก่ ท่อ PVC & UPVC สายไฟสำหรับตึกขนาดเล็ก ตึกสูง สายเคเบิล อพาตเม้นท์สูงหลายชั้น และสายเคเบิล
- วัสดุก่อสร้างสำหรับงานตกแต่ง ได้แก่ วัสดุปูพื้นและหินอ่อน สุขภัณฑ์และอื่นที่ใช้สำหรับห้องน้ำและส่วนประกอบ อ่างและก๊อกน้ำ ฝ้าเพดาน สี กระจก เป็นต้น
ยูเออียังคงเดินหน้าในการก่อสร้างพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐานของประเทศ วัสดุก่อสร้างสำหรับตลาดยูเออีหลายชนิดมีลู่ทางแจ่มใส โดยเฉพาะประเภทที่ใช้สำหรับอาคารอนุรักษ์พลังงานระบบธรรมชาติเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พลังงานทดแทนและการจัดการพลังงานสิ่งแวดล้อม สินค้าประหยัดพลังงานและน้ำ ระบบก่อสร้างสำหรับอาคารอัจริยะ (systems for building automation) เครื่องทำความเย็น วัสดุสำหรับสระว่ายน้ำ สร้างถนน สะพาน ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง สนามกีฬา โรงแรม บ้านพัก ปาร์คและงานภูมิสถาปัตยกรรม โรงแรม มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล โรงงานผลิตไฟฟ้าและโรงกลั่นน้ำทะเลเป็นน้ำจืด
แหล่งนำเข้าวัสดุก่อสร้างที่สำคัญของยูเออี ได้แก่ จีน ตุรกี ซาอุดิอาระเบีย อินเดีย และมาเลเซีย เป็นต้น ในช่วงหลายปีที่ผ่านมายูเออีมีโรงงานผลิตวัสดุก่อสร้างหลากหลายชนิดมากขึ้น เพื่อรองรับตลาดก่อสร้างในประเทศ สินค้าบางชนิดสามารถใช้สำหรับส่งออก ได้แก่ ซีเมนต์ อลูมิเนียม สี และสุขภัณฑ์เซรามิคส์ เป็นต้น
จากที่กล่าวมาข้างต้น โครงการส่วนใหญ่จะเป็นโครงการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานขนาดใหญ่ มีมูลค่าการลงทุนสูง ไม่เหมาะกับบริษัทไทยซึ่งเป็นขนาดกลาง สิ่งทีจะทำได้คือเป็นผู้รับเหมาช่วง Sub contract ซึ่งที่มาผ่านมาบริษัทไทยที่เป็นผู้รับเหมาช่วง ได้รับค่าตอบแทนค่อนข้างช้า
Emirates Authority for Standardization and Metrology (ESMA) ที่อยู่ P.O. Box 2166, Abu Dhabi, UAE, โทรศัพท์: +971 2 671 1110 โทรสาร: +971 2 671 0999 Website: www.esma.ae สำนักงานในรัฐดูไบที่อยู่ P.O. Box 48666, Dubai, UAE โทรศัพท์: +971 4 294 9909 โทรสาร: +971 4 294 4112 อีเมล์: esma@esma.ae Website:www.esma.ae เป็นหน่วยงานหลักของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หน้าที่กำหนดมาตรฐานสินค้าโดยอยู่ในกรอบของ Gulf Standard ที่กำหนดมาตรฐานสินค้าในกลุ่มประเทศ GCC ภายใต้เกณฑ์จาก International Organization for Standardization (ISO)
โดยทั่วไปใช้สินค้าวัสดุก่อสร้างอิงมาตรฐาน British Standards (BS) หรือ แต่ทั้งนี้จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ ESMA
1. การลงทุนก่อสร้างภาครัฐถูกคาดหวังว่าจะเป็นปัจจัยที่จะช่วยผลักดันการก่อสร้างโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาบูดาบีที่มีผลจากการขยายตัวของการก่อสร้างภาครัฐเป็นสำคัญ ทั้งนี้เพราะได้รับแรงหนุนจากรายได้ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะเดียวกันราคาวัสดุและต้นทุนการก่อสร้างลดลง สำหรับส่วนการก่อสร้างของที่อยู่อาศัย จะมีการปรับตัวดีอย่างค่อยเป็นค่อยไป
2. ปัจจัยที่สนับสนุนให้การก่อสร้างมีทิศทางปรับตัวดีขึ้น เพราะได้รับผลบวกจากราคาวัสดุก่อสร้างลดลง อาทิ กระจกลดลง 44.1% นอกจากนั้น มีโครงการสร้างสนามบินแห่งใหม่และขยายสนามบิน Terminal 1 โครงการ Union Railway และอื่นๆ โครงการก่อสร้างต่างๆของภาครัฐใช้วิธี Tenders โดยบริษัทก่อสร้างในประเทศ ซึ่งมักจะมี Joint venture กับบริษัทก่อสร้างต่างชาติ
3. ด้านการก่อสร้างพาณิชยกรรมของภาคเอกชนจะไม่มีการขยายตัวมากนัก โดยเฉพาะในรัฐดูไบที่ในขณะนี้ประสบปัญหาอสังหาฯล้นตลาด (ในปี 2554 มีอาคารพาณิชย์เสร็จเพิ่มขึ้น 4,000,000 ตารางเมตร และอาคารที่อยู่อาศัยจำนวน 2,500,000 ตารางเมตร)
4. ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่อาจส่งผลต่อการก่อสร้างภาครัฐที่จะเน้นการลงทุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เช่น ปัจจัยทางการเมืองและสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในภูมิภาคตะวันออกกลาง ความกังวลในปัญหาหนี้ของยุโรป ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางการลงทุนของต่างชาติในยูเออี
5. พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป กระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ลดการใช้พลังงาน มีการออกแบบอาคารที่ประหยัดพลังงาน ใช้วัสดุที่ป้องกันความร้อนทำให้อาคารเย็นลง รวมทั้งการหันไปใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การให้บริการนำเสนอสินค้าใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมดังกล่าว การแข่งขันในตลาดนี้ยังไม่รุนแรงนักและยังจะขยายตัวได้อีกมาก
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองดูไบ
ที่มา: http://www.depthai.go.th