1. สินค้า : ข้าว
พิกัดศุลกากร (HS) : 1006
2.1. ภาวะการค้า มูลค่าการส่งออกข้าวไทยไปกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง (14 ประเทศ) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น (ยกเว้นปี 2552 ที่ประสบวิกฤตการเงินทั่วโลก) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2554 ที่ส่งออก 8 เดือนแรกมูลค่า 4,728.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สูงกว่าการส่งออกข้าวไปตะวันกลางทั้งสิ้นเมื่อปี 2553 หรือมูลค่า 3,086.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นในเชิงมูลค่าร้อยละ 53.2 (YoY)
อิรักเป็นตลาดรองรับข้าวของไทยในตะวันออกกลางที่มีมูลค่าสูงสุดติดต่อมาหลายปี ส่วนประเทศอื่นๆมีมูลค่าเพิ่มขึ้นลดลงไม่แน่นอน อาทิ อิหร่าน ที่มีนำเข้าในช่วงเดือนม.ค.-ส.ค. 2554 มูลค่า 149.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อัตราขยายตัวร้อยละ 1,812.8 (YoY)
โอมานเป็นอีกตลาดที่นำเข้าข้าวจากไทยขยายตัวขึ้นร้อยละ 276.5 ในช่วง 8 เดือนแรกปี 2554
ประเทศที่นำเข้าข้าวจากไทยลดลงในปี 2554 คือ เยเมน (-12.3%) ซีเรีย (-76.2%) จอร์แดน (-35.4%) บาห์เรน (-15.9%) ซึ่งประเทศดังกล่าวล้วนแต่มีปัญหาความไม่สงบภายในประเทศ และคาดว่าภาพรวมของการนำเข้าสินค้าของประเทศเหล่านี้จะลดลงเช่นกัน
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นตลาดสำคัญที่นำเข้าข้าวไทยมูลค่าติดอันดับ Top 5 ในตะวันออกกลาง ข้าวที่นำเข้าส่วนใหญ่เพื่อใช้สำหรับส่งออกต่อ (Re-export) เช่นข้าวขาว 5% ข้าวนึ่ง สำหรับข้าวหอมมะลิส่วนใหญ่สำหรับเพื่อใช้บริโภคในประเทศซึ่งมีผู้ซื้อเป็นชาวฟิลิปปินส์ จีน บางส่วนสำหรับส่งออกต่อไปอิหร่าน ซึ่งรู้จักข้าวหอมมะลิไทยดีในระดับหนึ่ง
มูลค่า มูลค่าขยายตัว +-% ปี 2551 94.0 ล้านเหรียญสหรัฐ +133.9% ปี 2552 62.6 ล้านเหรียญสหรัฐ - 33.5% ปี 2553 59.7 ล้านเหรียญสหรัฐ -4.6% ปี 2554 (มค.-สค.) 60.0 ล้านเหรียญสหรัฐ 54.2% (YoY) 4. การค้าข้าวของยูเออี
4.1 การนำเข้าข้าว
มูลค่า ปริมาณ มูลค่าขยายตัว +-% ปี 2551 1,517 ล้านเหรียญสหรัฐ 1.3 ล้านตัน +121.6% ปี 2552 1,247 ล้านเหรียญสหรัฐ 1.2 ล้านตัน -17.8% ปี 2553 1.33 ล้านเหรียญสหรัฐ 1.5 ล้านตัน +7.3%
นำเข้าจากประเทศ : อินเดีย 72% ปากีสถาน 22% ไทย 5.5% สหรัฐฯ 0.7% อียิปต์ ศรีลังกา 0.3% เวียดนาม 0.2% จีน บราซิล อุรุกวัย 0.2% ตามลำดับ
ยูเออีมีนโยบายลดการพึ่งพาการนำเข้าข้าวจากอินเดียและปากีสถาน จากสถิติการนำเข้าปี 2005-2009 ปรากฏสัดส่วนตลาดข้าจาก 2 ประเทศดังกล่าวรวมกัน 94% โดยจะเพิ่มสัดส่วนการนำเข้าจากไทยให้มากขึ้น แต่ทั้งนี้ข้าวที่ต้องการนำเข้าเป็นข้าวบัสมาติ
4.2 การส่งออกต่อ(Re-export) : ปี 2010 ยูเออีส่งออกข้าวมูลค่า 520.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปริมาณ 567,465 ตัน ตลาดรองรับข้าวที่ยูเออีส่งออกต่อที่สำคัญ ได้แก่ อิหร่าน สิงคโปร์ สหรัฐฯ ซาอุดิอาระเบีย อิรัก แทนซาเนีย โซมาเลีย เคนย่า มาเลเซีย คูเวต และบาห์เรน
- ผู้นำเข้า : ร้อยละ 60 - นายหน้า (Trader) : ร้อยละ 20 - ร้านค้าปลีก/ซูเปอร์มาร์เกต : ร้อยละ 20 6. ฤดูกาลสั่งซื้อ : ตลอดปี แต่จะมีปริมาณมากประมาณ 2-3 เดือนก่อนเดือนถือศีลอด (Ramadan) 7. การแข่งขัน : เป็นการแข่งขันกันเองระหว่างผู้นำเข้า 8. ภาษีนำเข้าจากราคา CIF : ร้อยละ 5 9.สิทธิพิเศษศุลกากร : ไม่มี 10.เอกสารประกอบการนำเข้า:
Invoice, Certificate of Origin ประทับ ตรารับรองจากหอการค้าไทย และ Legalize จากสถานทูตประเทศ สหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ ในประเทศไทย Bill of Lading และ Packing List
สินค้าข้าวต้องมีใบรับรองคุณภาพหรือสุขลักษณะ Health หรือ Sanitary Certificate มีป้ายฉลากระบุรายละเอียด ชื่อสินค้า ขนาดน้ำหนัก ประเทศต้นทางผู้ผลิตเดือน/ปีที่ผลิต และหมดอายุ พืชต้องมีใบรับรองปลอดโรค Phytosanitary Certificate ประกอบสำหรับวันหมดอายุข้าวสาร ที่จะต้องพิมพ์ บนถุงข้าว มีระยะเวลา 2 ปี และ Barcode หากเป็นสินค้ายี่ห้อของลูกค้าๆจะส่งบาร์โค้คให้ผู้ผลิต
จากการนำเข้าข้าวของยูเออีแต่ละปีที่ผ่านมา สามารถแบ่งชนิดของข้าวตามสัดส่วน พอสรุปได้ ดังนี้
1. ข้าวบัสมาติ (นำเข้าสัดส่วน ร้อยละ 70) เป็นการนำเข้าจากอินเดีย และปากีสถาน และเป็นข้าวที่นิยมบริโภคในประเทศสูงสุด หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30 ของการนำเข้าข้าวชนิดนี้ สัดส่วนอีกร้อยละ 70 จะใช้เพื่อส่งออกต่อ (re-export) ไปประเทศอิหร่าน อิรัก กลุ่มประเทศ CIS ฯลฯ
2. ข้าวขาว (White rice 5% broken) (นำเข้าสัดส่วน ร้อยละ 15) เป็นการนำเข้าจากไทย และเวียดนาม ข้าวประเภทนี้ยังไม่เป็นที่นิยมในตลาดมากนัก เนื่องจากมีคุณสมบัติที่แข็งกว่าและมีเมล็ดสั้นกว่าข้าวบัสมาติ แม้ว่าราคาจำหน่ายปลีกต่อหน่วยจะต่ำกว่าข้าวบัสมาติ ซื้อหาบริโภคโดยคนงานและผู้มีรายได้น้อยในประเทศ การนำเข้าส่วนใหญ่เพื่อการส่งออกต่อ (re-export) ไปยังอิหร่าน อิรัก และเยเมน
3. ข้าวหอมมะลิ (นำเข้าสัดส่วน ร้อยละ 10) นำเข้าจากประเทศไทย เพื่อบริโภคในประเทศ สูงถึงร้อยละ 60 ของการนำเข้า ข้าวหอมมะลิจากไทยมีราคาอยู่ในระดับปานกลางและเป็นที่นิยมบริโภคของชาวเอเชีย โดยเฉพาะชาวฟิลิปปินส์ที่อาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอาหรับอาหรับเอมิเรตส์ ส่วนอีกร้อยละ 40 เป็นการนำเข้าเพื่อส่งออกต่อ (re-export) ไปประเทศอิหร่าน
4. ข้าวนึ่ง (parboiled rice) จากประเทศเวียดนาม ปากีสถาน ไทยและอินเดีย รวมทั้งข้าวเมล็ดสั้นที่นำเข้าจากประเทศอียิปต์ และสหรัฐฯ (นำเข้าสัดส่วน ร้อยละ 5) ข้าวเมล็ดสั้นกลุ่มนี้นิยมบริโภคโดยชาวอียิปต์และชาวอาหรับอื่นๆ อาทิ เลบานอน ซีเรียและปาเลสไตน์ ที่อาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
1. ดูไบมีตลาดส่งออกต่อที่สำคัญคืออิหร่านและอิรัค ซึ่งเป็นชาวตะวันออกกลางที่นิยมบริโภคข้าวจากไทยอย่างสม่ำเสมอ โดยมากมักจะนำเข้าข้าวชนิด 5% และนำเข้าครั้งละเป็นจำนวนมาก ผู้นำเข้าจะขายส่งให้กับผู้ค้า ที่นำเข้าไปยังตลาดอิหร่านเพื่อจำหน่ายต่อไป โดยมีผู้นำเข้าหลักๆรายใหญ่อยู่ประมาณ 10 ราย นอกจากนั้นมีผู้นำเข้าจำนวนไม่มากนักที่นำเข้าไม่สม่ำเสมออีกประมาณ 30 ราย
2. ในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมาข้าวไทยที่ผ่านตลาดดูไบมีปริมาณลดลง สาเหตุหลักคือประเทศอิหร่านตลาดรองรับข้าวของยูเออี ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าข้าวจากร้อยละ 4 เป็นร้อยละ 45 เพื่อปกป้องข้าวในประเทศอิหร่าน และเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2553 รัฐบาลอิหร่านประกาศห้ามนำเข้าอาหาร 20 ชนิด รวมทั้งข้าวส่งผลให้การนำเข้าข้าวของยูเออีลดลง
3. ตลาดส่งออกต่อ เช่น อิรักคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีพ่อค้าอิรักหลายรายที่รวบรวมส่งสินค้าอุปโภคบริโภครวมทั้งข้าวและน้ำตาลไปอิรักมีบริษัทอยู่ในดูไบหลายบริษัท ในขณะที่ตลาดรองรับสินค้าส่งออกต่อของยูเออีประเทศอื่นๆ เช่น ลิเบีย เยเมน และบาห์เรน จะไม่มีการขยายตัวเท่าใดนัก
4. ข้าวหอมมะลิที่นิยมใช้บริโภคในประเทศส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่มีจำนวนมาก เช่น ชาวฟิลิปปินส์ และผู้บริโภคกลุ่มใหม่คือชาวจีนที่เข้าไปทำงานอยู่ในยูเออีเป็นจำนวนมากขึ้นประมาณ 120,000 คน
5. ข้าวหอมมะลิไทยมีจำหน่ายหลายยี่ห้อมากขึ้น แต่จากการสำรวจตลาดพบว่าเป็นข้าวปลอมปนเกือบทั้งสิ้น อาทิ การใช้ข้าวหอมมะลิไทยจำนวนเล็กน้อยปนข้าวขาว 5% ข้าวปทุมปนข้าวขาว ผู้นำเข้าบางบริษัทใช้ข้าวเวียดนามบนบรรจุภัณฑ์ระบุว่า Thai Jamine Rice/ Made in Thailand
6. ภาวะที่น่าจับตามองของการนำเข้าข้าวและอาหารของประเทศกลุ่มอ่าวอาหรับ คือความพยายามที่จะลดการพึงพิงการนำเข้า โดยการเข้าไปเช่าพื้นที่เพาะปลูกในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ พม่า เวียดนาม กัมพูชา และฟิลิปปินส์ โดยให้เงินลงทุนและเงินสนับสนุนเพื่อการเพาะปลูกประเทศละหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งหากเมื่อประเทศต่างๆที่ได้ไปลงทุนเพาะปลูกไว้สามารถส่งผลผลิตกลับคืนประเทศนายทุน จะกระทบการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย
7. รัฐบาลอินเดียประกาศยกเลิกระเบียบห้ามการส่งออกข้าวเมื่อเดือนกันยายน 2554 จะมีผลอย่างมากสำหรับข้าวที่นำเข้ามาในยูเออีเพื่อส่งออกต่อไปตลาดแอฟริกา กอร์ปกับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 ประเทศไทยจะเริ่มเดินหน้าโครงการจำนำข้าวในราคาสูง จึงเป็นโอกาสของข้าวอินเดีย (Non basmati rice) ที่จะช่วงชิงตลาดที่เคยเสียให้ประเทศไทยกลับคืน
8. เวียดนามสามารถพัฒนาการผลิตข้าว ซึ่งหากในอนาคตเวียดนามสามารถผลิตข้าวหอมคุณภาพดีและข้าวนี่งได้ เวียดนามก็จะมาเป็นคู่แข่งที่สำคัญของไทยในตลาดนี้ด้วย ตามด้วยกัมพูชาที่กำลังเร่งส่งออกข้าวหอมมะลิเช่นกัน นอกจากนี้พม่าที่ในอดีตเคยเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลกมาแล้ว เป็นคู่แข่งที่ควรจับตามอง และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาสามารถส่งออกข้าวได้ถึง 1 ล้านตัน ทำให้พม่าเริ่มตื่นตัวในการสนับสนุนการส่งออกดังกล่าว ดังนั้นไทยจะต้องแก้ปัญหาราคาข้าว วิธีลดต้นทุน และเพิ่มคุณภาพข้าวหอมมะลิ เพื่อรักษาตลาดที่มีอยู่ ที่สำคัญประเทศยูเออีเป็นตลาดกลางในการซื้อขายสินค้าและบริการ จึงให้ความสำคัญด้านราคาสินค้า
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองดูไบ
ที่มา: http://www.depthai.go.th