สถานการณ์ข้าวญี่ปุ่นกับผลกระทบจากอุบัติภัย 11 มีนาคม

ข่าวเศรษฐกิจ Monday October 31, 2011 14:16 —กรมส่งเสริมการส่งออก

การผลิตข้าวในญี่ปุ่น

แม้ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ขนาดพื้นที่ไม่ใหญ่ แต่สามารถปลูกข้าวได้ทุกภูมิภาค ข้าวที่ปลูกเป็นสายพันธ์ Japonica ชั้นดี ผลผลิตข้าวปีละประมาณ 8 ล้านตัน มากเป็นอันดับที่ 7 ของโลก แปลงปลูกข้าวแต่ละรายโดยทั่วไปมีขนาดเล็ก เฉลี่ย 1.65 เอเคอร์ หรือ 4.125 ไร่ ต้นทุนการผลิตสูง ฤดูการผลิตข้าวในจังหวัดทางเหนือของประเทศเริ่มเพาะปลูกเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน เก็บเกี่ยวช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม พื้นที่ตอนกลางของประเทศเริ่มเพาะปลูกเดือนเมษายน-พฤษภาคม เก็บเกี่ยวช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม ส่วนทางใต้เริ่มเพาะปลูกตั้งแต่เดือนเมษายนพฤษภาคม เก็บเกี่ยวในเดือนสิงหาคม- กันยายน

ผลจากอุบัติภัย 11 มีนาคม

เหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิวันที่ 11 มีนาคม 2554 ได้ก่อให้เกิดความเสียหายโดยตรงต่อพื้นที่เกษตรและอาคารสถานที่เพื่อการเกษตรรวม 39,323 แห่ง มูลค่า 7.9 แสนเยน ในเขต Tohoku ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ และจังหวัดรอบๆ โตเกียวในเขตคันโต

ผลกระทบสืบเนื่องจากอุบัติภัย ที่เกิดการรั่วไหลของสารกัมภาพรังสีจากโรงไฟฟ์านิวเคลียร์ในจังหวัด Fukushima ทางการญี่ปุ่นได้กำหนดแผนการตรวจสอบการปนเปื้อนสารกัมมันตภาพรังสีในข้าว ตั้งแต่การจำกัดพื้นที่เพาะปลูกจนถึงตรวจสอบหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า ข้าวฤดูใหม่ที่ผลิตออกจำหน่ายแก่ผู้บริโภคปลอดภัยจากกัมมันตภาพรังสี cesium ดังนี้

  • กำหนดมาตรฐานข้าวปนเปื้อนสารกัมมันตภาพรังสี cesium ไม่เกิน 500 Becquerel ต่อกิโลกรัม(Bq/kg.)
  • เนื่องจากกัมมันตภาพรังสี cesium จากดินที่เพาะปลูกจะเข้าไปปนเปื้อนใน ข้าวกล้องในอัตรา 0.1 จึงห้ามปลูกข้าวในพื้นที่ที่มีกัมมันตภาพรังสี cesium ในดินเกินกว่า 5,000 Bq/kg.
  • ผลผลิตข้าวในเมืองและหมู่บ้านที่มีการแผ่กระจายกัมมันตภาพรังสี cesium ในดินเกินกว่า 1,000 Bq/kg. หรือในบรรยากาศมากกว่า 0.1 micro-Sieverts ต่อชั่วโมง จะต้องผ่านการตรวจสารกัมมันตภาพรังสี ทั้งก่อนและหลังเก็บเกี่ยว ข้าวที่มีสารปนเปื้อนเกินระดับที่กำหนดไม่สามารถนำออกจำหน่ายได้ทั้งนี้ ข้าวจากจังหวัดที่ต้องผ่านการตรวจสอบระดับ cesium ก่อนนำออกจำหน่าย มีจำนวน 17 จังหวัด
คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับ food safety

มาตรฐานสัดส่วนสารกัมมันตภาพรังสีที่ทางการกำหนดนี้ ผู้บริโภคญี่ปุ่นจำนวนมากเห็นว่าไม่เข้มงวดพอ โดยผลจากการสำรวจของ Japan Finance Corp. เมื่อเดือนกันยายน 2554 พบว่า ผู้บริโภคร้อยละ 37 จะไม่ซื้ออาหารสดที่ผลิตจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสารกัมมันตภาพรังสี มีเพียงร้อยละ 28.2 ที่ไม่กังวลเรื่องความปลอดภัยของอาหารจากพื้นที่ดังกล่าว

เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค ผู้ผลิต ผู้ค้าปลีกอาหาร รวมทั้งเครือซุปเปอร์มาร์เก็ต บางรายกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยของอาหารขึ้นเองเข้มงวดกว่าที่ทางการกำหนด บางรายกำหนดมาตรฐาน สาร cesium ในข้าวไม่เกิน 50 Bq/kg.

ราคาข้าวภายในประเทศ

จากปัจจัยที่ พื้นที่ปลูกข้าวที่ปลอดภัยจากสารกัมมันตภาพรังสีลดลง ทำให้ผู้ค้าส่งคาดการณ์ว่าปริมาณผลผลิตปี 2554 ลดลงจากปีก่อน ราคาฤดูใหม่ จึงมีราคาสูงขึ้นกว่าปีที่แล้วประมาณร้อยละ 10-15

ข้าวพันธุ์ Koshihikari จากจังหวัด Nigata ซึ่งถือเป็นข้าวญี่ปุ่นคุณภาพดีที่สุด ราคาขายส่งอยู่ที่ 17,500 เยนต่อ 60 กก. ราคาสูงกว่าข้าวในฤดูเก็บเกี่ยวปี 2553 ร้อยละ 17 ขณะที่ข้าวพันธุ์ Akitakomachi จากจังหวัด Akita ราคาขายส่งสูงขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 21 เป็น 15,250 เยนต่อ 60 กก.

ราคาขายส่งที่สูงขึ้นผลักภาระไปสู่ระดับค้าปลีกในอัตราที่น้อยกว่า กล่าวคือ ซุปเปอร์มาร์เก็ตของบริษัท Inageya ในโตเกียวขายข้าว Koshihikari จากจังหวัด Nigata ในราคา 2,580 เยนต่อ 5 กก. แพงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 10 ส่วนเครือซุปอร์มาร์เก็ตอื่นๆ จำหน่ายปลีกข้าวแพงขึ้นจากปีก่อน 200 เยนหรือต่ำกว่า

อย่างไรก็ดี ล่าสุดปรากฎว่าดัชนีปริมาณการเกี่ยวข้าวของญี่ปุ่น ปี 2554 เท่ากับ 101 หรืออยู่ในระดับใกล้เคียงกับปริมาณโดยเฉลี่ย คาดว่าผลผลิตรวมทั้งประเทศประมาณ 8.16 ล้านตัน มากกว่าความต้องการที่รัฐบาลประมาณการณ์ไว้ 110,000 ตัน ดังนั้น ปริมาณการผลิตที่เพียงพอ และครัวเรือนได้สำรองข้าวไว้พอสมควร คาดกันว่าราคาข้าวใหม่จะโน้มลดลงสู่ระดับปกติ

การส่งออก-นำเข้า

ญี่ปุ่นส่งออกข้าวปีละไม่เกิน 50,000 ตัน ตลาดหลักของข้าวญี่ปุ่น ได้แก่ ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน รวมทั้งจีน ก่อนเหตุการณ์ 11 มีนาคม 2554 ญี่ปุ่นตั้งเป์าจะขยายการส่งออกข้าว โดยเฉพาะการส่งออกไปตลาดจีนให้ได้ ปริมาณ 200,000 ตันต่อปี แต่ผลกระทบจากอุบัติภัยครั้งใหญ่ทำให้ผลลิตข้าวเพื่อส่งออกในบางพื้นที่ลดลง กอรปกับประเทศ ผู้นำเข้า เช่น จีน ระงับการนำเข้าข้าวจากญี่ปุ่น ทำให้การส่งออก 8 เดือนแรก (มกราคม-สิงหาคม) ปีนี้ ปริมาณ 6,223 ตัน มูลค่า 7.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปริมาณและมูลค่าลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 41.6 และ 20.6 ตามลำดับ

การนำเข้าข้าวของญี่ปุ่นกำกับดูแลโดยกระทรวงเกษตร ประมง และป่าไม้ ซึ่งญี่ปุ่นมีพันธกรณีภายใต้ WTO ต้องนำเข้าข้าวจากต่างประเทศปีละ 682,000 ตัน ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนแรก General Import (GI) คือข้าวที่นำเข้าไปใช้แปรรูปในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น สาเก มิโซ ขนมขบเคี้ยวประเภท แซมเบ้ อาราเร่ เป็นต้น รวมทั้งการสำรอง และบริจาค ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ กำหนดปริมาณไว้ 582,000 ตัน ส่วนที่ 2 Simultaneous Buy & Sale (SBS) เป็นข้าวที่นำเข้าเพื่อจำหน่ายสำหรับการบริโภค หรือเรียกว่า Table Rice จำนวน 100,000 ตัน การนำเข้าภายใต้โควตาดังกล่าวไม่มีภาษีนำเข้าทางการญี่ปุ่นรับ margin จากการประมูล ส่วนการนำเข้านอกโควตาเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 341 เยนต่อกิโลกรัม

ในช่วง 6 เดือนครึ่งของปีงบประมาณนี้ ตั้งแต่ 1 เมษายน-14 ตุลาคม 2554 กระทรวงเกษตรฯ ญี่ปุ่นเปิดประมูลนำเข้าข้าว แบบ GI แล้ว 4 ครั้ง ปริมาณ 174,000 ตัน และแบบ SBS 1 ครั้ง 22,202 ตัน รวมทั้งสิ้น 196,202 ตัน ข้าวที่ผ่านการประมูลเป็นข้าวจากสหรัฐฯ 109,402 ตัน ของไทย 48,898 ตัน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 55.76 และ 24.92 ที่เหลือเป็นข้าวจากออสเตรเลีย และจีน ร้อยละ 12.23 และ 7.09 ตามลำดับ

สัดส่วนข้าวจากประเทศไทยปีนี้ลดลงจากปีงบประมาณ 2553 (1 เมษายน 2553 -31 มีนาคม 2554 ) ที่ข้าวจากไทยผ่านการประมูลเพิ่มขึ้นมากเป็นร้อยละ 45.37 ใกล้เคียงกับข้าวจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 1 ของญี่ปุ่นที่มีสัดส่วนร้อยละ 46.81 ขณะที่ ออสเตรเลีย และจีน มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 5.31 และ 2.43 ตามลำดับ ที่เหลือไม่ถึงร้อยละ 0.1 มาจากปากีสถาน อินเดียและอิตาลี

ข้าวที่ญี่ปุ่นนำเข้าส่วนใหญ่เป็นข้าวสาร ปริมาณข้าวหักและข้าวเหนียวมีเพียงเล็กน้อย ข้าวสารจากไทยเป็นข้าวเมล็ดยาวซึ่งเป็นสายพันธ์ Indica ขณะที่ข้าวจากสหรัฐฯ ออสเตรเลีย และจีน เป็นข้าวสายพันธ์ Japonica ชนิดเมล็ดกลางและเมล็ดสั้น

ราคาประมูลนำเข้าข้าวในปี 2554 นี้ ไม่แตกต่างจากราคาในปีก่อน ข้าวจากประเทศไทยมีราคาถูกกว่าข้าวจากแหล่งอื่น กล่าวคือ

  • ข้าวสารเมล็ดยาวจากประเทศไทย ราคาเฉลี่ยประมูลนำเข้าแบบ GI อยู่ระหว่าง 45,000-54,000 เยนต่อตัน ประมูลนำเข้าแบบ SBS ราคาซื้อ 74,000-130,000 เยนต่อตัน
  • ข้าวจากประเทศอื่นๆ ประมูลนำเข้าแบบ GI ราคาข้าวสารเมล็ดกลางอยู่ระหว่าง 74,000-83,000 เยนต่อตัน สำหรับข้าวที่ประมูลแบบ SBS ส่วนใหญ่เป็นข้าวสารเมล็ดสั้นราคาซื้อระหว่าง 148,000-175,000 เยนต่อตัน
การขยายตลาดข้าวในญี่ปุ่นแม้จำกัดแต่ยังมีโอกาส

การนำเข้าข้าวของญี่ปุ่นมีข้อจำกัดในการขยายตัว แม้ข้าวญี่ปุ่นมีราคาแพงเพราะต้นทุนการผลิตสูง แต่ ข้าวนำเข้าจากประเทศต่างๆ แข่งขันกับข้าวภายในประเทศได้ไม่เต็มที่ เนื่องจากมาตรการนำเข้า ทั้งการจำกัดปริมาณภายใต้โควตาที่ต้องประมูลผ่านกลไกกระทรวงเกษตรฯ ญี่ปุ่น และอัตราภาษีนอกโควตาที่มีอัตราสูง ทำให้ราคาข้าวนำเข้าสูงกว่าหรือใกล้เคียงราคาข้าวในประเทศ อย่างไรก็ตาม การรักษาคุณภาพ ให้เป็นที่ยอมรับและมั่นใจแก่ทั้งผู้นำเข้า อุตสาหกรรมแปรรูปที่ใช้ข้าวเป็นวัตถุดิบ ตลอดจนผู้บริโภค เป็นปัจจัยสำคัญที่ไทยจะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการนำเข้า ขยายการส่งออกมายังตลาดนี้ได้

สำหรับการประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ในประเทศไทยปีนี้ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิตข้าวนาปีของไทย และในฐานะที่ไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลกจะส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดโลกสูงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลสืบเนื่องให้ราคานำเข้าของญี่ปุ่นสูงขึ้นไปด้วย

แหล่งข้อมูล
  • Grain Trade Division, General Food Bureau, Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries
  • "The Damage caused by the Great East Japan Earthquake and Actions taken by Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries", www.maff.go.jp
  • Japan Customs, Ministry of Finance
  • "Rice farmers plan tough new radiation limits" page 2, The Japan Times, October 15, 2011
  • "New Rice Hits Store With 10-15 % Price Markup From Last Year" Nikkei Online, October 10, 2011
  • "Food Safety Fears Hard to Shake" Nikkei Online, October 3, 2011

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว

ที่มา: http://www.depthai.go.th


แท็ก ญี่ปุ่น  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ