ข้าวพันธุ์หลักของอิตาลี ได้แก่ Arborio, Baldo, Carnaroli, Padano, Roma, และ Vialone Nano โดยข้าวพันธุ์ Carnaroli และ Vialone Nano เป็นข้าวคุณภาพดีที่สุดและราคาค่อนข้างสูง ข้าวของอิตาลีจะแยกประเภทของข้าวตามขนาดของเมล็ดเป็นหลักในการเลือกใช้ประกอบอาหาร กลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจอาหาร (โรงแรม, ภัตตาคาร, ร้านอาหารท้องถิ่น) และบางส่วนเป็นนักท่องเที่ยวชาวยุโรป พันธุ์ Carnaroli และ Vialone Nano เป็นข้าวที่ได้รับความนิยมในประเทศสาธารณรัฐเช็ก เป็นข้าวเมล็ดกลมขนาดกลางถึงสั้น สำหรับข้าวเมล็ดกลางใช้ทำอาหารที่ใช้ระยะเวลานานได้ โดยที่ข้าวไม่เละ สำหรับข้าวเมล็ดเล็กใช้สำหรับประกอบอาหารที่ใช้ระยะสั้นในการปรุงซึ่งคุณสมบัติที่โดดเด่น คือสามารถดูดซึมเครื่องปรุงอาหารได้ดี ทำให้รสชาดอาหารกลมกล่อม ส่วนข้าวชนิดอื่น เช่น Roma, Baldo, Ribe and Originario สามารถใช้ทำเป็นซุป หรือ non-risotto rice หรือ ทำเป็นขนมหวานก็ได้ ราคาโดยเฉลี่ยของข้าวอิตาลี อยู่ระหว่าง 1.87 - 2.50 ยูโร/1 กก.
ข้าวหอมมะลิของไทยส่วนใหญ่เป็นข้าวที่ได้รับความนิยมในประเทศสาธารณรัฐเช็ก และเป็นสินค้าคุณภาพดี ราคาค่อนข้างสูง กลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่กลุ่มธุรกิจบริการอาหาร (โรงแรม, ภัตตาคาร, ร้านอาหารเอเชีย, ร้านอาหารจีน) โดยข้าวหอมมะลิไทยจะเน้นที่การบริโภคร่วมกับอาหารต้ม ผัด แกง ทอด ราคาที่วางจำหน่ายในซุปเปอร์มาร์เกตราคาโดยเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 2.5-4.0 ยูโร/1 กก.
ข้าวหอมมะลิไทยยังได้รับความนิยมในกลุ่มคนเอเชียที่อาศัยอยู่มากจำนวน 74,032 คนในประเทศสาธารณรัฐเช็ก และมีแนวโน้มจำนวนเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะคนเวียดนามเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 20 ในระยะเวลา 8 ปี (ตารางที่ 4) ซึ่งจะเห็นได้ว่าผลิตภัณฑ์ข้าวหอมมะลิที่วางจำหน่ายในตลาดเวียดนามนั้น มีบรรจุภัณฑ์ที่ใหญ่กว่าขายในซุปเปอร์มาร์เกต มีขนาดตั้งแต่ 5-20 กก./ถุง แสดงให้เห็นว่ากลุ่มผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มครัวเรือน รู้จักวิธีการหุงข้าวหอมมะลิไทย และการรับประทานตามวัฒนธรรมของแต่ละชาติ ราคาที่จำหน่ายในตลาดเวียดนามจะถูกกว่าในซุปเปอร์มาร์เกตโดยเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 1.5-2.0 ยูโร/1 กก.
ประเด็นกลุ่มผู้บริโภค สินค้าข้าวของทั้งสองประเทศ เป็นสินค้าคุณภาพดี ราคาค่อนข้างสูง ที่ส่งมาขายในประเทศสาธารณรัฐเช็ก กลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่เหมือนกัน คือ กลุ่มธุรกิจอาหาร (โรงแรม, ภัตตาคาร, ร้านอาหาร) และกลุ่มครัวเรือนเป็นกลุ่มที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี ระดับรายได้ปานกลางถึงสูง
ประเด็นด้านคุณภาพ วิธีการนำข้าวมาปรุงแตกต่างกัน โดยข้าวอิตาลีเป็นที่นิยมนำมาปรุงรสคลุกเคล้ากับเครื่องปรุง รวมถึงสามารถนำมาทำซุปและขนมหวานได้ เนื่องจากข้าวมีความแข็งและไม่เละในระหว่างการปรุงอาหาร ส่วนข้าวไทยที่มีความนุ่ม หอม เป็นที่นิยมนำมารับประทานพร้อมกับอาหารต้ม ผัด แกง ทอด
ประเด็นด้านราคา เมื่อเปรียบเทียบราคาจะเห็นได้ว่าราคามีความหลากหลายตามคุณภาพ ยี่ห้อสินค้า ขนาดบรรจุภัณฑ์ ข้าวหอมมะลิของไทย มีราคาโดยเฉลี่ยเป็นสองเท่าของข้าวอิตาลี ที่วางจำหน่ายในซุปเปอร์มาร์เกต โดยที่คุณภาพของสินค้าทั้งสองอยู่ในระดับพรีเมียม
ที่มา: http://www.depthai.go.th