ปัจจุบันตลาดสินค้าเครื่องประดับและอัญมณีในเยอรมนียังมีแนวโน้มที่แจ่มใสตามภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าตลอดปี 2554 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 และร้อยละ 1.8 ในปี 2555 มีการว่าจ้างงานเพิ่มขึ้นและจำนวนคนงานว่างงานลดลง และเนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจต่างๆ โดยเฉพาะวิกฤติเงินยูโรที่มีผลทำให้ในช่วงต่อจากนี้ไปเยอรมนีจะมีภาระต้องรับผิดชอบเป็นวงเงินกว่า 2 แสนล้านยูโร ทำให้มีการบริโภคสินค้าที่มีราคาสูงมากขึ้น เพราะเกรงว่าเงินสกุลยูโรจะมีค่าลดลง จึงสะสมทองคำหรือซื้อเครื่องประดับแท้ราคาแพงๆ กันมากขึ้น ยอดการจำหน่ายเครื่องประดับแท้ เทียมและของใช้ทำด้วยโลหะมีค่าในเยอรมนีจึงขยายตัวเพิ่มขึ้น มียอดการจำหน่ายทั้งสิ้นเป็นมูลค่า 227 ล้านยูโร เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.9 เป็นการจำหน่ายในประเทศมูลค่า 118.8 ล้านยูโร เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.1 และในต่างประเทศมูลค่า 91.5 ล้านยูโร มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 75.3
สินค้าส่วนใหญ่ที่เยอรมนีนำเข้ายังคงเป็นวัตถุดิบ โลหะมีค่าต่างๆ เช่น ทองคำ แพลทินัม อัญมณีมีค่าต่างๆ เพื่อการผลิตเป็นเครื่องประดับต่อไป โดยในช่วง 7 เดือนแรกปี 2554 นี้มีการนำเข้าเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 9,991 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.3 ที่สำคัญๆ ได้แก่ โลหะมีค่า เช่น แพลทินัม และทองคำ แหล่งนำเข้าที่สำคัญๆ ได้แก่ สวิส แอฟริกาใต้ รัสเชีย และเบลเยี่ยม เป็นต้น
ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2554 (ม.ค.-ก.ย.) ไทยส่งออกสินค้ารายการนี้ไปเยอรมนีเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 211.4 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือร้อยละ 7.2 ของการส่งออกสินค้าไทยไปเยอรมนีทั้งสิ้น มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นจากปีก่อนระยะเดียวกันร้อยละ 30.5 สินค้าที่ส่งออกมากอันดับแรกจะเป็น เครื่องประดับแท้ทำด้วยเงิน มูลค่า 92.8 ล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.2 คิดเป็นส่วนแบ่งในตลาดเยอรมนีร้อยละ 25 คู่แข่งสำคัญของสินค้ารายการนี้คือ เดนมาร์ค จีนและอิตาลีมีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 33, 25 และ 5 ตามลำดับ เครื่องประดับแท้ทำด้วยทองคำและโลหะมีค่าอื่นๆ ไทยส่งออกไปเยอรมนีเป็นมูลค่า 31.3 ล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.3 คิดเป็นส่วนแบ่งในตลาดเยอรมนีร้อยละ 10 คู่แข่งสำคัญ ได้แก่ สวิส ฝรั่งเศส และเดนมาร์ค มีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 27, 17 และ 11 ตามลำดับ สำหรับ เครื่องประดับอัญมณีเทียม ไทยส่งออกไปเยอรมนีมูลค่า 24.0 ล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 236.8 แหล่งนำเข้าสำคัญของเยอรมนีจะเป็นจีนมีส่วนแบ่งตลาดประมาณร้อยละ 54 ออสเตรีย ร้อยละ 18 และฮ่องกง ร้อยละ 3 ส่วนไทยมีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 2.9
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงเบอร์ลิน
ที่มา: http://www.depthai.go.th