ถ้าคุณต้องการเข้าตลาดสหรัฐอเมริกา: 12 ขั้นตอนง่ายๆ ที่จะหลีกเหลี่ยงการถูกฟ้องร้อง

ข่าวเศรษฐกิจ Friday November 18, 2011 14:12 —กรมส่งเสริมการส่งออก

บทความจาก Frank J. Ciano, นักกฎหมายของบริษัท Goldberg Segalla LLP.

เป็นที่รู้ดีว่าผู้บริโภคในประเทศสหรัฐอเมริกาชอบสินค้าที่มีการออกแบบและผลิตในเอเชีย แม้ว่ามีสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซา ผู้บริโภคก็ยังค้นหาและยอมจ่ายราคาสูงในคุณภาพและการออกแบบของสินค้าจากบริษัทเอเชียที่ไม่สามารถทำเลียนแบบได้

อย่างไรก็ตาม หลายบริษัทยังลังเลที่จะเข้าสู่ตลาดในอเมริกาเนื่องจากความสลับซับซ้อนของระบบกฏหมายและความเสี่ยงในการถูกฟ้องร้อง ถูกต้องแล้วที่บริษัทต่างๆ มีความกังวลกับปัญหานี้ ในสังคมอเมริกาเป็นสังคมที่มีการฟ้องร้องกันมาก กฎในการฟ้องร้องในสหรัฐอเมริกาดูเหมือนเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก การสู้คดีความมีค่าใช้จ่ายสูงมากและใช้เวลานานในกระบวนการ ระบบของศาลในสหรัฐอเมริกาเป็นระบบที่ให้ความสำคัญกับผู้บริโภคอย่างมากและคณะลูกขุนของอเมริกาจะไม่ลังเลที่จะให้มีการชดใช้จำนวนเงินเป็นล้านๆ เหรียญสหรัฐฯ ปัจจัยเหล่านี้เพียงพอแล้วที่จะทำให้บริษัทหมดกำลังใจที่จะเข้ามาในตลาดสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม ความยุ่งยากที่เกิดขึ้นจากการถูกฟ้องร้องสามารถหลีกเหลี่ยงได้ด้วยการช่วยเหลือของผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำคดี: บุคคลเหล่านี้สามารถใช้กลยุทธ์การป้องกันการฟ้องร้องและจะช่วยธุรกิจของคุณให้รอดพ้นจากการถูกฟ้องและลดความเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดีได้ น่าแปลกใจที่ความเสี่ยงเหล่านี้สามารถหลีกเหลี่ยงได้ด้วยการลงทุนเพิ่มเพียงเล็กน้อย บริษัทจำเป็นต้องตระหนักถึงความเสี่ยงต่างๆ จากนั้นใช้การวางนโยบายและกระบวนการต่างๆ ในการจัดการ หากถูกฟ้องร้อง นโยบายและกระบวนการเหล่านี้จะทำให้บริษัทมีการป้องกันที่ได้ผลและยังลดความเสียหายของบริษัทอีกด้วย

ข้างล่างนี้เป็น 12 ขั้นตอนที่จะรักษาบริษัทของคุณให้เดินถูกทางและไม่ถูกดำเนินคดี เมื่อคุณเข้ามายังตลาดสหรัฐอเมริกา การวางแผนต้องเริ่มต้น ก่อนที่คุณจะเข้ามาในตลาดสหรัฐฯ เพื่อที่บริษัทของคุณจะได้รับการป้องกันมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จากการเริ่มขายครั้งแรกของคุณ และถึงแม้ว่าคุณจะเข้ามาในตลาดแล้วก็ตาม มันก็ยังไม่สายเกินไปที่จะใช้กระบวนการเหล่านี้ลดความเสี่ยงในอนาคตของคุณให้เหลือน้อยที่สุดอีกด้วย

1. ยืนยันว่าไม่มีการละเมิดสิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า หรือ ทรัพย์สินทางปัญญา

ตราสินค้า (Brand recognition) ถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุดของบริษัท ฉะนั้นคุณจึงใช้เวลาและเงินจำนวนมากในการพัฒนาตราสินค้าของคุณในสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตามคุณจะมีอิสระในการใช้ชื่อของบริษัท ชื่อของสินค้าและการขายสินค้าของคุณในสหรัฐอเมริกาหรือ?

ผู้เขียนเคยทำงานให้กับลูกค้าที่ต้องการเข้าสู่ตลาดสหรัฐอเมริกาในค่าจ้างที่สูงเพื่อที่จะทำการประชาสัมพันธ์ชื่อบริษัทและชื่อสินค้าในสื่อทั่วสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้ใช้เงินจำนวนมาก ลูกค้าได้รับจดหมายจากอีกบริษัทโดยอ้างว่าบริษัทอื่นได้ใช้ชื่อบริษัทของลูกค้าหรือสินค้าของลูกค้าที่เหมือนกันไปแล้ว บริษัทนั้นเรียกร้องให้ลูกค้าของผู้เขียน “หยุดและเลิก” ใช้ชื่อในทันที

มีหลายสถานการณ์ที่หลายบริษัทคิดว่าตนเองมีการออกแบบ “ที่แตกต่าง- Unique” แต่แท้จริงแล้วกลับมีบริษัทอื่นมีสิทธิบัตรหรือทรัพย์สินทางปัญญาที่ถูกต้องที่เป็นเจ้าของอยู่ ดังนั้นในทางกฎหมายแล้วไม่สามารถผลิต ใช้ พัฒนาหรือขายสินค้าในประเทศสหรัฐอเมริกาได้!

ในสถานการณ์นี้ บริษัทของลูกค้ามีทางเลือกอยู่ 4 ข้อได้แก่

1. ถอนตัวออกจากตลาดสหรัฐอเมริกาและเสียเวลา เงิน พลังงานทั้งหมดและทรัพยากรทั้งหมดที่บริษัทลงทุนไป แน่นอนว่าไม่มีใครต้องการทางเลือกนี้

2. เปลี่ยนชื่อบริษัทหรือชื่อสินค้าที่ลูกค้าได้ใช้เวลาและทรัพยากรในการทำธุรกิจไปแล้ว ทางเลือกคือคนที่ออกแบบสินค้าอาจจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงสินค้าเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงจากสิทธิบัตรอื่นๆ อย่างไรก็ตาม เกิดค่าใช้ในการเปลี่ยนแปลงสินค้า 1,000 ชิ้นนั้น ถึงแม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากสินค้าที่ได้ถูกนำเข้าและกระจายไปในตลาดแล้ว เป็นสิ่งที่ยากจะทำได้

3. ไม่สนใจจดหมายนั้นและทำตามแผนการตลาดที่ได้วางเอาไว้ โดยหวังว่าบริษัทอื่นจะไม่ติดตามผลในการฟ้องร้องหรือถ้ามีการฟ้องร้องอย่างที่มีการกล่าวอ้างก็สามารถชนะได้ อย่างไรก็ตามการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาเป็นข้อเสนอที่แพงมากและค่าธรรมเนียมด้านกฎหมายและค่าใช้จ่ายอื่นๆ อาจจะต้องใช้เงินเป็นล้านเหรียญสหรัฐฯ ดังนั้นถึงแม้ว่าคุณจะชนะคดีความ คุณก็ต้องเสียเงินจำนวนมากอยู่ดี ยิ่งกว่านั้นจดหมายที่แจ้งมาให้หยุดดำเนินการนั้นจะเปลี่ยนบริษัทของคุณจากการเป็น “ผู้ทำผิดกฎหมายอย่างบริสุทธิ์ใจ-innocent infringer” ไปเป็น “ผู้ทำผิดกฎหมายอย่างตั้งใจ-willful infringer” ซึ่งอาจจะทำให้บริษัทของคุณอยู่ในฐานะลำบากมากขึ้นไปเป็นสามเท่าเพราะจะมีค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายให้ทนาย (คู่กรณี) เพิ่มขึ้นจากค่าทนายของคุณเองอีก

4. ต่อรองในเรื่องใบอนุญาติจดทะเบียนกับบริษัทคู่กรณี อย่างไรก็ดีถ้าอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบทางกฎหมายมันก็ไม่มีเหตุผลที่จะเลือกทำข้อนี้และจะยิ่งทำให้กำไรจากการดำเนินกิจกรรมในตลาดสหรัฐฯ ของคุณหายไปอีกด้วย

ดังนั้นความล้มเหลวในการยืนยันข้อบังคับต่างๆ ที่มีในสหรัฐอเมริกาจะทำให้คุณอยู่ในฐานะที่อึดอัดอย่างมาก ไม่มีทางเลือกที่จะหนีไปไหนได้ บริษัทลูกค้าที่อยู่ในสถานการณ์ที่กล่าวมานี้รู้สึกมหัศจรรย์ใจเมื่อได้ทราบว่าสามารถใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อย (ที่จำเป็น) ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาที่ใหญ่หลวงและต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงไปได้ ฉะนั้น จงอย่าตกหลุมพรางนี้เด็ดขาด

2. ปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของตัวเอง

ถ้าชื่อบริษัทของคุณหรือสินค้า โลโก้ของคุณ เป็น ที่รู้จักในตลาดแล้ว คุณต้องปกป้องสิทธิ์ ถ้าสินค้าคุณนำเสนอการออกแบบที่ “ใหม่ เป็นประโยชน์และไม่ชัดเจนเฉพาะเจาะจง” คุณต้องป้องกันไม่ให้บุคคลอื่นมาขโมยการออกแบบของคุณ ถ้าสินค้าของคุณมีความลับทางการค้าอื่น วิธีการในการทำธุรกิจ แผนธุรกิจที่เป็นความลับหรือทรัพย์สินทางปัญญาอื่นๆ คุณจำเป็นที่ต้องทำข้อตกลงกับคู่ค้าที่จะไม่เปิดเผยข้อมูลเหล่านั้นและทำสัญญาในการป้องกันบุคคนที่สาม (Third parties) ที่จะเข้ามาหาประโยชน์ กำไรอย่างไม่เป็นธรรม

หากไม่มีการปกป้องสิทธิ์ตั้งแต่เริ่มต้นกิจการ บุคคลอื่นสามารถขโมยผลการวิจัยและการพัฒนาการวางแผนสินค้าและกลยุทธ์การตลาด ตลอดจนสิ่งอื่นที่คุณทุ่มเททำมา โดยผลักคุณออกจากตลาดที่คุณสร้างขึ้น ซึ่งต้นทุนของการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของคุณจะเล็กน้อยมากถ้าเปรียบเทียบกับความเป็นไปได้ในการสูญเสียอย่างมหาศาลในธุรกิจ

3. ยืนยันว่าสินค้าถูกต้องตามระเบียบตรงตามมาตรฐาน

สหรัฐอเมริกามีมาตรฐานของหลายหน่วยงานทั้งรัฐบาลกลาง มลรัฐ เทศบาลและท้องถิ่น ที่มีผลต่อการออกแบบ การผลิต การขาย การใช้ หรือ การติดตราสินค้า มาตรฐานบางอย่างเป็นแบบ “บังคับใช้ - Mandatory” และ “สมัครใจ - Voluntary” รายชื่อของบางส่วนของหน่วยงานที่ประกาศใช้เป็นมาตรฐานคือ

1. American National Standards Institute (ANSI)

2. American Society of Testing and Materials (ASTM)

3. Underwriters Laboratories (UL)

4. National Highway Traffic and Safety Administration (NHTSA)

5. Consumer Products Safety Commission (CPSC)

6. Food and Drug Administration (FDA)

7. Federal Trade Commission (FTC)

8. United States Coast Guard (USCG)

9. Federal Aviation Administration (FAA)

10. Snell Memorial Foundation

11. อื่นๆ

ความหมายของคำว่า “บังคับใช้” และ “สมัครใจ” สามารถทำให้บริษัทสับสนและเกิดความเสี่ยงในการทำธุรกิจ มาตรฐานการบังคับใช้เป็นสิ่งที่บริษัทต้องปฎิบัติตาม เพื่อที่จะให้บริษัทรับอนุญาติในการขายสินค้าของตัวเองในประเทศสหรัฐอเมริกา ถ้าเป็นมาตรฐานสมัครใจจะอยู่ในดุลพินิจของผู้ผลิต

อย่างไรก็ตาม จากมุมมองทางกฏหมาย มาตรฐานทั้งหมดเป็นการบังคับใช้ (ต้องปฏิบัติ) หากลักษณะใดลักษณะหนึ่งของสินค้าไม่ว่า— การออกแบบ วิธีการผลิต วัตถุดิบที่นำมาผลิต ตัวอักษรบนสินค้าหรือตราที่ติดบนสินค้า — ไม่ได้ปฎิบัติตามมาตรฐานการบังคับใช้หรือความสมัครใจ สินค้านั้นจะถือว่าบกพร่องและจะทำให้บริษัทถูกฟ้องร้องและต้องชำระเงินที่เกิดขึ้นจากความเสียหายนั้น ถ้าเป็นการไม่ปฎิบัติตามที่บังคับใช้โดยเจตนา คุณจะได้รับการลงโทษในการเรียกร้องค่าเสียหายนั้น

บ่อยครั้งที่สินค้าสามารถถูกนำไปสู่การปฎิบัติตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้องโดยการแก้ไขเล็กๆ น้อยๆ อย่างไรก็ตาม การนำสินค้าไปออกแบบใหม่ การพิมพ์การบรรจุผลิตภัณฑ์ใหม่ การซื้อวัตถุดิบใหม่ หรือการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ โดยทั่วไปแล้วจะเป็นต้นทุนที่สูงไม่คุ้มกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลง การวิจัยเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อจะได้ทำให้เข้าใจและปฎิบัติตามมาตรฐาน “บังคับใช้” และ “สมัครใจ” จะได้ทำให้การเข้าตลาดอเมริกาไม่ติดขัดและได้ประโยชน์

4. ยืนยันคู่มือการเป็นเจ้าของ การเตือน คำแนะนำ ใบรับรอง ให้เป็นไปตามปฎิบัติตามมาตรฐานและกฎหมาย

ช่วงเวลา 21 ปีในการเป็นผู้แทนโรงงานผลิดสินค้าผู้เขียน ได้รับผิดชอบกับเรื่องสินค้าเป็นร้อยเรื่อง มีเพียง 2 สินค้าเกิดปัญหาจากการผลิตที่บกพร่อง ขณะที่การร้องเรียนเกือบทั้งหมดกล่าวโทษว่าเป็นข้อบกพร่องของการออกแบบ เกือบทุกกรณีเราสามารถที่จะป้องกันได้โดยการสนับสนุนการออกแบบสินค้า เหตุผลคือ? บริษัทใช้เงินเป็นล้านๆ ยูโรในการออกแบบสินค้า เขาใช้เงินอีกหลายล้านในการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในโรงงาน ดังนั้นกรณีเหล่านี้ง่ายมากในการป้องกันในการถูกฟ้องร้อง

อย่างไรก็ตาม กรณีทั้งหมดที่ได้ทำมา การร้องเรียนจะกล่าวหาว่าคำเตือนบนสินค้า คำแนะนำสินค้าและเอกสารอื่นๆ ของสินค้า (เช่น คู่มือการเป็นเจ้าของ ใบรับรองและข้อความการโฆษณา) ไม่ได้ปฎิบัติตามมาตรฐานที่ถูกกำหนดตามกฎหมาย กรณีเหล่านี้ผู้ร้องเรียนจะทำให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงมากต่อการแพ้คดี เหตุผลคือ? ในการรีบนำสินค้าเข้าสู่ตลาด บริษัทไม่ได้ใช้เวลาเพียงพอในการพัฒนาคู่มือการเป็นเจ้าของ คำเตือนสินค้าและข้อความในเอกสารสินค้าอื่นๆ ถ้าเขาไม่ได้เตรียมเอกสารและไม่ได้ทำตามมาตรฐานที่ถูกกำหนดตามกฎหมาย ในการออกแบบที่สมบูรณ์และการผลิตสินค้าถ้ายังขาดข้อมูล ไม่มีคำเตือนบนสินค้าที่เหมาะสม จะทำให้สินค้าเป็นอันตรายต่อผู้ใช้สินค้า บริษัทจึงต้องบฎิบัติตามข้อความที่ได้กำหนดไว้

ระยะเวลาที่ต้องใช้ในการพัฒนาเนื้อหาข้อความในสินค้าที่เหมาะสมและต้นทุนที่เกี่ยวข้องเป็นสิ่งเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ วิศวกรรม และการผลิตสินค้า การประหยัดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการหลีกเลี่ยง “พลาดไปในคำเตือน (ไม่ได้เตือน)” เป็นความเสียหายจากการเรียกร้องที่มหาศาล น่าแปลกที่ยังมีบริษัทที่ผลิตสินค้าราคาแพง (high—end product) แต่ทำคู่มือที่มีคุณภาพต่ำ ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงอย่างสูง นี้คือตัวอย่างของความเสี่ยงที่สามารถหลีกเลี่ยงได้อย่างง่ายที่สุดอันหนึ่ง

5. ยืนยันการทำการโฆษณาที่เป็นข้อความและป้ายของสินค้าอื่นๆ ให้ปฎิบัติตามการควบคุมสินค้ากับตัวแทนสินค้า

หลายรัฐในสหรัฐอเมริกาได้มีการออกกฎที่เรียกว่า “การปกป้องผู้บริโภค - consumer protection” หรือ “การโฆษณาเกินจริง — commercial fraud” เป็นกฎที่เกี่ยวกับตัวแทนสินค้าทำกับบริษัทผลิตสินค้าในการทำการโฆษณาสินค้า เหมือนกฎหมายที่ใช้ในการควบคุมตัวแทนสินค้าต่างๆ ว่าข้อความใดสามารถบอกไว้บนสินค้าของตัวเอง (ตัวอย่างเช่น ภายใต้ข้อกำหนดใดจึงจะสามารถประทับตราบนสินค้าว่า “Made in Italy” เมื่อส่วนประกอบบางส่วนของสินค้านั้นมาจากที่อื่นหรือถูกประกอบในประเทศจีน)

ในการใช้ข้อบังคับที่เข้มงวดในการควบคุมส่วนประกอบต่างๆ คุณต้องให้สินค้าของคุณเปิดเผยส่วนประกอบในส่วนที่จำเป็นในการผลิต ตัวอย่างเช่น เครื่องสำอางมีข้อกำหนดมากมายที่กำหนดขึ้นโดยรัฐบาลและต้องเปิดเผยส่วนประกอบสำคัญทั้งหมดและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นด้วย เหมือนกับการกำหนดปริมาณมากสุดของสารตะกั่วที่สามารถใช้ในสินค้า กฎหมายที่กล่าวมานี้ได้นำมาใช้ ถ้าคุณละเมิดกฎและผู้ใช้สินค้าของคุณได้รับอันตรายจากสินค้านั้น (ทั้งทางร่างกายหรือทางการเงิน) เขาจะสามารถฟ้องร้องคุณได้และความเสียหายจะเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่า รวมทั้งค่าทนายด้วย

บริษัทต้องประเมินผลและปฎิบัติตามการควบคุมของกฎหมายและข้อกำหนดต่างๆ ก่อนที่จะเริ่มลงทุนในเวลา เงิน พลังงานของคุณในแผ่นโฆษณาสินค้าและการติดตราสินค้าของคุณ

6. พัฒนาระบบการเก็บรักษาเอกสาร

ในกฎหมายเรื่องความรับผิดชอบของสินค้า (ต่อผู้บริโภค) บริษัทจะต้องแสดงหลักฐานโต้แย้งการฟ้องร้องว่าสินค้านั้นไม่มีข้อผิดพลาดทางการออกแบบ การผลิตและคำเตือนในสินค้านั้น ในส่วนของการพิสูจน์ บริษัทต้องทำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเรื่องต่อไปนี้

1. วิจัยและการพัฒนา

2. การคำนวณในการออกแบบ

3. การทดสอบ

4. การผลิต

5. การควบคุมคุณภาพ

6. ข้อเรียกร้องการประกัน (Warranty claims)

7. การโฆษณา

8. อุบัติเหตุ/ ข้อผิดพลาด/ข้อร้องเรียน/ประวัติการร้องเรียน

9. การวิจัยตลาดและการวิเคราะห์

เอกสารนี้มีความสำคัญต่อบริษัทที่จะอธิบายว่าบริษัทดูแลการลงทุนในแต่ละสินค้าเป็นอย่างดี ในการนำสินค้าเข้าสู่ตลาด พร้อมด้วยคุณสมบัติการผลิตสินค้าที่ดี

เมื่อบริษัทไม่ได้เตรียมข้อมูลพวกนี้ ทนายของผู้ฟ้องร้องกล่าวหาว่าบริษัทได้ทำลายความน่าชื่อถือของบริษัทและมีจุดประสงค์ที่ชั่วร้าย เช่นการป้องกันตัวเองโดยปิดบังหลักฐานในการทำให้ผู้ฟ้องร้องเสียหาย คำตัดสินของศาลในการพิจารณาคดีในกรณีที่บริษัทแพ้คดี (หลายๆครั้ง) เกิดจากที่บริษัทไม่มีความสามารถในการเตรียมเอกสารเพื่ออธิบายความตั้งใจของตัวเอง

ทั่วไปแล้วการฟ้องร้องใช้เวลาหลายปีหลังจากการออกแบบ ผลิต และจำหน่าย หลังจากวิศวกรหรือผู้คุมในการทำบันทึกได้ลาออกไป การย้ายโรงเก็บสินค้า การซื้อขายแผนกต่างๆของบริษัท และการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ที่เกิดขึ้น บ่อยครั้งที่บริษัทไม่สามารถนำเอกสารมาแสดงได้

บริษัทต้องเก็บรักษาเอกสารและข้อมูลให้เป็นระบบ สามารถแยกชนิดของเอกสาร ถ้าเอกสารนั้นถูกทำลาย (ทั้งหมด) ระบบต้องเป็นระบบที่เหมาะสมในการกำหนด แยกชนิด บำรุงรักษาและจัดเก็บเอกสารนั้นเพื่อที่จะสามารถนำมาใช้ได้อีกในอนาคตเมื่อเกิดการฟ้องร้องขึ้น การเตรียมตัวที่ดี เครื่องมือที่ดีและระบบที่ใช้การได้จริง จะสามารถช่วยให้บริษัทพร้อมในการป้องกันผู้ฟ้องร้อง ป้องกันข้อกล่าวหาจากทนายของผู้ฟ้องร้องและหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษจากศาลได้

7. พัฒนาการรับประกันสินค้าและวิธีการตรวจสินค้า

บริษัทต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในคุณภาพของสินค้าในด้านต่างๆ และต้องดำเนินการในทันทีที่สินค้าเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค นอกจากนี้ สังคมในปัจจุบันไม่อนุญาตให้บริษัทเพียงทำการติดตามคุณภาพของสินค้าของตัวเองแบบง่ายๆ อีกต่อไป บริษัทถูกบังคับให้ติดตามการใช้ การใช้ที่ผิดและแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นจากสินค้าของทั้งอุตสาหกรรมที่จะมีผลต่อความปลอดภัยของผู้บริโภคสินค้า บริษัทถูกบังคับที่จะตอบสนองต่อทุกสถานการณ์ที่จะทำอันตรายต่อการบริโภคของประชาชน

ฉะนั้นบริษัทต้องมีสินค้าที่ดีและมีระบบการดูแลการตลาดและวิธีการป้องกันที่ดี ที่ควบคุมว่าบริษัทจะทำอย่างไรในการจัดการกับเรื่องของความปลอดภัย บริษัทต้องมีเอกสารที่เหมาะสมในการตอบโต้หรือสาเหตุในการไม่ตอบโต้ ความผิดที่เกิดขึ้นจะทำให้บริษัทอยู่ในฐานะที่ลำบากและจะไม่ได้รับความเห็นใจจากคณะลูกขุน

ระบบและวิธีการที่กล่าวมานี้ไม่แตกต่างในการปฎิบัติ ความจริงแล้วเหมือนกับการทำกิจกรรมการตลาดปกติ ทำให้บริษัทไม่ต้องมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นหรือเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย บริษัทก็จะสามารถป้องกันการถูกฟ้องร้องได้

8. พัฒนาโปรแกรมการบริหารจัดการการค้นหาอิเล็กทรอนิกส์

ตรวจสอบอีเมล์ ดูว่าจำนวนอีเมล์ที่คุณส่งในวันนี้ คูณด้วยจำนวนพนักงานในบริษัทคุณ ประมาณการจำนวนอีเมล์ที่ได้รับและการส่งต่ออีเมล์ไปให้คนอื่นๆ จากนั้นนำมาคูณด้วยจำนวน Server ของแต่ละอีเมล์ที่ส่งถึงผู้รับ จากนั้น นำมารวมเป็นผลของแต่ละวัน ของปี และ5 ปีที่ผ่านมา จำนวนอีเมล์ที่ส่งจากพนักงานบริษัทของคุณเป็นอย่างไร

ในคดีความ ผู้ฟ้องร้องจะเรียกดูจากอีเมล์ทั้งหมดที่มีความเกี่ยวข้องในหัวข้อนั้น คุณจะถูกบังคับให้ค้นหาอีเมล์ที่เกี่ยวข้องเหล่านั้น คุณสามารถค้นหาอีเมล์ที่คุณส่งไปแล้ว 4 ปีก่อนให้กับเพื่อนร่วมงานของคุณในเรื่องที่คุณต้องการหาได้หรือไม่? ถ้าบริษัทของคุณไม่มีระบบการค้นหาเรื่องในระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ดีจะทำให้คุณต้องเสียเวลา เงินและพลังงานไปกับการหาอีเมล์นั้น โดยทั่วไปแล้วคุณจะไม่สามารถเจอมันเลย

ถ้าไม่สามารถหาที่มาของอีเมล์ได้ ผู้ฟ้องร้องสามารถเรียกร้องให้ศาลสั่งให้บริษัทของคุณเรียกกลับมาดู (backing up) ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ได้ ขึ้นอยู่กับขนาดของบริษัทคุณ ความผิดพลาดในการเรียกข้อมูลกลับมาจะทำให้ข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ของคุณ overload อาจจะทำให้เกิดความเสียหายในระบบเกิดขึ้น

ต่อมา ผู้ฟ้องร้องสามารถเรียกร้องให้ศาลสั่งให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของคุณ Server ระบบการวางสายของบริษัท ในการหาอีเมล์ที่จำเป็น ผู้ฟ้องร้องสามารถเรียกร้องให้คุณจ่ายค่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด ผู้เชี่ยวชาญจะสามารถเข้าไปดูข้อมูลส่วนตัวของคุณได้

ท้ายสุด โปรแกรมการบริหารจัดการเอกสารเป็นเรื่องบังคับใช้ทางกฎหมายในสถานการณ์ที่จำเพาะเจาะจงทั้งหลาย ศาลสามารถบังคับให้เป็นความผิดในการไม่มีระบบจัดการที่ดีได้

ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องในการที่ไม่มีระบบการบริหารจัดการข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เป็นค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาลกว่าการที่จะทำระบบขึ้นมา

9. ใช้เวปไซต์อย่างฉลาด

เวปไซต์ เป็นวิธีที่ได้ที่สุดวิธีหนึ่งในการติดต่อกับลูกค้าของคุณ คุณสามารถติดต่อได้ในทันทีเกี่ยวกับข้อมูลในการใช้สินค้าของคุณ และคุณยังสามารถสร้างคู่มือของเจ้าของและข้อมูลความปลอดภัยที่จำเป็นอื่นๆได้ เวปไซต์สามารถหาประวัติข้อมูลในการเรียกคืนสินค้า คุณสามารถประชาสัมพันธ์นโยบายต่างๆ และใช้เป็นวิธีในการติดต่อการค้ากับลูกค้า (เช่น คุณสามารถประกาศการรับประกันสินค้าและช่วงเวลาในการการซื้อสินค้า) สุดท้ายแล้วคุณสามารถให้ลูกค้าบอกถึงข้อมูลการตลาดที่สำคัญที่คุณไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้

ถ้าคุณมีเวปไซต์แล้ว คุณควรใช้มันอย่างเต็มศักยภาพ การพัฒนาและการจัดการเวปไซต์สามารถหลีกเลี่ยงการถูกฟ้องร้องได้ คุณจะได้เปรียบอย่างมากถ้าเกิดคดีความ บริษัทของคุณได้ลงทุนในทรัพยากรในการพัฒนาเวปไซต์ คุณลงทุนเพียงเล็กน้อยเพื่อที่จะได้การใช้งานและความคุ้มค่าที่สูงที่สุด

10. จัดหาประกันที่เหมาะสม

ไม่มีธุรกิจไหนที่ไม่มีประกัน อยางไรก็ดี ประกันก็มีราคาแพง ชนิดของประกันประเภทใดที่เราจำเป็นต้องมี เงินจำนวนเท่าไหร่ที่เราควรจะซื้อประกัน?

ผู้เขียนมีลูกค้าหลายรายที่ซื้อประกันที่ไม่จำเป็น ในราคาที่แพงมาก ยกตัวอย่างเช่น The US Subsidiary of a Foreign Manufacturer เป็นหน่วยงานที่กระจายสินค้าโรงงานอุตสาหกรรมอาจจะไม่จำเป็นที่จะจัดหาประกันความรับผิดชอบของสินค้า (product liability insurance) ของตัวเอง

ก่อนที่คุณจะซื้อประกัน คุณควรจะปรึกษานายหน้าของคุณที่มีความรู้ในเรื่องการตลาดระหว่างประเทศและทนายที่สามารถช่วยคุณระบุประกันที่คุณจำเป็นต้องมี สิ่งนี้สามารถช่วยคุณในการรักษาเงินจำนวนมหาศาลของคุณในการกลับมาลงทุนเพิ่มในธุรกิจของคุณ

11. ทำข้อตกลงที่มีประสิทธิภาพ

แต่ละความสัมพันธ์ทางการการค้า เหมือนกับการแต่งงาน โดยมีความหวังและการคาดหมายที่รอวันเวลาในการแบ่งผลประโยชน์และไม่เกิดความขัดแย้งในปีต่อไป ประสบการณ์ได้สอนเราในสิ่งต่างๆ ดังนั้นความสัมพันธ์ทางธุรกิจคุณต้องมีความหวังว่าจะดีที่สุด แต่ต้องมีแผนไว้ถ้ามีอะไรผิดพลาด

ข้อตกลงทั้งหมดที่คุณเตรียมมาต้องมีวัตถุประสงค์ร่วมกัน: ป้องกันบริษัทของคุณจากการรับผิดชอบทางกฎหมายและ/หรือ ผ่านความเสี่ยงในการฟ้องร้องไปให้กลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่ง (บริษัทประกัน) อย่างน้อยที่สุด บริษัทของคุณต้องพัฒนาความถูกต้องในข้อตกลงด้านต่างๆ เช่น การกระจายสินค้า ข้อตกลงในค่าสินไหมทดแทน ช่วงเวลาการสั่งซื้อ เวลาและข้อเสนอการขาย

ในแต่ละข้อตกลงต้องมีมุมมองร่วมกันในการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสมและข้อกำหนดต่างๆ เช่นค่าสินไหมทดแทน มากไปกว่านั้นข้อตกลงของคุณต้องรวมถึงความรู้ที่จำเป็นที่คุณมีในเรื่องความเป็นเจ้าของและการไม่ละเมิดทางทรัพย์สินทางปัญญา การไม่เปิดเผยความลับทางการค้า

ข้อตกลงที่เป็นความลับและใบอนุญาตต่างๆ นองจากนี้ การคาดการณ์ล่วงหน้าด้านกฎหมายจำเป็นต้องรวมถึงข้อกฎหมายที่จำเป็น อนุญาโตตุลาการ(ถ้าต้องการ) และสถานที่ด้วย

ทุกบริษัทรู้ว่า สัญญามีความจำเป็นและพยายามที่จะเตรียมตัวให้พร้อมก่อนการทำข้อตกลง ใช้เวลาเพิ่มขึ้นอีกนิดในการทำทุกอย่างให้ดีและสมบูรณ์ที่สุด เหมือนกับการหย่าร้าง ความผิดในการวางแผนการตามที่ตกลงกัน จะจบลงด้วยความเสียใจ

12. มีแผนในการเรียกคืนสินค้า

ทั้งที่มีการออกแบบสินค้ามาอย่างดี ทั้งที่มีนักวิศวกรที่มีความชำนาญ และสิ่งอำนวยความสะดวกในโรงงานที่ดี ทั้งที่จัดการทุกอย่างดีแล้ว ความผิดก็เกิดขึ้นได้ และเมื่อมันเกิดขึ้นบริษัทต้องเตรียมที่จะปฎิบัติการอย่างเด็ดขาด รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ นั่นคือการเรียกคืนสินค้า

มีตัวอย่างมากมายที่บริษัทถูกลงโทษในการไม่ดำเนินการเรียกคืนสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ การลงโทษสามารถทำได้ในหลายรูปแบบ เริ่มแรก การลงโทษมาจากผู้เชี่ยวชาญกฏระเบียบของรัฐบาล เช่น The Consumer Products Safety Commission (CPSC) ในรูปแบบของการปรับเงินจำนวนมาก ในบทลงโทษและการทำโทษต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของ CPSC จะสามารถทำให้ต้องเสียค่าปรับเงินจำนวนมากถึง 15,000,000.00 เหรียญสหรัฐฯ

ขั้นต่อไปทนายของผู้ฟ้องร้องจะนำสินค้าเข้าสู่กระบวนการศาลและจะสร้างภาพให้เป็นสินค้าที่ “ฟุ้งเฟ้อและไม่ใส่ใจในสิทธิและความปลอดภัยของผู้บริโภค” เพื่อเป็นข้อสนับสนุนให้เกิดความเสียหายต่อสินค้า

สุดท้าย ยังมีความเห็นของศาล “ความเห็นมวลชน”อีก ซึ่งอาจทำให้ชื่อเสียงของบริษัทและของสินค้ามัวหมอง บริษัทต้องใช้เวลาเป็นปีในการทำงานหนักในการพัฒนาสินค้าในตลาด แต่สามารถหายไปในช่วงข้ามคืน คุณอาจต้องเรียกคืนสินค้าที่มีปัญหาเหมือนกับ บริษัท Audi ทำในปี 1980 ทำให้บริษัทเกือบจะล้มละลาย และในเร็วๆ นี้กรณีของ Toyota ที่ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่หลังจากที่มีข้อกล่าวหาเรื่อง “คันเร่งที่ทำงานขึ้นมาอย่างกะทันหัน”

บริษัทของคุณต้องมีแผนที่มีระบบที่เหมาะสมในการติดตามสินค้าในการรักษาคุณภาพสินค้าในตลาด วิธีการที่จะกำหนดและประเมินสถานการณ์เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ การวางมาตรการที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพในการดำเนินการ ผู้บริโภคในประเทศสหรัฐอเมริกาและผู้เชี่ยวชาญในการควบคุมกฏระเบียบจะไม่ปล่อยผ่านไปถึงแม้จะเป็นสิ่งเพียงเล็กน้อย

13. มั่นใจว่าพนักงานของคุณสามารถทำงานให้คุณได้

เรากล่าวมาทั้งหมด 12 ข้อแล้วแต่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เพิ่มขึ้นมา และเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาด้วย ถึงแม้ว่ามันจะไม่ตรงกับประเด็นของการฟ้องร้อง ธุรกิจในฝันของคุณอาจต้องพึ่งพาพนักงานในบริษัท ถ้าไม่ได้พวกเขาคุณก็ไม่สามารถทำธุรกิจได้ พนักงานของคุณมี Visa ในการเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาหรือไม่?

The U.S. Immigretion Law มีกฏที่เข้มงวดและไม่ย่อหย่อนในด้านเอกสารก่อนที่คนต่างชาติจะเข้ามาในประเทศเพื่อทำงาน หลายบริษัทมีความประหลาดใจว่า ทำไมการขอ Visa ถึงเป็นเรื่องที่ยากมาก ดังนั้น เตรียมการล่วงหน้าและประเมินสถานการณ์เป็นปัจจัยสำคัญ

การกำหนดคนที่จะเข้ามาทำงานเป็นสิ่งที่จำเป็นในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ จากนั้นติดต่อทนายเรื่องการเข้าเมืองเพื่อที่จะมั่นใจว่าเขาสามารถเข้ามาทำงานในประเทศสหรัฐอเมริกาได้

สรุป

คุณได้ทำงานหนักมากที่จะเข้ามาในตลาดสหรัฐอเมริกา หวังว่าคุณจะประสบความสำเร็จในความพยายามของคุณ ใช้ความพยายามเพิ่มขึ้นอีกนิดเพื่อรับประกันความสำเร็จ ซึ่งจะไม่สะดุดด้วยปัญหาที่สามารถป้องกันได้

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ