จากรายงานของ Jewelers of America’s 2011 Cost of Doing Business ระบุว่าปี 2010 ธุรกิจของร้านค้าปลีกอัญมณีในนครนิวยอร์กเริ่มดีขึ้น หลังจาก 3 ปีที่ผ่านมาที่มีความยากลำบากในการทำธุรกิจเพราะได้รับผลกระทบจากปัญหาของระบบเศรษฐกิจโลก
รายงานการวิเคราะห์ต้นทุนทางธุรกิจ (Cost of Doing Business) เป็นเครื่องมือในการวัดผลของร้านค้าปลีกสินค้าอัญมณี ได้วิเคราะห์ข้อมูลทางด้านการเงินในปีที่แล้ว บริษัทที่เข้าร่วมการให้ข้อมูลปีนี้มี 204 บริษัท ลดลงจากปีที่แล้วที่มีบริษัทเข้าร่วม 331 บริษัทและปี 2009 มี 687 บริษัท เป็นปีที่ 2 ติดต่อกันแล้วที่ JA (Jewelers of America) ไม่ได้ออกจดหมายแบบสอบถามการสำรวจให้กับผู้กรอกแบบสอบถาม แต่ใช้วิธีการทาง online แทน
ผลสำรวจพบว่ายอดขายสินค้าที่เฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เป็นการเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2006 ที่ร้านค้าปลีกมียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 และปี 2007 มียอดขายลดลงร้อยละ 0.3 ปี 2008 ลดลงร้อยละ 4 และปี 2009 ลดลงร้อยละ 5
รายงานพบว่ายอดขายที่เพิ่มขึ้นในปี 2010 ส่วนใหญ่จะเป็นยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากร้านขายปลีกแบบลูกโซ่ (Chain store) หลังจากที่ในปี 2009 ที่ผ่านมายอดขายของร้าน Chain stores เหล่านี้ลดลงอย่างมากถึงร้อยละ 14 และได้กลับมาเพิ่มขึ้นร้อยละ4 ในปีที่ผ่านมา
ร้านค้าปลีกอิสระ( Independent retailer) ซึ่งขายสินค้า High-end เป็นกลุ่มร้านที่มียอดขายดีขึ้นในปี 2010 คือในปี 2009 มียอดขายลดลงร้อยละ 8 แต่ในปี 2010 กลับมียอดขายที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 4
ในขณะเดียวกันร้านค้าปลีกอิสระ( Independent retailer) ที่อยู่ในระดับกลาง (mid-range) ก็เริ่มมียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 หลังจากที่ในปี 2009 ลดลงร้อยละ 1 (ผู้ขายอัญมณีเครื่องประดับแบบมีดีไซน์และรับสั่งทำเฉพาะแบบไม่ได้รวมอยู่ในการสำรวจเพราะมีจำนวนน้อย)
“การเพิ่มขึ้นของยอดขายนี้ค่อนข้างเหมือนกันสำหรับอัญมณีประเภทต่างๆ” และระบุว่า “การบริหารจัดการและการทำการตลาดอย่างต่อเนื่องมีผลต่อความสำเร็จในทุกๆ กรณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะปัจจุบันที่ไม่สามารถบอกได้ว่าในอนาคตการเติบโตของเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร”
ในขณะที่ยอดขายเพิ่มขึ้นแต่ผลกำไรไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก ในแต่ละปีเพิ่มขึ้นในอัตราคงที่อยู่ที่ ร้อยละ 4
รายงานระบุว่า “ผลกำไรที่บริษัทต่างๆ เคยได้รับในช่วงปลายศวรรษ 1990 ทำให้ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ไขว้เขวกับเหตุการณ์ปัจจุบันเพราะถึงแม้ปัจจุบันหลายบริษัทยังมีกำไรจากธุรกิจ แต่อัตราส่วนของผลกำไรไม่ได้เพิ่มขึ้นในอัตราที่สัมพันธ์กับยอดขาย”
ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่ทุกบริษัทจะมีกำไร ร้อยละ 23 ของผู้ตอบแบบสอบถามรายงานผลกำไรที่ติดลบทั้งผลกำไรสุทธิและยอดขายสุทธิ ในขณะที่ร้อยละ 29 มีกำไรแต่รายงานว่าผลกำไรของตนอยู่ที่ประมาณ ร้อยละ 4 หรือน้อยกว่า
นอกจากนั้น อัตรากำไรสุทธิชะงักอยู่ที่ร้อยละ 49 หลังจากเพิ่มขึ้นอย่างเล็กน้อยในปี 2009 อัตรากำไรสุทธิลดลงทั้งจากร้านค้าอิสระระดับกลาง (Mid-range independent)และร้านค้าสินค้าระดับสูง (High-end) จากร้อยละ 48 อยู่ที่เป็นร้อยละ 46 ขณะที่ร้าน Chain store มีอัตรกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 47 ไปเป็นร้อยละ 50 และผู้ขายอัญมณีเครื่องประดับแบบมีดีไซน์และรับสั่งทำเฉพาะแบบอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากที่ร้อยละ 50 เป็นร้อยละ 53
แต่ละปี Jewelers of America (JA) ได้รวบรวมการเปรียบเทียบกำไรสูงสุดของบริษัทต่างๆ ว่ามีบริษัทใดมีกำไรเกินกว่าร้อยละ 50 โดยการจัดลำดับจะใช้อัตราส่วนของรายรับของบริษัทก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) ต่อทรัพย์สินทั้งหมดของบริษัท
จากข้อมูลแสดงให้เห็นว่าบริษัทที่ได้ผลกำไรสูงและมีการหมุนเวียนสินค้าในสต็อกอย่างรวดเร็วเป็นบริษัทที่มีการขายต่อพื้นที่ตารางฟุตและต่อพนักงานขายที่จ้างเต็มเวลา (per-full time employee sale) สูงกว่าและมีขนาดพื้นที่เล็กกว่าคือ 2,450 ตารางฟุต เทียบกับบริษัทที่มีขนาด 2,616 ตารางฟุต ซึ่งมีกำไรต่ำกว่า
บริษัทที่มีกำไรสูงจะใช้จ่ายด้านเงินสมทบลูกจ้าง การอบรมพนักงาน การให้การศึกษาพนักงาน การโฆษณา การส่งเสริมการขายและค่าใช้จ่ายอื่นๆ น้อยกว่า ในขณะเดียวกันก็จะใช้จ่ายลงทุนในเรื่องการขยายกิจการ การขยายสาขามากกว่า
รายงานระบุว่า “การบริหารทุกธุรกิจจำเป็นต้องใส่ใจรายละเอียดซึ่งก็เป็นจริงสำหรับการทำธุรกิจสินค้าอัญมณีด้วย” และ “การไม่ตั้งใจในระบบการจัดการจะมีผลให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นในเรื่องต่างๆ ซึ่งเป็นข้ออธิบายถึงความแตกต่างระหว่างการทำกำไรและไม่มีกำไรของบริษัท การได้กำไรที่ต่ำไม่ได้หมายถึงปริมาณการขายต่ำ”
รายงานของ Cost of Doing Business ในปี 2011 ระบุว่ายอดขายเพชรทั้งที่ยังไม่ได้ทำเครื่องประดับ (loose stone) และเครื่องประดับสำเร็จรูป ลดลงอย่างต่อเนื่อง
ในปี 2010 สินค้าเพชรมียอดขายร้อยละ 41 ของสินค้าอัญมณีทั้งหมดมีสัดส่วนดังนี้คือ ร้อยละ 31 เป็นเพชรที่นำมาทำเครื่องประดับแล้วและอีกร้อยละ 10 เป็นเพชรที่ยังไม่ได้นำมาทำเครื่องประดับ
ถึงแม้ว่าเพชรจะยังคงเป็นประเภทของอัญมณีที่มีการซื้อขายสูงสุดแต่ยอดขายก็ตกลงติดต่อกันมาเป็นปีที่ 4 ทั้งเพชรที่ยังไม่ได้นำไปทำเครื่องประดับและนำไปทำเครื่องประดับแล้ว ยอดขายในปี 2007 อยู่ที่ร้อยละ 52 ของยอดขายรวมปี 2008อยู่ที่ร้อยละ 49และปี 2009 อยู่ที่ร้อยละ 46
ในส่วนของสินค้าอัญมณีโบราณ (Estate/antique) มียอดขายเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ 3 เมื่อปีก่อนเป็นร้อยละ 7 ในปีนี้ และในส่วนของสินค้าอัญมณีแฟชั่น ในปีนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากปีก่อนที่ร้อยละ 5 และการซ่อมแซมเครื่องประดับเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 12
- ผู้ขายอัญมณีใน free-standing building จะเป็นกลุ่มใหญ่ในการตอบแบบสอบถาม คิดเป็นร้อยละ 40 เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ร้อยละ 30 ต่างจากปี 2010 ที่ผลจากการสำรวจรายงานว่าร้านค้าที่อยู่ในตัวเมืองจะเป็นส่วนใหญ่ของผู้ตอบแบบสอบถาม
- ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่เช่าร้านค้าทำธุรกิจอยู่ที่ร้อยละ 73 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 60 ปีก่อน สัดส่วนร้อยละของผู้ขายสินค้าอัญมณีมีร้านเป็นของตัวเองในปีนี้อยู่ที่ร้อยละ 10 ลดลงจากปีที่ก่อนที่ร้อยละ 30 สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของผู้ตอบแบบสอบถาม
- ร้อยละ 55 ของผู้ค้าสินค้าอัญมณียังคงคิดว่าตนเองเป็นร้านค้าปลีกที่ชื่นชอบสินค้าอัญมณี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 45 ในปีก่อน อย่างไรก็ตามสัดส่วนร้อยละของผู้ที่เห็นว่าตัวเองเป็นผู้ทำธุรกิจ เพิ่มขึ้นสองเท่าจากปีต่อปีคือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 19
- ผู้ตอบแบบสอบถามที่ใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อจุดประสงค์ในการส่งเสริมการขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 47 ในปี 2009เป็นร้อยละ 54 ในปี 2010 เมื่อเปรียบเทียบกับร้อยละ 37 ในปี 2009 และร้อยละ 36 ในปี 2010 ขณะที่สัดส่วนร้อยละของผู้ขายอัญมณีที่ยังไม่มีแผนในการใช้อินเตอร์เน็ตในการค้าลดลงจากร้อยละ 6 เป็นร้อยละ 4
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก
ที่มา: http://www.depthai.go.th