ธนาคารกลางออสเตรเลีย หรือ Reserve’s Bank of Australia (RBA) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง โดยหวังว่าจะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในช่วงคริสต์มาสของผู้บริโภคได้
เมื่อวันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2554 RBA ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 25 หน่วยพื้นฐาน (25 basis points) มาอยู่ที่ 4.25% ซึ่งหมายความว่าสำหรับสินเชื่อบ้านทุก 300,000 เหรียญออสเตรเลีย ลูกหนี้ธนาคารจะจ่ายเงินให้ธนาคารน้อยลง 47 เหรียญออสเตรเลีย โดย Bank of Queensland (BoQ) เป็นธนาคารแรกที่ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเต็มจำนวน ตามด้วย ME bank เป็นอันดับที่ 2 แต่สำหรับธนาคารยักษ์ใหญ่ทั้ง 4 ซึ่งยังไม่มีการแถลงการณ์ใดๆ กำลังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากหลายฝ่ายให้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย ทั้งจากภาครัฐ ภาคธุรกิจ และที่สำคัญจากลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งหากธนาคารยักษ์ใหญ่ทั้ง 4 ไม่ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้หรือประกาศลดเพียงบางส่วน อาจส่งผลให้ลูกค้าเปลี่ยนไปใช้บริการกับธนาคารอื่นๆ ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าได้ ทั้งนี้ ผู้บริหารธนาคารกลาง นายเกลน สตีเว่น ให้เหตุผลว่าการปรับอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสืบเนื่องมาจากวิกฤตการณ์หนี้ของสหภาพยุโรปซึ่งส่งผลให้อัตราหนี้ของโลก (global credit) ชยายตัวอย่างรวดเร็ว
SAVINGS PER MONTH
If the banks pass in on
Mortgage
$100,000 $16 $200,000 $32 $300,000 $49 $400,000 $66 $500,000 $82 $600,000 $98 $700,000 $115 $800,000 $131 $900,000 $148 $1 million %164
*Assumes 25-year 7.55% variable mortgage
ผู้ประกอบการค้าปลีกหวังว่าการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคให้จับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งสถานการณ์ค้าปลีกในออสเตรเลียอยู่ในภาวะตกต่ำมาตั้งแต่ต้นปี 2553 โดยผู้ค้าปลีกในประเทศรวมทั้งห้างสรรพสินค้าชั้นนำอย่าง David Jones และ Myer กำลังวิตกกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (consumers confidence) ที่ลดลง ประกอบกับการแข่งขันจากแบรนด์นานาชาติที่ทยอยเข้ามาเปิดร้านในออสเตรเลีย อาทิ Nike และ Zara และความนิยมธุรกิจออนไลน์ที่มีราคาถูกกว่าถึงร้อยละ 40 และไม่คิดค่าขนส่งเพิ่ม นอกจากนี้ ผู้บริโภคเลือกที่จะออมแทนที่จะใช้จ่าย โดยอัตราการออมประจำไตรมาสที่ 3 ของปี 2554 ถือเป็นอัตราที่สูงสุดในรอบ 20 ปี เนื่องมาจากการออกกฎหมายเก็บภาษีคาร์บอนของรัฐบาล และความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตาม แม้การจับจ่ายใช้สอยในภาคค้าปลีกโดยทั่วไปของออสเตรเลียยังคงน่าเป็นห่วง แต่การจับจ่ายใช้สอยในตลาดบนยังคงอยู่ในเกณฑ์ดีและธุรกิจในตลาดดังกล่าวยังมีความเชื่อมั่นสูง ล่าสุด Gucci และ Louis Vuitton ได้เปิดตัวร้านใหม่ขนาด 700 ตารางเมตร และ 1,200 ตารางเมตร นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มผู้บริโภคที่เรียกว่า New Economic Order members ซึ่งคิดเป็นเพียงร้อยละ 24 ของประชากรทั้งหมดแต่รายจ่ายของผู้บริโภคกลุ่มดังกล่าวคิดเป็นร้อยละ 54 ของรายจ่ายในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย
อย่างไรก็ดี หลายฝ่ายแสดงความเห็นว่าแม้การประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของ RBA จะช่วยบรรเทาภาระการชำระหนี้และทำให้ผู้บริโภคสามารถจับจ่ายใช้สอยสำหรับเทศกาลคริสต์มาสได้มากขึ้นซึ่งโดยปกติเป็นช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมค้าปลีกมีความคล่องตัวมากที่สุด แต่อาจเป็นการด่วนสรุปว่ามาตรการดังกล่าวจะสามารถส่งผลให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยมากจนทำให้สถานการณ์ความคล่องตัวของอุตสาหกรรมเป็นปกติ เนื่องจาก RBA ประกาศลดเฉพาะดอกเบี้ยเงินกู้เท่านั้น ดอกเบี้ยเงินฝากยังคงอยู่ที่อัตราเดิม (เฉลี่ยที่ 5%) ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่สูงและดึงดูดใจ ทั้งนี้ การประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น ปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคยังคงเดิม ออสเตรเลียยังคงต้องหากลยุทธ์และมาตรการในระยะยาวเพื่อฟื้นฟูสถานการณ์อุตสาหกรรมค้าปลีกในประเทศ
ที่มา: Sydney Morning Herald Financial Review
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครซิดนีย์
ที่มา: http://www.depthai.go.th