รัฐบาลอินเดียประกาศผลักดันร่างกฎหมายว่าด้วยความมั่นคงด้านอาหาร (Food Security Bill) เข้าสภาสัปดาห์นี้หลังคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในการประชุม ครม. นัดพิเศษเมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา
ร่างกฎหมายว่าด้วยความมั่นคงด้านอาหาร (Food Security Bill) เป็นร่างกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงอาหารได้มากขึ้นผ่านโครงการต่างๆของรัฐบาลที่จะให้การอุดหนุนแก่ประชาชนให้สามารถซื้ออาหารประเภทธัญพืชซึ่งเป็นอาหารหลักได้ในราคาถูกลง โดยกำหนดที่จะเข้าถึงกลุ่มประชาชนเป้าหมาย 75% ในเขตพื้นที่ชนบท (Rural Area) และ 50% ในเขตพื้นที่เมือง (Urban Area)
สำหรับการเข้าถึงประชาชนเป้าหมายนั้น รัฐบาลได้มีการแบ่งกลุ่มประชาชนเป้าหมายออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีความจำเป็นเร่งด่วน (Priority Group) เป็นกลุ่มประชาชนที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นแบ่งระดับความยากจน (BPL: Below Poverty Line) ซึ่งจะมีอยู่ 46% (จากเป้าหมายที่จะเข้าถึง 75%) ในเขตพื้นที่ชนบท และ 28% (จากเป้าหมายที่จะเข้าถึง 50%) ในเขตพื้นที่เมือง ที่เหลือจะเป็นประชาชนเป้าหมายกลุ่มทั่วไป (General Category) ที่มีรายได้เกินจากเส้นแบ่งระดับความยากจน (APL: Above Poverty Line) โดยประชาชนทั้งสองกลุ่มจะได้รับสิทธิพิเศษด้านอาหารประเภทธัญพืชจากรัฐบาลแตกต่างกันไปตามตารางข้างล่างนี้
กลุ่มที่มีความจำเป็นเร่งด่วน กลุ่มทั่วไป 1. รัฐบาลแจกอาหารประเภทธัญพืชให้คนละ 7 1. สามารถซื้ออาหารประเภทธัญพืชได้คนละ 3 กิโลกรัมต่อเดือน กิโลกรัมต่อเดือน ในราคาครึ่งหนึ่งของราคารับซื้อขั้นต่ำ 2. สามารถซื้อธัญพืชอื่นได้ในราคาพิเศษ คือ จากเกษตรกร (Minimum Support Price: MSP) 2.1 ข้าว กิโลกรัมละ 3 รูปี 2.2 ข้าวสาลี กิโลกรัมละ 2 รูปี 2.3 ธัญพืชประเภท Coarse Grain เช่น ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ลูกเดือย ฯลฯ กิโลกรัมละ 1 รูปี
ถ้าหากร่างกฎหมายดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาจะทำให้รัฐบาลมีภาระทางการเงินการคลังเพิ่มขึ้นทันที โดยรัฐบาลจะต้องเตรียมจัดหาธัญพืชสำหรับแจกจ่ายให้แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายเฉลี่ยปีละ 60-65 ล้านตัน จากปัจจุบันซึ่งรัฐบาลได้ให้การอุดหนุนแก่ประชาชนอยู่แล้วประมาณ 55-60 ล้านตันสำหรับกลุ่มประชาชนเป้าหมายที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นแบ่งระดับความยากจน (BPL: Below Poverty Line) ซึ่งมีจำนวนประมาณ 65.2 ล้านคน และกลุ่มประชาชนเป้าหมายที่มีรายได้เกินจากเส้นแบ่งระดับความยากจน (APL: Above Poverty Line) ซึ่งมีจำนวนประมาณ 110.5 ล้านคน ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร (Ministry of Food Processing Industries) ได้ประเมินว่ารัฐบาลจะต้องมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นถึงอีกปีละ 510,000 ล้านรูปี ในขณะที่กระทรวงเกษตรได้ออกมาแถลงว่าค่าใช้จ่ายที่แท้จริงในการดำเนินการโครงการนี้มากกว่าที่กระทรวงอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารประเมินไว้อีกหลายเท่า โดยกระทรวงเกษตรคาดว่ารัฐบาลจะต้องมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นถึงอีกปีละกว่า 2 ล้านล้านรูปี เนื่องจากกระทรวงเกษตรจะต้องใช้เงินงบประมาณเพิ่มขึ้นอีกมากในการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรให้เป็นไปตามเป้าหมายของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม นอกจากการอุดหนุนกลุ่มประชาชนเป้าหมายดังกล่าวแล้ว รัฐบาลยังมีโครงการเลี้ยงอาหารฟรีและจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้แก่หญิงมีครรภ์และหญิงที่เพิ่งคลอดบุตรอีกคนละ 1,000 รูปีต่อเดือนเป็นเวลา 6 เดือนอีกด้วย สำหรับการดำเนินโครงการอุดหนุนด้านอาหารแก่กลุ่มประชาชนเป้าหมายตามร่างกฎหมายดังกล่าว คาดว่าจะดำเนินการไปจนถึงสิ้นปี 2556
1. ร่างกฎหมายว่าด้วยความมั่นคงด้านอาหาร (Food Security Bill) ของรัฐบาลอินเดียฉบับนี้มุ่งเน้นไปที่กลไกในการกระจายอาหารประเภทธัญพืชไปยังกลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสในการเข้าถึงอาหารต่ำกว่าประชาชนกลุ่มอื่นๆโดยทั่วไป มากกว่าที่จะกำหนดปริมาณอาหารที่จะต้องเก็บรักษาให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยจากความขาดแคลน (Safety Stock) ตามความหมายที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ อย่างไรก็ตาม ความต้องการอาหารประเภทธัญพืชที่จะเพิ่มขึ้นจากกลไกของรัฐบาลที่เข้าไปแทรกแซงด้วยการอุดหนุน (Subsidy) อาจทำให้อินเดียต้องนำเข้าธัญพืชโดยเฉพาะข้าวเพิ่มขึ้นก็ได้ หากปริมาณการผลิตภายในประเทศไม่เพียงพอ ซึ่งจะต้องติดตามต่อไป
2. สำหรับข้าวเปลือกบาสมาติ รัฐบาลอินเดียได้ประกาศราคารับซื้อขั้นต่ำจากเกษตรกร (MSP) สำหรับปี 2554-2555 ไว้ที่ตันละ 10,800 รูปี สำหรับข้าวเปลือกคุณภาพธรรมดาและตันละ 11,100 รูปีสำหรับข้าวเปลือกบาสมาติเกรด A ส่วนราคา MSP สำหรับพืชชนิดอื่นบางชนิดปรากฏตามตารางข้างล่างนี้
พืช คุณภาพ ราคา (รูปี/ตัน) 1. ข้าวเปลือกบาสมาติ ธรรมดา 10,800.0 เกรด A 11,100.0 2. ข้าวโพด 9,800.0 3. ถั่วลิสงพร้อมเปลือก 27,000.0 4. ถั่วดำ 16,500.0 5. ถั่วเหลือง 16,900.0 6. เมล็ดงา 34,000.0 7. ข้าวสาลี 12,850.0 8. ข้าวบาร์เลย์ 9,800.0 9. มะพร้าวปอกเปลือก 12,000.0 10. อ้อย 16,000.0 *ราคา MSP ที่รัฐบาลประกาศจะเป็นราคาต่อ 100 กิโลกรัม ราคาในตารางนี้ได้ปรับเป็นต่อตันเพื่อความสะดวกในการเปรียบเทียบ
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ
ที่มา: http://www.depthai.go.th