หลังจากที่มีการประกาศจากทางการเกาหลีเหนือเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2554 เวลา 12.00 น. ว่า นายคิม จอง อิล (KIM Jong-Il) ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ (Chairman of The National Defense Commission) ได้เสียชีวิตเนื่องจากภาวะหัวใจล้มเหลวระหว่างการเดินทางทางตรวจเยี่ยมพื้นที่ต่างจังหวัดทางรถไฟ เมื่อวันเสาร์ที่ 17 มกราคม 2554 ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงในคาบสมุทรเกาหลีทันที เนื่องจากการเสียชีวิตของนายคิม จอง อิล เป็นการเสียชีวิตอย่างกะทันหัน ถึงแม้ว่าเขาจะล้มป่วยจากอาการเส้นเลือดในสมองตีบเมื่อปี 2551 แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะเสียชีวิตในวัยเพียง 69 ปี คำถามสำคัญคือใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศแทน เพราะถึงแม้ว่านายคิม จอง อิล จะได้วางตัวทายาทคือ นายคิม จอง อุน (KIM Jong-Un) ลูกชายคนสุดท้องไว้แล้ว และในการประกาศแจ้งการเสียชีวิตของนายคิม จอง อิล ทางการเกาหลีเหนือก็ได้ขอให้ประชาชนให้การสนับสนุนนายคิม จอง อุน ซึ่งเป็น "ทายาทผู้ยิ่งใหญ่" (Great Successor) ขึ้นเป็นผู้นำก็ตาม แต่ความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่ เนื่องจากนายคิม จอง อุน มีอายุเพียง 28 ปี และพึ่งได้รับการวางตัวเป็นทายาทมาเพียง 1 ปี ยังไม่เป็นที่รู้จักและยอมรับในเกาหลีเหนือ นักวิเคราะห์หลายคนยังมองถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดการต่อสู้แย่งชิงอำนาจในกลุ่มทหาร, การลี้ภัยของเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงที่ไม่แน่ใจว่าควรจะอยู่ฝ่ายใด รวมไปถึงการอพยพลี้ภัยไปยังประเทศเพื่อนบ้านของประชาชนที่ขณะนี้ประสบความอดอยาก
1. นักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติซึ่งไม่มั่นใจในสถานการณ์ในเกาหลีขณะนี้ ได้เทขายหุ้นเป็นมูลค่ากว่า 5,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ดัชนีหุ้นเกาหลี (Korea Composite Stock Price Index or KOSPI) ลดลงทันที 63.06 จุด สิ่งที่สำคัญคือความกังวลในเรื่องความไม่สงบนี้อาจจะทำให้เกิดผลต่อราคาหุ้นในตลาดหุ้นเกาหลีใต้โดยรวมในระยะยาว หรือที่เรียกว่า Korea Discount คือราคาหุ้นโดยรวมต่ำกว่าความเป็นจริงเพราะนักลงทุนอ้างความไม่สงบในภูมิภาคมาเป็นปัจจัยในการกำหนดราคาหุ้น
2. ส่งผลกระทบต่อค่าเงินวอนของเกาหลีใต้ที่อ่อนค่าลง 16.2 วอนเหลือ 1,174.8 วอนต่อเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งหากมีแนวโน้มเช่นนี้ต่อไปค่าเงินวอนที่อ่อนตัวลงมากอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของสินค้าไทยมายังตลาดนี้
อย่างไรก็ดีนักวิชาการส่วนใหญ่ยังมีความเห็นว่าผลกระทบในด้านลบดังกล่าวน่าจะมีผลในระยะสั้นๆ โดยจะต้องติดตามความเคลื่อนไหวในการแต่งตั้งผู้นำคนใหม่และการถ่ายโอนอำนาจว่าจะเป็นไปอย่างราบรื่นหรือไม่ หลังพิธีศพของนายคิม จอง อิล ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 28 ธันวาคม นี้ ทั้งนี้คาดว่าการถ่ายโอนอำนาจน่าจะอยู่ภายใต้การดูแลของฝ่ายทหารที่นำโดยนายจาง ซุง เทียก (CHANG Sung-Taek) น้องเขยของนายคิม จอง อิล และเป็นรองประธานคณะกรรมาธิการกลาโหม (Vice Chairman of National Defense Commission) ซึ่งอาจจะทำหน้าที่รักษาการผู้นำประเทศเพื่อรอให้นายคิม จอง อุน พร้อมที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำคนต่อไป
ในปัจจุบันการส่งออกของไทยไปยังเกาหลีเหนือมีมูลค่าน้อยมาก เนื่องจากเกาหลีเหนือยังเป็นประเทศที่ยากจนและรัฐบาลให้ความสำคัญกับการเสริมกำลังทางการทหาร (Military First Policy) รวมทั้งมุ่งพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ด้วย จึงไม่มีเงินตราต่างประเทศมาใช้ในการนำเข้าสินค้ามากนัก ทั้งนี้ ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ไทยส่งออกสินค้ามาเกาหลีเหนือมีมูลค่าเพียง 18.80 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 33.53 โดยมีสินค้า 5 อันดับแรก ได้แก่ น้ำตาล, น้ำมันปาล์มดิบ, เศษเหล็ก, เส้นด้าย และ ยาง
สำหรับการส่งออกของไทยมายังตลาดเกาหลีใต้ซึ่งขณะนี้คาดว่าจะยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง ในช่วง 11 เดือนของปีนี้ การส่งออกของไทยมีมูลค่า 5,072 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 33.92 สัดส่วนตลาดสำหรับสินค้าไทยในตลาดนี้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 0.98 เป็นร้อยละ 1.06 ทั้งนี้การส่งออกทั้งปี 2554 น่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5,423 ล้านเหรียญสหรัฐฯหรือขยายตัวไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 30.11 โดยมีสินค้าที่สำคัญ ได้แก่ ยางพารา, ผลิตภัณฑ์และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์, ผลิตภัณฑ์และชิ้นส่วนเครื่องไฟฟ้า, น้ำตาล, เศษเหล็ก และอาหารทะเล ฯลฯ
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโซล
ที่มา: http://www.depthai.go.th