มหาเศรษฐีอินเดียเพิ่มจำนวนติดอันดับโลก

ข่าวเศรษฐกิจ Monday January 23, 2012 13:48 —กรมส่งเสริมการส่งออก

มหาเศรษฐีอินเดียเพิ่มจำนวนแซงหน้าหลายประเทศทำให้อินเดียกลายเป็นประเทศอันดับที่ 12 ของโลกที่มีจำนวนประชากรที่มีฐานะขั้นมหาเศรษฐีมากที่สุดในปี 2553 โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำอันดับหนึ่งด้วยจำนวน 3,104,000 คน รองลงมาตามลำดับ คือ ญี่ปุ่น 1,739,000 คน เยอรมนี 924,000 คน จีน 535,000 คน สหราชอาณาจักร 454,000 คน ฝรั่งเศส 396,000 คน แคนาดา 282,000 คน สวิสเซอร์แลนด์ 243,000 คน ออสเตรเลีย 193,000 คน อิตาลี 170,000 คน บราซิล 155,000 คน และอินเดีย 153,000 คน

ประชากรที่มีฐานะอยู่ในขั้นมหาเศรษฐีเหล่านี้เรียกว่า High Networth Individuals (HNIs หรือ HNWIs) ซึ่งเป็นบุคคลที่มีสินทรัพย์ทางการเงิน (Financial Assets) ตั้งแต่ 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขึ้นไป โดยไม่รวมมูลค่าของสินทรัพย์ที่เป็นที่อยู่อาศัย ของสะสมมีค่า ของที่ใช้หมดไปและของใช้ภายในบ้าน สำหรับปี 2553 จำนวนประชากรที่มีฐานะอยู่ในขั้นมหาเศรษฐีดังกล่าวของสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และเยอรมนี รวมกันมีสัดส่วนร้อยละ 53 ของจำนวนประชากรมหาเศรษฐีทั้งโลก ลดลงจากปี 2549 ที่เคยมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 54.7 ทั้งนี้ สืบเนื่องจากประชากรมหาเศรษฐีของประเทศใหม่ที่มีศักยภาพ (Emerging Countries) และประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชียแปซิฟิกได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วในอัตราที่สูงกว่าการเพิ่มของประเทศพัฒนาแล้ว ประเทศเหล่านี้ที่มีอัตรการเพิ่มของจำนวนประชากรเศรษฐีสูงมากจนเป็นที่น่าจับตามอง คือ ฮ่องกง (+33.3%) เวียตนาม (+33.1%) ศรีลังกา (+27.1%) อินโดนีเซีย (+23.8%) สิงคโปร์ (+21.3%) และอินเดีย (+20.8%) ทั้งนี้ อัตราการเพิ่มของประชากรมหาเศรษฐีโลกในปี 2553 อยู่ที่ร้อยละ 9.7 มีมูลค่าความมั่งคั่งรวมกันทั้งสิ้น 42.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ แบ่งเป็นอเมริกาเหนือ 11.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เอเชียแปซิฟิก 10.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ยุโรป 10.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ลาตินอเมริกา 7.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ตะวันออกกลาง 1.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ และแอฟริกา 1.2 ล้านล้านหรียญสหรัฐฯ โดยมีจำนวนประชากรมหาเศรษฐีโลกรวมกันทั้งสิ้น 10.9 ล้านคน

ทั้งนี้ คาดว่าภายในปี 2558 อินเดียจะมีจำนวนมหาเศรษฐี (HNIs) เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 403,000 คน ด้วยมูลค่าความมั่งคั่งรวมกัน 2.465 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ อยู่ในอันดับสองของกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รองจากจีนซึ่งจะมีจำนวนมหาเศรษฐีเพิ่มขึ้นเป็น 1,378,000 ล้านคน ด้วยมูลค่าความมั่งคั่งรวมกัน 8.764 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ จำนวนมหาเศรษฐีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกใน 10 ประเทศซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีการเจริญเติบโตในอัตราสูงที่สุดจะเพิ่มขึ้นเป็น 2,820,000 คน ด้วยมูลค่าความมั่งคั่งรวมกัน 15.812 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ

สำหรับมหาเศรษฐีอินเดีย (HNIs) ซึ่งมีจำนวน 153,000 คน แม้จะดูว่าเป็นจำนวนไม่มากนักเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรจำนวน 1,210 ล้านคน แต่แนวโน้มการเจริญเติบโตในอัตราสูงก็เป็นสิ่งที่ต้องจับตามอง โดยในปี 2552 จำนวนมหาเศรษฐีอินเดียเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 50 เป็น 127,000 คน และเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 20.8 ในปี 2553 เป็น 153,000 คน นอกจากนั้น ในปี 2558 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปอีกถึง 403,000 คน ซึ่งจะทำให้ตลาดสำหรับสินค้าและบริการระดับ High-End ประเภท Luxury มีการเจริญเติบโตตามไปด้วย เนื่องจากมหาเศรษฐีอินเดียกลุ่มนี้มีรสนิยมที่แตกต่างไปจากผู้บริโภคกลุ่มอื่นๆ เนื่องจากมีกำลังซื้อสูงและมีโอกาสเปิดรับข้อมูลข่าวสารจากโลกภายนอก ทั้งที่ผ่านสื่อสมัยใหม่และจากการที่มีโอกาสเดินทางไปทั่วโลก

บทสรุปสำหรับภาคเอกชนไทย

ประเทศอินเดียเป็นตลาดใหญ่ที่มี Market Segments หลากหลายและมีความแตกต่างกันมาก ตั้งงแต่กลุ่มที่มีฐานะยากจนที่สุดจนถึงกลุ่มที่มีฐานะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี (HNIs) การเข้าตลาดอินเดียจะต้องมีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายในระดับไหน เพื่อที่จะสามารถวางแผนการตลาดได้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายนั้นๆ การจะเจาะเข้ากลุ่ม HNIs ของอินเดีย จำเป็นต้องมีการวางแผนการตลาดอย่างดี เนื่องจากคู่แข่งขันทางธุรกิจของสินค้าและบริการไทยในตลาดเป้าหมายนี้จะเป็นสินค้าและบริการระดับโลกที่มี Brand ที่เป็นที่รู้จักและยอมรับจากบรรดามหาเศรษฐีอินเดียอยู่แล้ว ภาคเอกชนไทยจึงต้องหาจุดขาย (USP: Unique Selling Point) ของสินค้าและบริการไทยที่จะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้ให้ได้ จึงจะมีโอกาสประสบความสำเร็จ ถึงแม้ว่าจะมีความยากลำบากและต้องลงทุนสูง แต่จำนวนมหาเศรษฐีอินเดียที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วก็เป็นโอกาสที่ดีสำหรับสินค้าไทยที่จะเข้าไปช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มเป้าหมายมหาเศรษฐีกลุ่มนี้ที่มีพฤติกรรมการบริโภคแตกต่างไปจากกลุ่มผู้บริโภคอินเดียทั่วไปที่มีฐานะยากจน

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ