ข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐสหรัฐอเมริการะบุว่ามูลค่าการค้าอัญมณีและเครื่องประดับ รวมทั้งนาฬิกาในปี 2011 มีมูลค่า 68.3 พันล้านเหรีญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2010 ถึงร้อยละ 10 สำหรับยอดขายของปี 2010 อยู่ที่ 61.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ และปี 2007 อยู่ที่ 65.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ในช่วงปี 2007-2009 เศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในภาวะถดถอย ผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับตกอยู่ในสภาพลำบาก เกิดผลกระทบต่อยอดขายสินค้าอย่างมีนัยสำคัญ โดยในปี 2007-2009 อัญมณีและเครื่องประดับ และนาฬิกา มียอดขายลดลงร้อยละ 11 ก่อนที่จะขยับขึ้นในปี 2010 และ 2011
ยอดขายอัญมณีและเครื่องประดับในปี 2011 เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.8 หรือคิดเป็นมูลค่า 59.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ยอดขายนาฬิกาเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.1 มูลค่า 9.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่าการค้าของนาฬิกาคิดเป็นร้อยละ 13 ของยอดขายทั้งหมดของอุตสาหกรรมประเภทนี้ ซึ่งอยู่ในระดับนี้มาเป็นเวลา 2-3 ปีแล้ว โดยภาพรวม อุตสาหกรรมนี้มียอดขายเพิ่มขั้นสองหลักเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1980 เป็นต้นมา ซึ่งในช่วงนั้น แต่ละปียอดขายเพิ่มขึ้นเกินร้อยละ 10 อย่างต่อเนื่อง
มูลค่าที่เพิ่มสูงขึ้นในปี 2011 ส่วนหนึ่งมีสาเหตุจากค่าราคาทองคำและเงินเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งเพชรที่เจียระไนแล้ว ซึ่งก็ทำให้ราคาเครื่องประดับสูงขึ้นราวร้อยละ 8.4 ส่วนยอดขายเครื่องประดับเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6
ยอดขายช่วงเทศกาลวันหยุดในปี 2011 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เปรียบเทียบกับปี 2010 มีมูลค่า 471.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งก่อนหน้านี้ National Retail Federation คาดว่ายอดขายจะสูงขึ้นร้อยละ 3.8 ทั้งนี้ เป็นผลมาจากกิจกรรมส่งเสริมการขายที่เข้มข้น การเก็บ stock สินค้าที่ถูกต้อง รวมทั้งการวางแผนที่ถูกต้องในการเน้นกิจกรรมต่างๆในช่วงปลายปี Matthew Shay ประธาน National Retail Federation (NRF) กล่าวว่า ยอดขายในปี 2011 ดีเกินคาด ถึงแม้เศรษฐกิจยังไม่ดีดังเดิมแต่เป็นสัญญาณว่าการค้าปลีกยังคงไปได้ดี
เมื่อเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ สหรัฐอเมริกาเปิดเผยข้อมูลว่า เมื่อเปรียบเทียบยอดขายระหว่างเดือนพฤศจิกายน และธันวาคม พบว่ายอดขายของเดือนพฤศจิกายนมียอดขายสูงกว่า Mr.Jack Kleinhenz หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจจาก NRFกล่าวเพิ่มเติมว่า ถึงแม้สภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่ดีนักจะยังมีผลในการตัดสินใจของผู้บริโภค แต่จากยอดขายแสดงให้เห็นแนวโน้มที่ผู้บริโภคกลับมาใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น และคาดว่าจะเป็นเช่นนี้ต่อไปในปี 2012
ข้อมูลจาก NRF พบว่า ธุรกิจค้าปลีกอัญมณีในสหรัฐอเมริกามีถึง 3.6 ล้านราย และมีการสร้างงานถึง 1 ใน 4 หรือ 42 ล้านตำแหน่ง
ในปี 2012 นี้ คาดว่ายอดขายปลีกจะสูงขึ้นร้อยละ 3 มูลค่า 2.53 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจัยลบที่ทำให้ยอดขายยังเพิ่มขึ้นไม่มากเนื่องจากอัตราว่างงานยังคงสูง และตำแหน่งงานใหม่ๆยังมีน้อย ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบการขยายตัวปี 2012 จึงยังจะต่ำกว่าปี 2011 ที่ยอดขายปลีกสูงขึ้นถึงร้อยละ 5 โดยที่ช่วงเทศกาลวันหยุดที่ผ่านมามียอดขายสูงขึ้นถึงร้อยละ 4
นอกจากปัจจัยเรื่องอัตราการว่างงานแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆอีก คือ รายได้ของผู้บริโภคเองไม่ได้สูงขึ้นมากนัก นอกจากนี้ ยังมีเรื่องอัตราเงินเฟ้อ ปัญหาสินเชื่อบ้าน ความมั่นใจของผู้บริโภคในการใช้จ่าย เป็นต้น
Matthew Shay ประธาน National Retail Federation (NRF) ได้ให้ข้อมูลกับรานค้าปลีกจำนวน 24,000 ราย ในระหว่างการประชุมประจำปีครั้งที่ 101 ว่า ธุรกิจยังคงต้องอาศัยนักกฎหมายในกรุงวอชิงตันในการผลักดันเรื่อง Sales Tax ระหว่างผู้ค้า online และร้านค้าทั่วไป ซึ่งขณะนี้ยังไม่เท่าเทียมกัน
NRF คาดว่ายอดขายอัญมณีและเครื่องประดับในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ 2012จะสูงถึง 4.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับเมื่อปี 2011 ที่ 3.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากการสำรวจพบว่า จากผู้ที่ซื้อสินค้าในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์จำนวน 19 ล้านคน ร้อยละ 19 จะซื้ออัญมณีและเครื่องประดับ เพิ่มขึ้นจากปี 2011 ที่อยู่ที่ร้อยละ 17 ซึ่งเป็นอัตราที่สูงที่สุดในรอบ 10 ปีของการสำรวจ
Matthew Shay กล่าวว่า ผู้บริโภคยังคงจะซื้อของขวัญให้แก่กันในเทศกาลดังกล่าว และคิดว่าการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจเดินมาถูกทางแล้ว ในปีนี้ โดยเฉลี่ยต่อหนึ่งรายจะใช้เงิน 126 เหรียญสำหรับการซื้อของขวัญ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากปี 2011 ซึ่งอยู่ที่ 116 เหรียญ ยอดการใช้จ่ายจะอยู่ที่ราว 17.6 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2012
ใน 126 เหรียญต่อรายนี้ ราว 74 เหรียญจะเป็นของขวัญสำหรับคู่ของตน (เพิ่มขึ้นจากปี 2011 ซึ่งอยู่ที่ 69 เหรียญสหรัฐ) รองลงมาเป็นของขวัญสำหรับลูกๆ หรือสมาชิกครอบครัว และของขวัญสำหรับเพื่อน ตามลำดับ
จากการสำรวจพบว่า ผู้ชายจะซื้อเสื้อผ้า เครื่องประดับ และการ์ด โดยเฉลี่ย 169 เหรียญสหรัฐต่อคน ซึ่งคิดเป็นสองเท่าของผู้หญิงซึ่งคาดว่าจะใช้จ่าย 86 เหรียญสหรัฐต่อคน Pam Goodfellow บรรณธิการนิตยสาร BIGinsight กล่าวว่า ที่เป็นเช่นนั้นเพราะในเทศกาลนี้ผู้ชายต้องการที่จะ “ดูดี” นอกจากนี้ ผู้บริโภคจะตรวจสอบราคาก่อนจะเลือกซื้อของขวัญที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับคู่ของตน
ในขณะที่ ร้านค้าขายของลดราคา (Discount Stores) คาดว่าจะมีผู้เข้าเลือกซื้อสินค้าในร้านเพิ่มขึ้นร้อยละ 37 หนึ่งในสามของผู้บริโภค คือราวร้อยละ 34 จะซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้า (เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 31 ในปีก่อน) ร้อยละ 19 จะซื้อจาก online และ ร้อยละ 11 จะซื้อในร้านอัญมณีและเครื่องประดับ นอกจากนี้ การสำรวจยังพบว่า ร้อยละ 54 ของผู้บริโภคที่มี Tablet จะใช้อุปกรณ์ดังกล่าวในการค้นหาข้อมูล และเลือกซื้อสินค้าสำหรับเทศกาลวาเลนไทน์ และร้อยละ 40 ของผู้ใช้ Smartphone ก็จะทำเช่นเดียวกัน
หมายเหตุ ข้อมูลจากผู้ตอบแบบสอบถาม 9,317 ราย ระหว่างวันที่ 4-11 มกราคม 2012 โดย NRF และ BIGinsight
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก
ที่มา: http://www.depthai.go.th