สถานการณ์ผลกระทบปัญหาเศรษฐกิจยุโรปต่อสหรัฐอเมริกาและไทย
1.1 ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ
สถาบันการเงินและธนาคารขนาดใหญ่ในสหรัฐฯมีธุรกรรมที่ใกล้ชิดกับสถาบันการเงินในยุโรป
สเปนและอิตาลีเป็นลูกหนี้รายใหญ่ของสหรัฐฯ วิกฤติที่เกิดขึ้นกับสถาบันการเงินในสองประเทศนี้ จะส่งผลสำคัญต่อสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีความเสี่ยงเกิดขึ้นว่าสองประเทศนี้อาจถึงขั้น defaut debt อาจจะส่งผลให้เกิด Hamburger Crisis ขึ้นในสหรัฐฯอีกได้
ขณะนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯเองยังเป็นไปอย่างเชื่องช้าด้วยสาเหตุภายในประเทศ ได้แก่
- อัตราการว่างงาน8-9% และยังไม่มีทีท่าจะลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ
- ปัญหา Sub-Prime ยังคงสร้างปัญหาให้ธนาคารและประชาชน
- หนี้สาธารณะชนเพดาน และรัฐบาลยังไม่สามารถหาวิธีตัดลดค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพได้
- การขาดดุลการค้าอย่างต่อเนื่องกับจีน ทำให้สหรัฐฯเป็นลูกหนี้รายใหญ่ของจีน และต้องเปิดฉากทำสงครามการค้ากับจีน โดยอ้างว่าจีนทำการค้าแบบไม่เป็น “Fair Trade”
- การกระจายความมั่งคั่งอย่างไม่เป็นธรรม (Distribution of Wealth) เป็นจุดหลักที่นำมาซึ่งการเดินขบวน Occupy Wall Street ไปทั่วประเทศ โดยคนจน:คนรวย = 99:1
- GDP ของสหรัฐฯขึ้นอยู่กับการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก และประชาชนสหรัฐฯเป็นพวกบริโภคนิยม และใช้เงินในอนาคต (Future Income) ในการบริโภค ดังนั้นถ้าประชาชนเกิดความไม่มั่นใจในเศรษฐกิจ และลดการบริโภค จะกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างใหญ่หลวง
ปัญหาที่รุมเร้าสหรัฐฯอยู่ในขณะนี้ ทำให้เป็นที่หวั่นเกรงว่า หากวิกฤติเศรษฐกิจยุโรปลุกลามไปมากขึ้น จะกระทบต่อภาคการเงินสหรัฐฯ และต่อเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งอาจมีผลต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯในเดือนพฤศจิกายน 2555 ทำให้ประธานาธิบดีโอบามาและพรรคเดโมแครตอาจจะเสียสถานะการเป็นรัฐบาลได้ ดังนั้นรัฐบาลสหรัฐฯจึง พยายามทุกวิถีทางที่จะไม่ให้วิกฤติเศรษฐกิจยุโรปเลวร้ายไปกว่านี้ โดยเฉพาะการล็อบบี้ Chancellor Merkel ผู้นำของ เยอรมนีในการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินในการกู้วิกฤติเศรษฐกิจยุโรป
1.2 ผลกระทบด้านการค้า
การค้าระหว่างสหรัฐฯและสหภาพยุโรปในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2555 ยังคงมีอัตราการเจริญเติบโตเป็นบวก แต่เป็นอัตราที่น้อยกว่าปี 2554 ทั้งด้านการส่งออกและนำเข้า
ประเทศคู่ค้าหลักของสหรัฐฯในยุโรป คือ เยอรมนี อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ และฝรั่งเศส ซึ่งไม่ใช่ประเทศที่เกิดวิกฤติในขณะนี้ อีกทั้งสินค้าที่สหรัฐฯค้าขายกับยุโรป (ทั้งส่งออกและนำเข้า) เป็นสินค้าอุตสาหกรรมหนัก ไม่ใช่สินค้าอุปโภคบริโภค จึงยังไม่มีผลกระทบด้านการค้าอย่างเห็นได้ชัด
1.2.1.การส่งออกของสหรัฐอเมริกาไปยุโรป (มค.-เมย.2555)
ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2555 สหรัฐอเมริกาส่งออกสินค้าไปยังยุโรป คิดเป็นมูลค่า 90,635.78 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 17.81 ของการส่งออกรวมของสหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 3.54
ประเทศที่สหรัฐอเมริกาส่งออกมากที่สุด ได้แก่ อังกฤษ (ร้อยละ 3.92 ของส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐอเมริกา มีมูลค่า 19,933 ล้านเหรียญสหรัฐ) เยอรมนี (ร้อยละ 3.28 ของส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐอเมริกามีมูลค่า 16,697 ล้านเหรียญสหรัฐ และเนเธอร์แลนด์ (ร้อยละ 2.59 ของส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐอเมริกา มีมูลค่า13,172 ล้านเหรียญสหรัฐ) ตามลำดับ
January - April % Share % Change HS Description 2010 2011 2012 2010 2011 2012- 12/11- -EUROPEAN UNION 25- 76,004.23 87,533.04 90,635.78 100 100 100 3.54 84 Machinery 8,844.47 9,935.58 10,583.39 11.6 11.35 11.7 6.52 88 Aircraft,Spacecraft 8,608.09 9,141.86 9,884.72 11.3 10.44 10.9 8.13 90O ptic,Nt 8544;Med Instr 7,880.46 8,406.51 8,319.38 10.4 9.6 9.18 -1.04 27 Mineral Fuel, Oil Etc 2,410.23 6,755.83 8,169.59 3.17 7.72 9.01 20.93 71 Precious Stones,Metals 5,333.32 5,681.80 6,968.92 7.02 6.49 7.69 22.65 30 Pharmaceutical Products 8,153.89 6,957.25 6,687.88 10.7 7.95 7.38 -3.87 85 Electrical Machinery 6,033.80 6,684.24 6,380.05 7.94 7.64 7.04 -4.55 87 Vehicles, Not Railway 3,142.32 4,576.58 5,176.11 4.13 5.23 5.71 13.1 29 Organic Chemicals 3,986.69 4,611.08 4,592.91 5.25 5.27 5.07 -0.39 39 Plastic 2,336.73 2,692.74 2,606.87 3.07 3.08 2.88 -3.19
1.2.2การนำเข้าของสหรัฐอเมริกาจากยุโรป (มค.-เมย. 2555)
ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2555 สหรัฐอเมริกานำเข้าสินค้าจากยุโรป คิดเป็นมูลค่า 123,382.10 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 16.63 ของการนำเข้ารวมของสหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 5.35
ประเทศที่สหรัฐอเมริกานำเข้ามากที่สุด ได้แก่ เยอรมนี (ร้อยละ 4.65 ของส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐอเมริกา มีมูลค่า 34,539 ล้านเหรียญสหรัฐ) อังกฤษ (ร้อยละ 2.43 ของส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐอเมริกามีมูลค่า 18,047 ล้านเหรียญสหรัฐ และฝรั่งเศส (ร้อยละ 1.84 ของส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐอเมริกา มีมูลค่า 12,783 ล้านเหรียญสหรัฐ) ตามลำดับ
January - April % Share % Change HS Description 2010 2011 2012 2010 2011 2012- 12/11- -EUROPEAN UNION 25- 97,113.04 117,121.34 123,382.10 100 100 100 5.35 84 Machinery 13,867.49 18,870.93 21,094.65 14.3 16.11 17.1 11.78 87 Vehicles, Not Railway 8,563.71 11,997.04 13,520.62 8.82 10.24 11 12.7 30 Pharmaceutical Products 11,783.69 13,533.58 12,733.37 12.1 11.56 10.3 -5.91 27 Mineral Fuel, Oil Etc 6,873.30 8,384.74 8,517.25 7.08 7.16 6.9 1.58 29 Organic Chemicals 8,045.07 9,229.60 8,267.70 8.28 7.88 6.7 -10.42 90O ptic,Nt 8544;Med Instr 6,816.46 7,777.91 8,200.28 7.02 6.64 6.65 5.43 85 Electrical Machinery 5,445.68 7,042.43 6,941.24 5.61 6.01 5.63 -1.44 98 Special Other 4,816.34 4,640.97 5,400.80 4.96 3.96 4.38 16.37 22 Beverages 2,770.21 3,200.33 3,383.59 2.85 2.73 2.74 5.73 88 Aircraft,Spacecraft 3,091.90 2,994.61 3,268.78 3.18 2.56 2.65 9.16
สหรัฐอเมริกามีแนวโน้มนำเข้าสินค้าจากกลุ่มประเทศในยุโรปเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มเครื่องจักรกล (เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.78) รถยนต์/ส่วนประกอบ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.70) และสินค้าที่เกี่ยวกับเภสัชกรรม (เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.30) เป็นต้น
1.3 ผลกระทบด้านการลงทุน
เนื่องจากภาวะวิกฤติซับไพร์มที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2552 ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเกิดการชะลอตัวอย่างรุนแรง ส่งผลกระทบทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรป รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้นำมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน QE1และ QE 2 มาใช้เพื่ออัดฉีดเงินในระบบให้กระเตื้องขึ้น แต่การอัดฉีดเงินดังกล่าวกลับไม่เกิดผลเท่าที่ควร อัตราการว่างงานในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ ยังคงปรับลดได้ไม่มาก ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2555 อยู่ในอัตราร้อยละ 8.2 (ข้อมูลจาก US DEPARTMENT OF LABORS) อัตราว่างงานใน 3 ปีที่ผ่านมา
- พ.ศ. 2552 อยู่ในอัตราร้อยละ 9.9
- พ.ศ. 2553 อยู่ในอัตรร้อยละ 9.4
- พ.ศ. 2554 อยู่ในอัตราร้อยละ 8.5
การนำระบบ QE มาใช้แก้ปัญหาในสหรัฐอเมริกา ยังไม่ช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วตามที่รัฐบาลคาดไว้ การอัดฉีดเงินในระบบเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น และยังทำให้เงินเฟ้อในระบบอีกด้วย ดังนั้นธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จึงหันมาใช้มาตรการ Operation Twist คือ การที่ธนาคารจะปรับสัดส่วนการถือพันธบัตรระยะสั้นลงและเพิ่มปริมาณการถือพันธบัตรระยะยาว ทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวมีอัตราต่ำลง เป็นแรงจูงใจให้ภาคอุตสาหกรรมสนใจและกู้เงินมาลงทุนมากขึ้น ตลอดจนช่วยเหลือประชาชนที่กู้เงินซื้อบ้านให้มีโอกาสรีไฟแนนซ์ปรับอัตราดอกเบี้ยและเพิ่มการหมุนเวียนเงินในระบบมากขึ้น เดิมทีมาตรการ Operation Twist มีกำหนดตั้งแต่กันยายน 2554-มิถุนายน พ.ศ. 2555 แต่เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกายังกระเตื้องขึ้นไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้น นายเบน เบอร์นากี้ ประธานเฟดจึงได้ประชุมหารือกับคณะกรรมการเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในวันที่ 20 มิถุนายน 2555 และได้ข้อสรุปว่าจะขยายการสนับสนุนดังกล่าวไปจนถึงช่วงสิ้นปี เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาต่อไป โดยหวังว่า DOMESTIC CONSUMPTION จะเพิ่มขึ้นและช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาดีขึ้นก่อนการเลือกตั้งในปี 2555 นี้
2552 2553 2554 2555 (ไตรมาสแรก) GDP -3.5 3.0 1.7 1.9 PRODUCT CONSUMPTION EXPENDITURES -1.9 2.0 2.2 2.7 GROSS PRIVATE DOMESTIC INVESTMENT -25 17.9 4.8 6.3
สำหรับนักลงทุนในหุ้นสามัญ มาตรการ Operation Twist ยังไม่ได้เป็นหลักประกันที่มั่นคงสำหรับนักลงทุนประเภทหุ้นสามัญ (Stock) เพราะ เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาค่อนข้างซบเซามีความเสี่ยงสูงต่อการเก็งกำไร ดังนั้น นักลงทุนส่วนใหญ่จึงหันไปลงทุนในตลาดเอเซีย (เพื่อเก็งกำไร) และบางส่วนยุโรป (ลงทุนแบบระยะยาว) การลงทุนทางด้านอุตสาหกรรมในสหรัฐอเมริกา (ข้อมูลจาก US CENSUS BUREAU ล่าสุดปี 2553) ประเทศในแถบยุโรปลงทุนในสหรัฐอเมริกาเปรียบเทียบปี 2552/2553 เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.93 เป็นการลงทุนด้านอุตสากรรมการผลิต ธุรกิจการเงิน/ประกันภัยและการค้าตามลำดับ ข้อมูลดังปรากฎในตารางด้านล่าง
อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์กันว่า วิกฤติเศรษฐกิจยุโรป จะทำให้เงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในสหรัฐฯมากยิ่งขึ้น
(ล้านเหรียญสหรัฐ)
2553 COUNTRY 2543 2548 2551 2552 Total Manufacturing Wholesaler Finance & trade Insurance All Countries 1,256,867 1,634,121 2,046,662 2,114,501 2,342,829 748,279 330,889 356,781 Europe 887,014 1,154,048 1,477,896 1,516,268 1,697,196 585,004 189,346 284,260 Austria 3,007 2,425 4,251 4,455 4,353 2,234 418 2 Belgium 14,787 10,024 23,379 37.82 43,236 20,662 7,151 N/A Denmark 4,025 6,117 5,537 6,383 9,285 3,027 N/A 1 Finland 8,875 5,938 7,613 7,293 6,558 4,241 1,775 Less than 500,000 France 125,740 114,260 141,922 157,921 184,762 71,286 18,827 22,469 Germany 122,412 177,176 173,843 191,461 212,915 69,222 16,601 41,631 Ireland 25,523 17,465 21,270 24,217 30,583 18,382 N/A 5,429 Italy 6,576 7,725 19,466 14,979 15,689 6,844 1,254 N/A Luxembourg 58,930 79,680 130,020 146,580 181,203 65,996 4,586 42,315 Netherlands 138,894 156,602 179,938 199,906 217,050 78,003 24,638 47,849 Norway 2,665 9,810 11,511 9,951 10,356 445 4,855 91 Spain 5,068 7,472 30,037 38,812 40,723 4,592 55 2,437 Sweden 21,991 22,269 32,578 35,598 40,758 25,386 10,602 142 Switzerland 64,719 133,387 157,121 140,745 192,231 85,074 11,799 45,348 UK 277,613 371,350 558,529 416,139 432,488 93,705 82,168 73,662 Other 6,188 32,348 91,878 84,008 75,006 35,906 N/A 29
2.1.การนำเข้าของสหรัฐอเมริกาจากไทย
สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2555 ไทยส่งออกมายังสหรัฐอเมริกา มูลค่า 7,102.99 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาช่วงเดียวกัน 1.36 %
รายการ มูลค่า: ล้านเหรียญสหรัฐฯ อัตราขยายตัว (%) สัดส่วน (%) 2554 2554 2555 2554 2555 2555 2554 2554 2555 (ทั้งปี) (ม.ค.-เม.ย.) (ม.ค.-เม.ย.) (ทั้งปี) (ม.ค.-เม.ย.) (ม.ค.-เม.ย.) (ทั้งปี) (ม.ค.-เม.ย.) (ม.ค.-เม.ย.) มูลค่าการค้า 35235.90 11473.2 10871.1 14.11 26.37 -5.25 7.70 7.81 7.19 การส่งออก 218580 7007.95 7102.99 8.21 22.99 1.36 9.55 9.41 9.93 การนำเข้า 13377.90 4465.27 3768.14 25.30 32.05 -15.61 5.85 6.16 4.73 ดุลการค้า 8480.03 2542.68 3334.85 -10.96 9.77 31.15
ในช่วงปี 2554 ไทยส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกามีมูลค่าการส่งออกรวม 21857.96 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 8.21
ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2555 การส่งออกของไทยไปสหรัฐฯมีอัตราการเพิ่มขึ้นที่ลดลงจากปี 2554 อย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งต่อเนื่องมาจากไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 ซึ่งนอกจากจะเกิดจากการหดตัวของการบริโภคภายในประเทศสหรัฐฯแล้ว ยังมีสาเหตุสำคัญมาจากการลดลงของอุปทานสินค้าส่งออกอันเนื่องมาจากภัยพิบัติน้ำท่วมใหญ่ในช่วงปลายปี 2554 ด้วย
ชื่อสินค้า มูลค่า : ล้านเหรียญ อัตราขยายตัว(%) 2554 2554 2555 2555 (ม.ค.-เม.ย.) (ม.ค.-เม.ย.) (ม.ค.-เม.ย.) เครื่องคอมพิวเตอร์ 2,857.90 950.70 1,113.60 17.13 อุปกรณ์แลส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง 1,776.40 510.00 566.70 11.12 อัญมณีแลเครื่องประดับ 1,341.30 432.00 375.80 -13.00 อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป 1,649.80 412.70 354.70 -14.05 น้ำมันดิบ 714.90 174.80 333.60 90.79 เครื่องนุ่งห่ม 1,142.00 381.30 319.20 -16.30 ยางพารา 1,005.30 401.00 313.30 -21.88 เครื่องรับวิทยุและส่วนประกอบ 929.90 305.60 307.00 0.46 เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ 1,080.90 360.60 290.20 -19.53 แผงวงจรไฟฟ้า 521.80 186.00 176.40 -5.15 มูลค่าสินค้าที่ไทยส่งออกไป 21,857.96 7,007.95 7,102.99 1.36 ยังสหรัฐอเมริกา ทั้งหมดรวม
ผลกระทบต่อวิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรปส่งผลกระทบต่อการนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยของประเทศในยุโรป ทำให้ไทยต้องพึ่งพิงตลาดส่งออกอื่นมากขึ้น อย่างไรก็ดีตลาดสหรัฐอเมริกาสำหรับสินค้าไทยขึ้นอยู่กับการบริโภคในประเทศเป็นหลัก หากตัวเลขการว่างงานและการจับจ่ายใช้สอยในประเทศยังชะลอตัว อาจส่งผลต่อการนำเข้าสินค้าจากไทย
ในเดือนเมษายน 2555 Personal Income ของชาวอเมริกันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 31.7 พันล้านเหรียญ และ Personal Consumption Expenditure เพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาร้อยละ 0.3 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 31.8 พันล้านเหรียญ ดังนั้น หากมาตราการ Operation Twist ได้ผลคาดว่ารายได้และการจับจ่ายของคนอเมริกันจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นโอกาสของไทยในการส่งออกสินค้ามายังตลาดสหรัฐอเมริกา
ปัจจุบันการขาดดุลการค้ากับจีนยังเป็นปัญหาของสหรัฐฯ ทำให้จีนกลายเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ และถือครองเงินสกุลดอลล่าร์อยู่มากที่สุด สหรัฐฯพยายามแก้ไขปัญหาโดยลดความสำคัญของสินค้านำเข้าจากจีน และออกมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีในการกีดกันการนำเข้าจากจีน โดยตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลการค้ากับประเทศที่ไม่ค้าขายแบบยุติธรรม ซึ่งพุ่งเป้าไปที่จีนนั่นเอง โดยสหรัฐอเมริกากล่าวหาว่าจีนทำการค้าแบบไม่เป็น Fair Trade ดังนั้นผู้นำเข้ารายใหญ่หลายรายเริ่มมีความต้องการที่จะลดการนำเข้าจากจีน และแสวงหาแหล่งอุปทานแหล่งใหม่เพื่อผลิตสินค้าให้กับทางบริษัทโดยเฉพาะสินค้าอาหาร อาจเป็นโอกาสในวิกฤติของผู้ส่งออกไทย
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก
20 มิถุนายน 2555