รัฐบาลอินเดียจะยกเลิกการยกเว้นภาษีนำเข้าอุปกรณ์ผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับโรงงานขนาดใหญ่
รัฐบาลอินเดียจะยกเลิกการยกเว้นภาษีนำเข้าเบื้องต้น (Basic Custom Duty) สำหรับอุปกรณ์ผลิตกระแสไฟฟ้าในโรงงานที่มีกำลังการผลิตมากกว่า 1,000 เมกะวัตต์ซึ่งมีอัตราร้อยละ 5 ในอีก 2 อาทิตย์ข้างหน้านี้ ทำให้อุปกรณ์ผลิตกระแสไฟฟ้านำเข้ามีอัตราภาษีรวมทั้งหมดประมาณร้อยละ 21
ในอดีต รัฐบาลอินเดียได้ยกเว้นการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเบื้องต้นสำหรับอุปกรณ์ในโรงงานที่มีกำลังการผลิตมากกว่า 1,000 เมกะวัตต์ เนื่องจากผู้ผลิตภายในประเทศยังไม่สามารถผลิตอุปกรณ์สำหรับโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าขนาดใหญ่ได้อย่างเพียงพอ จึงต้องมีการนำเข้าอุปกรณ์ดังกล่าวจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันผู้ผลิตภายในประเทศสามารถผลิตอุปกรณ์ดังกล่าวได้ในปริมาณมาก รัฐบาลจึงได้ยกเลิกการยกเว้นการเรียกเก็บภาษีดังกล่าว เพื่อปกป้องผู้ผลิตอุปกรณ์ผลิตกระแสไฟฟ้าภายในประเทศให้สามารถอยู่รอดได้จากการแข่งขันของบริษัทต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีนและเกาหลี ตลอดจนเพื่อป้องกันการนำเข้าหม้อไอน้ำ (Boiler) จากจีนที่มีราคาถูกแต่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งผู้ได้รับผลประโยชน์จากการยกเลิกการยกเว้นการเรียกเก็บภาษีดังกล่าว คือ ผู้ผลิตอุปกรณ์ผลิตกระแสไฟฟ้าในอินเดียรายใหญ่ ได้แก่ บริษัท Bharat Heavy Electricals Limited (รัฐวิสาหกิจที่แปรรูปเป็นบริษัท), บริษัท Larsen & Toubro Limited, และ บริษัท Bharat Forge
การเรียกเก็บภาษีนำเข้าดังกล่าวจะทำให้ผู้ผลิตกระแสไฟฟ้าภาคเอกชนจะได้รับผลกระทบด้านต้นทุนเครื่องจักรที่สูงขึ้น ซึ่งปัจจุบันเกือบร้อยละ 50 ของกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงใช้อุปกรณ์นำเข้าจากต่างประเทศ โดยสมาคมผู้ผลิตกระแสไฟฟ้าซึ่งประกอบด้วยผู้ผลิตกระแสไฟฟ้าภาคเอกชนจำนวน 24 บริษัท ให้ความเห็นว่าการอ่อนตัวลงของค่าเงินรูปีที่ร้อยละ 28 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ราคาเครื่องจักรนำเข้าจากต่างประเทศมีราคาสูงขึ้น ซึ่งผู้ผลิตอุปกรณ์ผลิตกระแสไฟฟ้าภายในประเทศก็น่าจะสามารถแข่งขันได้อยู่แล้ว จึงไม่เห็นด้วยกับภาครัฐในการเรียกเก็บภาษีนำเข้าดังกล่าว นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้านี้ จะยิ่งส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการเพิ่มกำลังการผลิต และจะทำให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยปัจจุบัน ต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้าในอินเดียอยู่ในระดับสูงอยู่แล้วจากปริมาณเชื้อเพลิงที่มีอยู่อย่างจำกัดและมีราคาสูง ตลอดจนปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน และการอ่อนตัวลงของค่าเงินรูปี
หากการขึ้นภาษีนำเข้าดังกล่าวมีผลบังคับใช้ สินค้ารายการหนึ่งที่คาดว่าน่าจะได้รับผลกระทบ คือ หม้อไอน้ำและส่วนประกอบ ซึ่งในปี 2554 อินเดียนำเข้าอุปกรณ์ในหมวดนี้คิดเป็นมูลค่ากว่า 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นการนำเข้าจากไทย 3.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือร้อยละ 1.17 ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นมูลค่าที่ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับจีน (ซึ่งมีมูลค่ากว่า 215 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) แต่อัตราการขยายตัวของมูลค่าส่งออกสินค้าดังกล่าวของไทยเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในปีที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 6,000 อย่างไรก็ตาม ตามรายงานข่าวไม่ได้ระบุประเภทสินค้าที่จะมีผลบังคับใช้อย่างชัดเจน แต่ผู้ประกอบการที่คาดว่าอาจจะอยู่ในข่ายที่ได้รับผลกระทบควรติดตามความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิดต่อไป
นางสาวภัทรมน กนิษฐานนท์
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ
มิถุนายน 2555