ปลาสวาย(Pangasius) กำลังประสบปัญหาในประเทศเวียดนาม

ข่าวเศรษฐกิจ Friday July 20, 2012 14:23 —กรมส่งเสริมการส่งออก

ปลาสวาย(Pangasius) กำลังประสบปัญหาในประเทศเวียดนาม

ในปีที่ผ่านมา เพียงครึ่งหนึ่งของบริษัทเวียดนามที่ยังคงทำธุรกิจปลาสวายและอีกกว่า 100 บริษัทคาดว่าจะหยุดการผลิตหลังผลผลิตในฤดูใบไม้ร่วง

ปริมาณของปลาสวายมีอยู่อย่างมากมายในขณะนี้ สำหรับสินค้าเกรดคุณภาพสูงราคาเฉลี่ยประมาณ 3 ดอลลาร์สหรัฐฯ (Cost, Insurance and Freight- CIF) (เนื้อขาวร้อยละ 100 เคลือบผิวร้อยละ 5) อย่างไรก็ตามผู้นำเข้าจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากหลังเดือนกันยายนและตุลาคมซึ่งเป็นฤดูการจับปลาครั้งต่อไปจะเหลือบ่อปลาน้อยลงและทำให้ปริมาณปลาน้อยลงด้วย

เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาสวายกำลังปิดกิจการลง รายงานข่าวในประเทศเวียดนามกล่าวว่า ในพื้นที่ใช้ในการผลิตปลาสวายในบริเวณสามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำโขง (Mekong Delta) มีปริมาณลดลงร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา (ในความเป็นจริงแล้วการที่ปลาสวายมีอยู่จำนวนมากในปัจจุบัน เพราะเกษตรกรกำลังขายสินค้าด้วยความตื่นตระหนก)

ในปัจจุบัน เกษตรผู้เลี้ยงได้รับเงินเพียง 13,000-16,000 เวียดนามดอง (VND) (0.62 -0.77 ดอลลาร์สหรัฐฯ)ต่อกิโลกรัม ในขณะที่ต้นทุนในการผลิตอยู่ที่ 23,000-25,000 เวียดนามดอง (VND) (1.10 -1.20 ดอลลาร์สหรัฐฯ)ต่อกิโลกรัม ดังนั้นผู้เลี้ยงปลาจะขาดทุนประมาณ 10,000 เวียดนามดอง (VND) - 0.48 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อกิโลกรัม สถานการณ์นี้ทำให้ผู้เลี้ยงปลาไม่สามารถทำฟาร์มต่อไปได้และคาดการว่าประมาณร้อยละ 50 ของผู้ผลิตจะเลิกการผลิตหลังจากจับปลาสวายในครั้งต่อไป

การที่ผู้เลี้ยงจะอยู่ต่อไปได้ เขาจำเป็นต้องขายปลาสวายได้ 25,000 เวียดนามดอง (VND) (1.20 ดอลลาร์สหรัฐฯ)ต่อกิโลกรัม ราคาปลาสวายนี้ส่งผลกระทบเป็นห่วงโซ่ต่อปลาชิ้น (Fillet) ซึ่งได้ผลผลิตร้อยละ 30 บวกกับต้นทุนในการแปรรูปและแช่แข็ง ซึ่งหมายความว่าราคาขายสำหรับส่งออกจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 3.80-4.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อกิโลกรัม

ในความเป็นจริงแล้ว หากราคายังคงสูงขึ้น (และเป็นการยากมากที่หลีกเลี่ยงสถานการณ์นี้ หากประเทศเวียดนามยังเป็นประเทศหลักในการผลิตปลาสวาย) ผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมกล่าวว่าราคาที่สูงขึ้นจะมีผลทำให้ปลาสวายไม่สามารถแข่งขันในตลาดได้ ผู้บริโภคจะหันไปซื้อปลาเนื้อขาวชนิดอื่นที่ราคาถูกกว่า

แต่หากยังไม่มีการขึ้นราคาปลาสวายก็จะทำให้ผู้ผลิตลดการผลิตลง หรือเลิกการผลิตในที่สุด

ขณะนี้มีบริษัทอาหารทะเลเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียวจากปีก่อนที่ยังคงทำธุรกิจเกี่ยวกับปลาสวายอยู่และมีบริษัทอีก 100 แห่งคาดว่าจะหยุดการผลิตหลังจากผลผลิตในฤดูใบไม้ร่วง นอกจากนี้บริษัทที่เป็นคนกลางในการซื้อขายก็จะต้องถูกบีบให้เลิกธุรกิจนี้ไปด้วย

ปัจจุบันผู้เลี้ยงปลากำลังขายปลาสวายของตนเองในราคาที่ขาดทุนเพื่อที่จะนำเงินไปจ่ายหนี้เงินกู้ที่นำมาซื้อค่าอาหารสัตว์และค่าลูกพันธุ์ปลา อัตราดอกเบี้ยธนาคารอยู่ในระดับที่สูงมากคือระหว่างร้อยละ 15 ไปจนถึงร้อยละ 30 ทำให้บริษัทไม่มีทางที่จะใช้เงินคืนได้

นี่เป็นสถานการณ์ที่น่าวิตกอย่างยิ่งที่ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารสัตว์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ เป็นสิ่งที่ผู้ผลิตมีความกังวลมากที่สุด มีรายงานจากเกษตรกรผู้เลี้ยงของเวียดนามว่าราคาอาหารปลาเพิ่มขึ้นแล้วร้อยละ 40 ในปีนี้ และอาหารปลาคิดเป็นร้อยละ60 — ร้อยละ70 ของต้นทุนในการเลี้ยง สิ่งนี้เป็นภาระหนักของผู้เลี้ยงในการรับมือกับราคาอาหารสัตว์ที่สูงขึ้น

หากไม่นับว่าเกิดอะไรขึ้นกับราคาอาหารสัตว์และผลกระทบต่อปริมาณการขายในอนาคต ปัญหาอื่นๆ ก็มีอยู่แล้ว ได้แก่การส่งออกไปในยุโรปเหนือที่ผู้บริโภคยังคงควบคุมการใช้จ่าย เนื่องจากผลจากวิกฤตทางเศรษฐกิจของยุโรป ส่งผลให้ผู้นำเข้าในประเทศเนเธอร์แลนด์และเยอรมนี ยังมีปริมาณจำนวนปลาสวายอยู่จำนวนมาก ที่ยังไม่สามารถขายได้

ยังมีปัญหาในภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันเป็นตลาดสินค้าปลาสวายที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม แต่ยังมีความสงสัยว่าโอกาสในการเพิ่มขึ้นของยอดขายจะมีมากเท่ากับที่เคยมีมาหรือไม่ การส่งออกไปยังประเทศรัสเซียก็มีอุปสรรคจากข้อพิพาทเรื่องคุณภาพ โดยรวมแล้วจำนวนของตลาดที่ปลาสวายส่งออกไปกำลังหดตัวโดยลดลงจาก 125 แห่งเป็น 117 แห่งในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ถือว่าเป็นช่วงลมสงบก่อนที่พายุจะมา ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่จะมาถึงนี้ฟองสบู่สำหรับปลาสวายจะแตกอย่างแน่นอน

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก

วันที่ ๑๘ กรกฏาคม ๒๕๕๕


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ