รัฐบาลอินเดียยอมเปิดเสรีค้าปลีกประเภท Multi Brand
รัฐบาลอินเดียโดยกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมแถลงเมื่อวันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2555 ที่ผ่านมาว่า รัฐบาลอินเดียอนุญาตให้บริษัทค้าปลีกต่างชาติสามารถถือหุ้นในธุรกิจค้าปลีกประเภท Multi Brand ในประเทศอินเดียได้ถึง 51% แล้ว โดยคาดว่ากระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมอินเดียจะสามารถออกประกาศเปิดเสรีค้าปลีกประเภทนี้ได้ภายในสิ้นเดือนกันยายน 2555 นี้
ก่อนหน้านี้ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2554 รัฐบาลอินเดียได้พยายามจะเปิดเสรีค้าปลีก โดยตั้งใจอนุญาตให้บริษัทค้าปลีกต่างชาติสามารถถือหุ้นในธุรกิจค้าปลีกประเภท Single Brand จาก 51% เป็น 100% และสำหรับธุรกิจค้าปลีกประเภท Multi Brand จากที่ไม่เคยอนุญาตให้บริษัทต่างชาติถือหุ้นเลย ก็จะอนุญาตให้บริษัทต่างชาติสามารถถือหุ้นได้ถึง 51% แต่ปรากฏว่าได้รับการต่อต้านเป็นอย่างมากจากทั้งพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคและพรรคฝ่ายค้าน รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกรายย่อยของอินเดียในหลายรัฐ ทำให้รัฐบาลไม่กล้าเดินหน้าในประเด็นการเปิดเสรีค้าปลีกประเภท Multi Brand แต่หันไปผลักดันจนสามารถเปิดเสรีค้าปลีกประเภท Single Brand ได้สำเร็จ โดยมีการประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2555 ที่ผ่านมา อนุญาตให้บริษัทค้าปลีกต่างชาติสามารถถือหุ้นในธุรกิจค้าปลีกประเภท Single Brand ได้ถึง 100% ภายใต้เงื่อนไขต่างๆที่กำหนดโดยรัฐบาลอินเดีย ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวได้ทำให้กระแสต่อต้านค่อยๆลดลงและหายไปในที่สุด
สำหรับการเปิดเสรีค้าปลีกประเภท Multi Brand ในครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของอินเดียและบรรษัทข้ามชาติของอินเดีย (India Inc.) เป็นอย่างมาก โดยส่วนใหญ่เห็นว่าการเปิดเสรีค้าปลีกประเภท Multi Brand ของรัฐบาลอินเดียในครั้งนี้จะทำให้ธุรกิจค้าปลีกของอินเดียที่ยังล้าหลังอยู่มากได้รับการพัฒนาครอบคลุมตลอดห่วงโซ่อุปทานไปจนถึงผู้บริโภคคนสุดท้าย เนื่องจากบริษัทค้าปลีกของอินเดียจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี โนวฮาวและระบบที่ทันสมัยทัดเทียมกับประเทศอื่นๆ รวมทั้งจะได้มีการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านค้าปลีกให้ดีขึ้น และที่สำคัญการเข้าไปในตลาดอินเดียของบริษัทค้าปลีกต่างชาติจะส่งผลทันทีต่อธุรกิจ Real Estate เนื่องจากในปัจจุบันพื้นที่ตามศูนย์การค้ายังคงว่างอยู่ประมาณ 15-20% โดยคาดว่าหลังจากการเปิดเสรีจะมีพื้นที่ถูกเช่าเพิ่มขึ้นประมาณ 5-7% ภายในอีก 3 ปีข้างหน้า นอกจากนั้น การเข้าไปในตลาดอินเดียของบริษัทค้าปลีกต่างชาติรายใหญ่จะทำให้เกิดการจ้างงานอย่างมหาศาล การเปิดเสรีค้าปลีกในครั้งนี้จึงถือเป็นก้าวย่างที่สำคัญอย่างยิ่งต่อรัฐบาลอินเดียในกระบวนการปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐบาลกลางจะตัดสินใจเปิดเสรีค้าปลีกประเภท Multi Brand ให้บริษัทค้าปลีกต่างชาติสามารถถือหุ้นได้ถึงร้อยละ 51 แต่ก็ยังเปิดช่องให้อยู่ในดุลยพินิจของรัฐบาลในแต่ละรัฐว่าจะอนุญาตหรือไม่ก็ได้ ซึ่งจากข้อมูลเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2554 ปรากฏว่ามีอยู่หลายรัฐที่มีแนวคิดต่อต้านการเปิดเสรีค้าปลีกของรัฐบาลกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐเบงกอลตะวันตก ซึ่งมีนาง Mamata Banerjee เป็นมุขมนตรีของรัฐ ทั้งนี้ บริษัทค้าปลีกของอินเดียที่มีสาขาอยู่ในรัฐที่ต่อต้านการเปิดเสรีค้าปลีกนี้ เช่น ห้างสรรพสินค้า Spencer และ Reliance Retail ซึ่งมีสาขาอยู่ในรัฐที่ต่อต้านการเปิดเสรีค้าปลีกจำนวนมากอาจจะได้รับผลกระทบ ทำให้ไม่สามารถขยายสาขาร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจต่างชาติได้มากตามที่ต้องการ
รัฐที่ต่อต้าน FID Big Bazaar Food Bazaar Pantaloon Shoppers Stop Easyday Spencers Reliance Retail อุตตรประเทศ 13 1 5 3 10 18 8 ทมิฬนาฑู 5 0 4 2 0 56 110 กรณาฏกะ 20 3 5 6 2 36 158 เบงกอล ตะวันตก 19 4 6 5 0 18 30 คุชราต 8 1 6 1 0 2 105 พิหาร 1 0 0 0 0 0 0 มัธยประเทศ 2 1 2 2 10 0 37 ฉัตติสครห์ 2 0 0 0 1 0 0 เกรละ 5 0 0 0 0 10 45 ฌาร์ขัณฑ์ 2 0 0 0 0 0 26 โอริสสา 3 0 3 0 0 0 0 รวม 80 10 31 19 23 140 519 รัฐอื่นๆ 75 40 29 28 142 94 627 รวมทั้งสิ้น 155 50 60 47 165 234 1,146 *สถิติ ณ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2554 1. ได้สงวนสิทธิไว้สำหรับรัฐบาลในการกำหนดให้บริษัทค้าปลีกต่างชาติต้องรับซื้อและ จัดจำหน่ายผลิตผลทางการเกษตรจากเกษตรกรและสินค้าจากผู้ประกอบการขนาดเล็กของอินเดียตามลำดับ เพื่อเป็นการสนับสนุนเกษตรกรและผู้ประกอบการขนาดเล็ก 2. กำหนดให้บริษัทค้าปลีกต่างชาติกันเงินลงทุนไว้อย่างน้อย 50% สำหรับการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐาน (Back-End Infrastructure) ซึ่งหมายถึง การพัฒนาด้านการออกแบบ การควบคุมคุณภาพ และการพัฒนาหีบห่อสินค้า แต่ไม่รวมถึงค่าที่ดินและค่าเช่า ทั้งนี้ บริษัทค้าปลีกต่างชาติจะต้องทำการรับรองตนเองว่าได้ปฏิบัติตามระเบียบแล้ว (Self-Certification Basis) 3. กำหนดให้บริษัทค้าปลีกต่างชาติแต่ละบริษัทต้องนำเงินลงทุนเข้าไป (FDI) อย่าง น้อย 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ 4. บริษัทค้าปลีกต่างชาติที่เข้าไปลงทุนในอินเดียจะต้องอนุญาตให้ผลิตผลทางการ เกษตรของเกษตรกรเข้าไปวางจำหน่ายในร้านค้าปลีกโดยไม่ต้องติดตรายี่ห้อ (Unbranded) ซึ่งรวมถึงปลา เนื้อสัตว์ และสัตว์ปีก 5.บริษัทค้าปลีกต่างชาติที่เข้าไปลงทุนในอินเดียจะต้องทำการจัดซื้อจัดจ้าง (Procure- ment) เป็นมูลค่าอย่างน้อย 30% จากผู้ประกอบการขนาดย่อมของอินเดีย 6. ร้านค้าปลีกของบริษัทค้าปลีกต่างชาติจะได้รับอนุญาตให้เปิดได้เฉพาะในเมืองที่มี ประชากรเกิน 1 ล้านคนเท่านั้น (สำมะโนประชากรปี 2011) ซึ่งจะมีอยู่ไม่กี่เมือง ได้แก่ อักรา (Agra) นาสิก (Nashik) ฟาริดาบัด (Faridabad) ดันบัด (Dhanbad) อินโดร์ (Indore) ไวสัก (Vizag) โกจิ (Kochi) ลุดิอานา (Ludhiana) และราชโกฏ (Rajkot) ซึ่งมีประชากรรวมกันคิดเป็น 11.5% ของประชากรทั้งประเทศ (สำมะโนประชากรปี 2001) ทั้งนี้ ไม่รวมเมืองขนาดใหญ่ 6 เมืองที่กำหนดไว้แต่เดิมว่าไม่อนุญาตให้เปิด คือ มุมไบ (Mumbai) เดลี (Delhi) เจนไน (Chennai) บังกาลอร์ (Bangalore) และกอลกัตตา (Kolkata) หรือให้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละรัฐว่าจะอนุญาตให้เปิดหรือไม่ บริษัทค้าปลีกต่างชาติรายใหญ่พร้อมแล้ว การเปิดเสรีค้าปลีกประเภท Multi Brand ของรัฐบาลอินเดียในครั้งนี้เป็นไปตามความคาดหมายของบริษัทค้าปลีกต่างชาติรายใหญ่ที่เข้าไปอยู่ในตลาดอินเดียกันระยะหนึ่งแล้ว เช่น Wal-Mart, Tesco, Carrefour เป็นต้น โดยบริษัทค้าปลีกต่างชาติเหล่านี้ได้เข้าไปร่วมทุนกับบริษัทค้าปลีกของอินเดียเปิดธุรกิจค่าส่งประเภท Cash and Carry ซึ่งรัฐบาลอินเดียไม่ได้มีกฏระเบียบห้ามไว้ เมื่อรัฐบาลอินเดียประกาศเปิดเสรีค้าปลีกประเภท Multi Brand บริษัทค้าปลีกต่างชาติเหล่านี้ก็พร้อมที่จะแปลงสาขาห้างค้าส่งประเภท Cash and Carry ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลดีอยู่แล้วเป็นห้างค้าปลีกได้ทันที สำหรับบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของโลก คือWal-Mart จากสหรัฐอเมริกาได้เข้าตลาดอินเดียในลักษณะบริษัทค้าส่งประเภท Cash & Carry ซึ่งรัฐบาลอินเดียไม่มีข้อห้าม โดยร่วมทุนกับบริษัท Bharti Enterprise ในสัดส่วน50:50 มาตั้งแต่ปี 2550 ทำให้ Wal-Mart อยู่ในฐานะที่ได้เปรียบที่สุด เนื่องจากมีหุ้นส่วนและได้อยู่ในตลาดมาระยะหนึ่งแล้วด้วย และมีโครงการที่จะเข้าซื้อกิจการร้านค้าปลีก Easy Day ของบริษัท Bharti Enterprise ต่อไป ส่วนบริษัท Carrefour จากฝรั่งเศสก็ได้เข้าไปประกอบธุรกิจค้าส่งในอินเดียเมื่อปี 2553 ที่ผ่านมา โดยร่วมทุนกับกลุ่มบริษัท Future Group และมีโครงการจะขยายการร่วมทุนเป็นธุรกิจค้าปลีกประเภท Multi-Brand Retailer ต่อไป สำหรับบริษัท Tesco จากอังกฤษก็ได้เข้าไปประกอบธุรกิจค้าส่งในอินเดียตั้งแต่ปี 2551 โดยร่วมทุนกับบริษัท Trent ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Tata Group บริษัท Metro AG เป็นบริษัทค้าส่งต่างชาติจากเยอรมนีที่เข้าไปประกอบธุรกิจค้าส่งในอินเดียเป็นบริษัทแรกที่เข้าไปในตลาดค้าส่งของอินเดีย โดยได้เข้าไปเปิดดำเนินการตั้งแต่ปี 2546 แต่ยังไม่มีแผนที่จะขยายเป็นธุรกิจค้าปลีกแต่อย่างใด ส่วน Best Buy จากสหรัฐอเมริกาได้แสดงความสนใจที่จะเข้าไปร่วมลงทุนกับกลุ่มบริษัท Reliance Retail เพื่อเปิดธุรกิจค้าปลีกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเลคทรอนิคส์ ความคิดเห็นสำนักงานฯ การเปิดเสรีค้าปลีกประเภท Multi Brand ของอินเดียในครั้งนี้ น่าจะเป็นโอกาสดีของบริษัทค้าปลีกของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Central Group หรือ The Mall Group ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารศูนย์การค้า (Shopping Center) และห้างสรรพสินค้า (Department Store) ซึ่งเป็นด้านที่บริษัทค้าปลีกของอินเดียมีความอ่อนแอเป็นอย่างมาก จุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญดังกล่าวจากบริษัทค้าปลีกของไทยน่าจะเป็นที่สนใจของบริษัทค้าปลีกของอินเดีย แม้ว่าอาจจะเข้าตลาดช้าไปสักนิดเมื่อเทียบกับบริษัทค้าปลีกใหญ่ระดับโลกดังกล่าวแล้วข้างต้นที่ได้เข้าตลาดไปก่อนหน้านี้แล้วในลักษณะของธุรกิจค้าส่งประเภท Cash and Carry ก็ตาม แต่สำนักงานฯ ประเมินว่าบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ระดับโลกดังกล่าวน่าจะมีความเชี่ยวชาญด้านไฮเปอร์มาร์เก็ตและซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นหลัก ในขณะที่บริษัทค้าปลีกของไทยจะมีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้า ซึ่งน่าจะเป็นที่สนใจและต้องการของบริษัทค้าปลีกของอินเดียเช่นกัน ทั้งนี้ หากบริษัทค้าปลีกของไทยสามารถเข้าไปร่วมทุนกับบริษัทค้าปลีกของอินเดียได้ นั่นย่อมหมายถึงการที่สินค้าไทยจะมีช่องทางการจัดจำหน่ายถาวรเพิ่มขึ้นทันทีในตลาดอินเดียซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยเป็นอย่างมาก สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ 17 กันยายน 2555