นโยบายลูกคนเดียวของจีน หรือ one-child policy (simplified Chinese: traditional Chinese: pinyin: literally "policy of birth planning") เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้พ่อแม่ตัดสินใจซื้อสินค้าเพื่อลูกเพียงคนเดียวของพวกเขา ในปีที่ผ่านมายอดขายของสินค้าประเภทเครื่องนุ่งห่มถือได้ว่าดีมาก เนื่องจากมีสินค้าแบรนด์ดังหลายแบรนด์หันมาเปิดตลาดสินค้าในส่วนของเสื้อผ้าเด็ก
ในปัจจุบันจีนมีแบรนด์เสื้อผ้าที่เป็นของคนจีนกว่าพันแบรนด์ ตัวอย่างเช่น Paclantic, Li-Ning, MetersBonwe และ Balabala เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีแบรนด์ต่างชาติอีกหลายแบรนด์ เช่น Zara, H&M และ Gap เป็นต้น หรือแม้กระทั่งแบรนด์สินค้าหรูอย่าง Gucci หรือ Dior ก็มีการเปิดแผนกเสื้อผ้าสำหรับเด็ก Boston Consulting Group ได้คาดการณ์ว่ามูลค่าทางการตลาดของผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กของจีนจะเติบโตได้ถึงร้อยละ ๑๗ ในปีนี้ และมูลค่าทางการค้าสินค้าสำหรับเด็กในจีนมีแนวโน้มจะสูงถึง ๓๑๑.๑ พันล้านหยวน ในปี ๒๕๕๖
สำหรับการนำเข้าสินค้าประเภทเครื่องนุ่งห่มสำหรับเด็กของจีนมีการนำเข้าจากหลายประเทศโดยประเทศไทยถือได้ว่าเป็นคู่ค้าที่สำคัญรายหนึ่งของประเทศจีน โดยปี ๒๕๕๔ ไทย และ มหานครเซี่ยงไฮ้ มูลค่าการซื้อขายเครื่องนุ่งห่มสำหรับเด็ก มีมูลค่ากว่า ๐.๑๙ ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี ๒๕๕๔ จีนมีมูลค่าการนำเข้าสินค้าเด็กประเภท Cotton จากประเทศอินเดียเป็นอันดับหนึ่ง โดยมีมูลค่าทางการค้ากว่า ๑,๒๘๒,๕๙๘ เหรียญสหรัฐ ตามมาด้วยบังคลาเทศ และไทย มีมูลค่า ๙๒๓,๖๕๗ เหรียญสหรัฐ และ ๘๗๘,๐๑๑ เหรียญสหรัฐตามลำดับ
สคต. ณ นครเซี่ยงไฮ้มีความเห็นว่า การขยายตลาดสินค้าเครื่องนุ่งห่มสำหรับเด็กมายังจีนเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการจะขยายตลาด เนื่องด้วยอุปสงค์ที่มากขึ้นจากประชากรที่มากขึ้น อีกทั้ง นครเซี่ยงไฮ้เป็นเมืองที่มีเศรษฐกิจดี ผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูง จึงมีแนวโน้มที่จะขยายตลาดได้มาก อย่างไรก็ดีง ผู้ประกอบการควรศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายการส่งออกสินค้า รวมถึงกฎระเบียบและ สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันที่อาจส่งผลกระทบต่อการนำเข้าเสื้อผ้าเด็กของจีน
สคต. ณ นครเซี่ยงไฮ้