1.กระทบต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเยอรมัน (GDP)
ตารางอัตราการขยายตัวของ GDP ของประเทศที่ใช้เงินยูโร (%)
Country 2007 2008 2009 2010 2011 2012 (f) Belgium 2.9 1.0 -2.8 2.3 1.9 0 Germany 3.3 1.1 -5.1 3.7 3.0 0.7 Estonia 7.5 -3.7 -14.3 2.3 7.6 1.6 Ireland 5.2 -3.0 -7.0 -0.4 0.7 0.5 Greece 3.0 -0.2 -3.3 -3.5 -6.9 -4.7 Spain 3.5 0.9 -3.7 -0.1 0.7 -1.8 France 2.3 -0.1 -2.7 1.5 1.7 0.5 Italy 1.7 -1.2 -5.5 1.8 0.4 -1.4 Cyprus 5.1 3.6 -1.9 1.1 0.5 -0.8 Luxembourg 6.6 0.8 -5.3 2.7 1.6 1.1 Malta 4.3 4.1 -2.7 2.3 2.1 1.2 Netherlands 3.9 1.8 -3.5 1.7 1.2 -0.9 Austria 3.7 1.4 -3.8 2.3 3.1 0.8 Portugal 2.4 0.0 -2.9 1.4 -1.6 -3.3 Slovenia 6.9 3.6 -8.0 1.4 -0.2 -1.4 Slovakia 10.5 5.8 -4.9 4.2 3.3 1.8 Finland 5.3 0.3 -8.4 3.7 2.9 0.8 ที่มา Eurostat 2. กระทบเงินทุนสำรองของประเทศเยอรมัน ประเทศเยอรมนีถือเป็นประเทศเศรษฐกิจหลักที่สำคัญที่สุดในกลุ่มยูโรรวมถึงในสหภาพยุโรป โดยในปี 2011 เยอรมนีมียอดรวมการค้าทั้งสิ้น 2.5 ล้านล้านยูโร ซึ่งถือเป็นอัตรามากกว่า 1 ใน 4 ของยอดการค้ารวมในประเทศในกลุ่มยูโร นับตั้งแต่ประเทศต่างๆ ในกลุ่มยูโรประสบปัญหาหนี้สินสาธารณะ สหภาพยุโรปได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือประเทศสมาชิกในรูปแบบกองทุนต่างๆ คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 704,000 ล้านยูโร โดยเงินสนับสนุนที่สหภาพยุโรปให้กับประเทศที่ประสบปัญหานี้ คิดเป็นส่วนเงินจากประเทศเยอรมนีเป็นประมาณ 280,000 ล้านยูโร ซึ่งทำให้ เยอรมนีต้องประหยัดงบประมาณในประเทศ ประเทศที่มีหนี้สาธารณะมากที่สุดในขณะนี้คือประเทศเยอรมนีเนื่องจากเยอรมนีต้องแบกรับภาระพยุงสถานการณ์เศรษฐกิจในกลุ่มยูโร รวมถึงเงินกู้และสนับสนุนต่างๆของสหภาพยุโรปนั้นส่วนใหญ่เป็นเงินที่มาจากประเทศเยอรมนี อย่างไรก็ดี ประเทศเยอรมนีเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป เมื่อเปรียบเทียบปริมาณหนี้สินกับค่า GDP เยอรมนีมีหนี้สินเป็นอัตราร้อยละ 81.2 ของ GDP ซึ่งไม่ใช่ค่าที่สูงที่สุดในกลุ่มยูโร 3. ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตามประเทศเยอรมนีสามารถรักษาระดับเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับประมาณ 2% 4. ผู้บริโภคขาดความมั่นใจในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผลทางจิตวิทยา โดยที่ชาวเยอรมันมีนิสัยมัธยัสถ์อยู่ด้วยแล้วทำให้การใช้จ่ายในสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น อัญมณี บ้านหลังที่ 2 หดตัว และหันมาออมทรัพย์เพื่ออนาคต จึงส่งผลทำให้การซื้อสินค้าประเภทนี้ลดลง อย่างไรก็ตาม สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปยังไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด ผลกระทบที่มีต่อผู้ส่งออกไทย ผู้ส่งออกไทยไม่ได้รับผลกระทบจากการส่งออกมาเยอรมนีด้วยเหตุผลของวิกฤติยุโรปนัก ยอดส่งออกในสินค้าที่มีอัตราการขยายตัวลดลง เนื่องจากมาสาเหตุอื่น เช่น สถานการณ์น้ำท่วม ปัญหาจากกฎระเบียบอันเข้มงวดของ EU ด้านสุขอนามัยที่มีต่อพืชผักผลไม้ (ซึ่งในส่วนนี้ไทยส่งออกมาเยอรมนีมีปริมาณและมูลค่าไม่มาก) ด้วยเหตุผลเดียวกับการส่งออกโดยรวมของไทยไปตลาดโลก ที่สินค้าส่งออกมาเยอรมนีที่มีมูลค่ามาก เช่น ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ จะเป็นของบริษัทข้ามชาติซึ่งใช้ Global Supply Chain ที่การตัดสินใจซื้อ-ขาย ปริมาณการผลิตไม่ได้มาจากไทย ส่วนสินค้าเกษตรก็เป็นผลจากปัจจัยด้านภูมิอากาศ ภัยธรรมชาติ การขึ้นลงของราคาในตลาด รวมทั้งกฎระเบียบของ EU เอง เช่นในปีนี้การส่งออกไก่จะมากขึ้น เนื่องจาก EU ยกเลิกการห้ามนำเข้าไก่สดจากไทย ดังนั้นในขณะนี้ เหตุผลส่วนใหญ่ที่ทำให้ยอดส่งออกไทยมาเยอรมนีลดลง จึงไม่ใช่ผลจากวิกฤติหนี้ยุโรป ทั้งนี้ ในส่วนที่การส่งออกของไทยจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติหนี้ยุโรปอาจมีด้วยสาเหตุดังนี้ 1. ค่าเงินยูโรอ่อน ในขณะค่าเงินบาทแข็งทำให้สินค้าไทยแพงขึ้น ส่งผลให้ไทยเสียศักยภาพการแข่งขันและผู้ประกอบการที่ค้าขายสินค้าและบริการกับประเทศเยอรมนีจะได้รับผลกระทบจากรายได้ที่ลดลง ทั้งจากยอดขายที่ลดลงและค่าเงินยูโรที่อ่อนลงเมื่อเทียบกับเงินบาท โดยกลุ่มสินค้าส่งออกที่อาจได้รับผลกระทบมากกว่าสินค้าอื่น ได้แก่ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ อัญมณีเครื่องประดับ เครื่องนุ่งห่ม ยาง และแผงวงจรไฟฟ้า 2. ประเทศคู่ค้าของไทยอื่น ๆ เช่น จีน สหรัฐ และญี่ปุ่น ที่ส่งออกสินค้าไปเยอรมนี แต่ใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตจากไทยได้รับผลกระทบ ก็อาจทำให้ไทยได้รับผลกระทบในทางอ้อมด้วย 3. การตัดงบประมาณรายจ่ายควบคู่กับการปฏิรูปตลาดแรงงาน ระบบประกันสังคม และการลดค่าจ้าง จะทำให้การใช้จ่ายในประเทศน้อยลงส่งผลให้มีการนำเข้าสินค้าน้อยลงตามไปด้วย สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ กรุงเบอร์ลิน