สรุปกฎระเบียบการค้าของสินค้า 5 อันดับแรกของประเทศอินโดนีเซีย

ข่าวเศรษฐกิจ Monday September 8, 2008 15:54 —กรมส่งเสริมการส่งออก

1. ยานยนต์ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์
1. โดยตรงจากต่างประเทศของประเทศอินโดนีเซียมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 10,131.60 ล้านเหรียญสหรัฐ จากโครงการที่ได้รับอนุมัติการลงทุนจำนวนทั้งหมด 937 โครงการ ทั้งนี้การลงทุนจากต่างประเทศได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2006 ร้อยละ 69.50 เนื่องจากรัฐบาลได้ออกกฎหมายการลงทุนใหม่ในเดือนพฤษภาคม 2006 ทำให้นักลงทุนได้รับสิทธิประโยชน์ และได้รับความสะดวกในการลงทุนมากขึ้น
- ประเทศผู้ลงทุนรายใหญ่ 5 อันดับแรกในประเทศอินโดนีเซีย ได้แก่ สิงค์โปร์ (36.9 %) อังกฤษ (16.5 %) เกาหลีใต้ (6.0 %) ญี่ปุ่น (5.7 %) และไต้หวัน (4.6 %) ตามลำดับ ทั้งนี้ การลงทุนโดยตรงจากประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 15 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 63 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือลดลงร้อยละ 49.2
- ธุรกิจที่มีการลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สาขาบริการ (55 %)เช่น การขนส่ง คลังสินค้า และคมนาคม รองลงมาเป็น สาขาอุตสาหกรรม (45 %) เช่น อุตสาหกรรมกระดาษ และสิ่งพิมพ์ อุตสาหกรรมโลหะ/ เครื่องจักร/ อิเล็คทรอนิกส์ อุตสาหกรรมอาหาร เป็นต้น และสาขาเกษตร ปศุสัตว์ ป่าไม้ ประมง เหมืองแร่
2. เคมีภัณฑ์
- รัฐบาลอินโดนีเซียมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ โดยกำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากต้องการให้การลงทุนผลักดันให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ในเดือนพฤษภาคม 2007 ได้ออกกฎหมายการลงทุนฉบับใหม่ (Law of the Republic of Indonesia Number 25 Year 2007 Regarding Capital Investment) เพื่อสร้างบรรยากาศในการลงทุนที่เน้นประโยชน์ของชาติ และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศให้มากขึ้น โดยปรับปรุงกฎระเบียบและขั้นตอนในการลงทุน (One- Stop Service) ให้ง่ายและสะดวกรวดเร็วขึ้น และขยายการใช้สิทธิในที่ดิน เป็นต้น
- กิจการที่รัฐบาลสนับสนุนให้มีการลงทุน จะเน้นกิจการที่มีมูลค่าการลงทุนสูง และใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ทั้งนี้ จะต้องไม่เกี่ยวกับน้ำมันและกิจการท่องเที่ยว ได้แก่
1) ธุรกิจที่มีการจ้างแรงงานชาวอินโดนีเซียเป็นจำนวนมาก
2) ธุรกิจที่มีการนำเข้าเครื่องจักร เทคโนโลยีและการจัดการ ซึ่งยังไม่มีใช้ในประเทศ
3) ธุรกิจที่มุ่งเน้นการส่งออก
หน่วยงานที่ดูแลการลงทุน
คณะกรรมการประสานการลงทุนแห่งอินโดนีเซีย (Indonesia Investment Coordinating Board หรือ Badan Koordinasi Penanaman Modal : BKPM) มีหน้าที่เสนอแนะ ดำเนินนโยบาย และส่งเสริมการลงทุนและเป็นหน่วยงานที่ขึ้นตรงต่อประธานาธิบดี
สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน
1. ยกเว้นการเสียภาษีรายได้สูงสุดถึง 10 ปี และเพิ่มให้อีก 2 ปี สำหรับธุรกิจใหม่ที่ดำเนินการนอกชวา และบาหลี ในธุรกิจบางประเภทที่รัฐบาลกำหนด
2. ยกเว้นภาษีเงินได้ 3 ปี ให้กับกิจการที่ประกอบการบนเกาะชวา และยกเว้นภาษีเงินได้ 5 ปี ให้กับกิจการที่ประกอบการอยู่นอกจากสองเกาะนี้ นอกจากนี้ ยกเว้นภาษีเพิ่มให้อีก 1 ปี หากกิจการมีคุณสมบัติ ดังนี้
- มีการจ้างพนักงานอินโดนีเซียอย่างน้อย 2,000 คนขึ้นไป ในช่วงที่ดำเนินการผลิต
- มีการร่วมหุ้นกันอย่างน้อยร้อยละ 20 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
- มีเงินลงทุน (ไม่รวมที่ดินและอาคาร) ตั้งแต่ 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขึ้นไป สำหรับกิจการที่ดำเนินการเกี่ยวกับการส่งออก การเกษตร เหมืองแร่
3. กิจการที่ตรงตามประกาศของ Presidential Decress จะได้รับสิทธิประโยชน์ ดังนื้
1) การคิดค่าเสื่อมราคาแบบอัตราเร่ง
2) ขยายระยะเวลาการนำผลขาดทุนไปหักจากผลกำไรในปีถัดไป เพิ่มขึ้น เป็นสูงสุด 10 ปี
3) ลดอัตราภาษีเงินได้ หากนำผลกำไรมาลงทุนซ้ำในปีเดียวกันหรือปีถัดไป จะได้รับการยกเว้นภาษีจากผลกำไรที่ได้รับเพิ่ม
4. การนำผลขาดทุนมาหักภาษีในปีถัดไปได้ 5 ปี หรือ 8-10 ปี สำหรับธุรกิจบางประเภทและธุรกิจที่ตั้งในบางพื้นที่
อุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ
1. อุตสาหกรรมน้ำมัน แก๊ส/เชื้อเพลิง เนื่องจากประเทศอินโดนีเซียสามารถเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือทางด้านพลังงาน จากการที่ประเทศที่ยังมีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรน้ำมัน และแก๊สธรรมชาติมาก รวมทั้งยังเป็นผู้ขับเคลื่อนหลักด้านพลังงานในกรอบความร่วมมือของเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue-ACD) ด้วย
2. อุตสาหกรรมเหมืองแร่ เนื่องจากเป็นแหล่งที่มีอุดมสมบูรณ์ของถ่านหิน และสินแร่ต่างๆ เช่น ดีบุก ทองแดง นิเกิล บ๊อกไซด์ ทอง เงิน และแร่เหล็ก โดยอุตสาหกรรมเหมืองแร่ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากต่างประเทศ
ธุรกิจไทยที่น่าจะมีศักยภาพ
1. ธุรกิจการแปรรูปอาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะอาหารทะเลและผลไม้แปรรูปเนื่องจากอินโดนีเซียเป็นแหล่งที่มีทรัพยากรประมงจำนวนมาก และสามารถผลิตสินค้าเกษตรขั้นพื้นฐานได้เองด้วย เช่น ข้าว กาแฟ มะพร้าว ยางพารา น้ำมันปาล์ม เครื่องเทศ โกโก้ นอกจากนี้ อินโดนีเซีย ยังเป็นตลาดใหญ่ที่มีผู้บริโภคหลายระดับ ดังนั้น การแปรรูปอาหารและเครื่องดื่มจะมีศักยภาพและมีความพร้อมในการลงทุน
2. ธุรกิจการผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ยานยนต์ เนื่องจากอินโดนีเซียมีการนำเข้าและผลิตรถยนต์ได้เองในประเทศ รวมทั้งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีความต้องการใช้รถ ดังนั้นจึงมีความต้องการอะไหล่รถยนต์เพื่อทดแทนอะไหล่เดิม ทั้ง OEM และ REM (After market)
3. ธุรกิจการผลิตและประกอบเครื่องจักร เครื่องยนต์/ชิ้นส่วน เนื่องจากอินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมการผลิตหลายประเภท โดยเฉพาะการลงทุนจากต่างประเทศ ดังนั้น จึงมีความต้องการใช้เครื่องจักร
4. ธุรกิจการผลิตน้ำตาล เนื่องจากเป็นตลาดใหญ่ของอุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูปอาหารต่างๆ ประกอบกับมีการสนับสนุนการผลิตในประเทศ โดยการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสูง
5. ธุรกิจบริการทางการแพทย์ เนื่องจากบริการทางการแพทย์/โรงพยาบาลในอินโดนีเซียยังมีมาตรฐานท่ำม่ำด้รับการยอมรับ และเชื่อถือในการรักษาจากคนที่มีฐานะ ซึ่งจะเดินทางไปใช้บริการในต่างประเทศ โดยเฉพาะสิงคโปร์
ต้นทุนทางธุรกิจ
1. ค่าจ้างแรงงาน อินโดนีเซียไม่ได้กำหนดอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำระดับประเทศ แต่จะกำหนดอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำตามพื้นที่ (Provincial Minimum Wage) ซึ่งมีอัตราที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ ค่าจ้างแรงงานในอินโดนีเซียยังมีอัตราที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศกลุ่มาเซียน โดยมีอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ ปี 2551 ดังนี้
- เมืองจาการ์ตา (Capital Special Region) อัตรา 972,674.80 รูเปีย/เดือน
- เมือง North Sumatra อัตรา 771,880 รูเปีย/เดือน
- เมือง West Sumatra อัตรา 735,080 รูเปีย/เดือน
- เมือง South Sulawesi อัตรา 682,640 รูเปีย/เดือน
- เมืองบาหลี อัตรา 631,120 รูเปีย/เดือน
- เมืองยอกจาการ์ตา อัตรา 506,920 รูเปีย/เดือน
2. ค่าไฟฟ้า อัตราค่าไฟฟ้าเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมของอินโดนีเซียอยู่ที่ 0.06-0.07 ดอลล่าร์สหรัฐ/กิโลวัตต์-ชั่วโมง
3. ค่าน้ำประปา อัตราค่าน้ำประปาในประเทศแตกต่างกันตามประเภทผู้ใช้และปริมาณการใช้ ทั้งนี้ อุตสาหกรรมมีอัตรา ดังนี้
- 0.35 ดอลล่าร์สหรัฐ/ลูกบาศก์เมตร (0-10 ลูกบาศก์เมตร)
- 0.44 ดอลล่าร์สหรัฐ/ลูกบาศก์เมตร (11-20 ลูกบาศก์เมตร)
- 0.54 ดอลล่าร์สหรัฐ/ลูกบาศก์เมตร (มากกว่า 20 ลูกบาศก์เมตร)
4. ค่าขนส่งสินค้า
- ทางเรือ จากท่าเรือสำคัญ มาไทย ราคา 300-450 ดอลล่าร์สหรัฐ/คอนเทนเนอร์ 20 ฟุต และ 40 ฟุต
- ทางอากาศ ต่ำกว่า 5 กิโลกรัม อัตรา 29 ดอลล่าร์สหรัฐ/shipment
- ทางอากาศ 5-45 กิโลกรัม อัตราเพิ่ม 5.26 ดอลล่าร์สหรัฐ/กิโลกรัม
- ทางอากาศ 45-100 กิโลกรัม อัตรา 3.70 ดอลล่าร์สหรัฐ/กิโลกรัม
- ทางอากาศ 100-300 กิโลกรัม อัตรา 3.50 ดอลล่าร์สหรัฐ/กิโลกรัม
- ทางอากาศ 300-500 กิโลกรัม อัตรา 3.00 ดอลล่าร์สหรัฐ/กิโลกรัม
- ทางอากาศมากกว่า 500 กิโลกรัม อัตรา 2.50 ดอลล่าร์สหรัฐ/กิโลกรัม
ข้อตกลงสำคัญด้านการลงทุน
1. ความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน (Agreement for the Promotion and Protection of Investments) กับ 57 ประเทศทั่วโลกรวมไทย มีความตกลงดังกล่าวเมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2541
2. ความตกลงเพื่อการยกเว้นการเก็บภาษีซ้ำซ้อน (Agreement for the Avoidance of Double Taxation) ไทย-อินโดนีเซียมีความตกลงเรื่องดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2546
3. การจัดตั้งสภาธุรกิจไทย-อินโดนีเซีย (Bilateral Business Council) โดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทสไทยได้ลงนามข้อตกลงดังกล่าและจัดตั้งสภาธุรกิจไทย-อินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2546
ปัญหา/อุปสรรคในการลงทุน
1. กฎหมายและกฎระเบียบบางประการยังคุ้มครองผู้ประกอบการในประเทศ
2. ระบบราชการของอินโดนีเซียมีความซับซ้อนยุ่งยาก มีหลายขั้นตอน ทำให้เป็นภาระต้นทุนทางการค้า
3. ระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานยังไม่เพียงพอต่อการลงทุนบางประเภท ซึ่งนักลงทุนต่างชาติต้องเข้ามาร่วมลงทุน
4. กฎหมายแรงงานที่เข้มงวดและคุ้มครองประโยชน์ของลูกจ้าง/ผู้ใช้แรงงานสูง
ที่มา: http://www.depthai.go.th

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ