สรุปภาวะการค้าระหว่างประเทศไทย - สหรัฐฯ ปี 2551 (ม.ค-ก.ย.) สรุปจากสถิติ Menucom กรมส่งเสริมการส่งออก

ข่าวเศรษฐกิจ Monday November 17, 2008 14:51 —กรมส่งเสริมการส่งออก

ข้อมูลทั่วไป:
เมืองหลวง           :   Washington D.C.
พื้นที่                :   9,161,923 ตารางกิโลเมตร
ภาษาราชการ         :   English
ประชากร            :   299.4 ล้านคน (2006)
อัตราแลกเปลี่ยน       :   1 ดอลลาร์สหรัฐฯ = 34.740 บาท (13/11/51)

(1) เครื่องชี้วัดเศรษฐกิจ

ปี 2007 ปี 2008

Real GDP growth (%)                                  2.1         1.5
Consumer price inflation (av; %)                     2.9         2.1
Federal government budget  balance (% of GDP)       -1.2        -1.7
Current-account balance (% of GDP)                  -5.4        -4.8
US$ 3-month commercial paper rate (av; %)            5.0         4.4
Exchange rate ฅ:US$ (av)                           117.5       105.0

โครงสร้างสินค้าออกของไทยกับสหรัฐฯ
                                   มูลค่า :         สัดส่วน %      % เพิ่ม/ลด

ล้านเหรียญสหรัฐฯ

สินค้าออกสำคัญทั้งสิ้น                  15,324.82         100.00          8.48
สินค้าเกษตรกรรม                     1,429.06           9.33         26.50
สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร             1,464.22           9.55         16.10
สินค้าอุตสาหกรรม                    11,985.67          78.21          6.39
สินค้าแร่และเชื้อเพลิง                    445.87           2.91         60.75
สินค้าอื่นๆ                               0.00           0.00       -100.00


โครงสร้างสินค้าเข้าของไทยกับสหรัฐฯ
                                         มูลค่า :          สัดส่วน %      % เพิ่ม/ลด

ล้านเหรียญสหรัฐฯ

นำเข้าทั้งสิ้น                              8,545.63          100.00         25.67
สินค้าเชื้อเพลิง                              214.90            2.51         42.32
สินค้าทุน                                 2,928.02           34.26         24.81
สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป                  4,382.12           51.28         28.46
สินค้าบริโภค                                926.89           10.85         36.35
สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง                  74.76            0.87         16.93
สินค้าอื่นๆ                                   18.94            0.22        -87.22

1. มูลค่าการค้า
มูลค่าการนำเข้า ส่งออก และดุลการค้าของไทย - สหรัฐฯ

                           2550           2551         D/%

(ม.ค.-กย.) ล้านเหรียญสหรัฐฯ

มูลค่าการค้ารวม            20,926.38      23,870.45      14.07
การนำเข้า                 6,800.08       8,545.63      25.67
การส่งออก                14,126.30      15,324.82       8.48
ดุลการค้า                  7,326.23       6,779.20      -7.47

2. การนำเข้า
ประเทศไทยนำเข้าจากตลาดสหรัฐฯ เป็นอันดับที่ 3 มูลค่า 8,545.63 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.67 สินค้านำเข้าสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่
                                         มูลค่า :         สัดส่วน %      % เพิ่ม/ลด

ล้านเหรียญสหรัฐฯ

มูลค่าการนำเข้ารวม                        8,545.63          100.00        25.67
1. แผงวงจรไฟฟ้า                           916.20           10.72       -13.07
2. เคมีภัณฑ์                                863.87           10.11        47.99
3. เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ                811.74            9.50        17.00
4. เครื่องคอมพิวเตอร์ฯ                       689.31            8.07         5.94
5. เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์                 653.76            7.65       182.19
               อื่น ๆ                      935.43           10.95         2.15

3. การส่งออก
ประเทศไทยส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ เป็นอันดับที่ 1 มูลค่า  15,324.82  ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.45 สินค้าส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่
                                    มูลค่า :          สัดส่วน %       % เพิ่ม/ลด

ล้านเหรียญสหรัฐฯ

มูลค่าการนำเข้ารวม                    15,324.82         100.00          8.48
1. เครื่องคอมพิวเตอร์ฯ                  2,625.65          17.13          7.39
2. เสื้อผ้าสำเร็จรูป                     1,051.32           6.86         -5.81
3. อาหารทะเลกระป๋องและแปร              829.78           5.41         13.69
4. อัญมณีและเครื่องประดับ                  827.39           5.40         28.61
5. ผลิตภัณฑ์ยาง                          722.55           4.71         12.20
            อื่น ๆ                    3,004.06          19.60         -6.48

4. ข้อสังเกต
4.1 สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปสหรัฐฯ ได้แก่

เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ : สหรัฐฯเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 2 ของไทย โดยในปี 2551 (มค.- กย.) มีมูลค่า2,098.58 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.86 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

เสื้อผ้าสำเร็จรูป : สหรัฐฯเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของไทยเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2548 - 2551 พบว่ามีอัตราการขยายตัวลดลงทุกปีร้อยละ 2.26, 9.27 และ 5.81 ตามลำดับ

อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป : สหรัฐฯเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของไทย โดยในปี 2551 (มค.-กย.) มีมูลค่า829.78 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.69 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

อัญมณีและเครื่องประดับ : สหรัฐฯเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 3 ของไทย โดยในปี 2551 (มค.-กย.) มีมูลค่า 827.39 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.61 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

ผลิตภัณฑ์ยาง : สหรัฐฯเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของไทยเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2547 - 2551 พบว่ามีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปีร้อยละ 29.61, 23.36, 11.85 และ 12.20 ตามลำดับ

4.2 ในบรรดาสินค้าส่งออกจากไทยไปตลาดสหรัฐฯ ปี 2551 (มค.-กย.) 25 รายการแรก สินค้าที่มีอัตราเพิ่มสูงโดยสูงกว่าร้อยละ 50 มี
รวม 4 รายการ คือ
     อันดับที่ / รายการ                  มูลค่า           อัตราการขยายตัว      หมายเหตุ
                                 ล้านเหรียญสหรัฐ             %
9. ยางพารา                          480.19              54.03
12.น้ำมันดิบ                           414.28              66.86
16.ข้าว                              247.85              62.23
24.เครื่องยนต์สันดาปภายในฯ              152.93              71.77

4.3 ในบรรดาสินค้าส่งออกจากไทยไปตลาดสหรัฐฯ ปี  2551 (ม.ค.-กย.) 25  รายการแรกสินค้าที่มีอัตราลดลง รวม 5 รายการ คือ
อันดับที่ / รายการ                 มูลค่า           อัตราการขยายตัว
                           ล้านเหรียญสหรัฐ             %
2. เสื้อผ้าสำเร็จรูป             1,051.32              -5.81
8. แผงวงจรไฟฟ้า                502.70              -8.88
20.เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน          185.90             -23.66
21.รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนฯ         185.38              -5.56
22.รองเท้าและชิ้นว่สน             180.62              -0.21

4.4  ข้อมูลเพิ่ม

นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยภายหลังนายเอริก จี.จอห์น เอกอัคราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ ว่าทางสหรัฐฯ ได้ยืนยันว่านโยบายการทำงานของนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีคนใหม่ ไม่มีผลต่อการค้าการลงทุนของไทยที่มีความสัมพันธ์กันมายาวนาน แต่จะทำให้การค้าและการลงุทนระหว่างไทยกับสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์ เพิ่มมากขึ้นอีก เพราะล่าสุดสหรัฐฯ ได้ต่อสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) ให้แก่ไทยออกไปอีก 1 ปี หรือจาก 1 ม.ค.2551 ไปจนถึง 31 ธ.ค. 2552 สหรัฐฯ ได้แนะนำให้รัฐบาลไทยจัดคณะนักธุรกิจออกไปโรดโชว์ยังสหรัฐฯ เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างกันซึ่งทางรัฐบาลสหรัฐฯ พร้อมให้ความช่วยเหลือในทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนไทยไปลงทุนสหรัฐฯ หรือนักลงทุนสหรัฐฯ เข้ามาลงทุนในไทยเหมือนกับที่จีนทำ โดยกระทรวงฯ จะกลับมาพิจารณาว่าจะนำอุตสาหกรรมกลุ่มไหนออกไปโรดโชว์ยังสหรัฐฯ เพื่อให้เกิดประโยชน์ตรงต่อกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด สำหรับประเด็นที่ทางเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ เป็นห่วงนั้น คือ กฎระเบียบที่เข้มงวดใน พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 เนื่องจากบริษัทแม่ของสหรัฐฯ ที่เข้ามาลงทุนธุรกิจในไทยประสบปัญหาเรื่องการส่งตัวแทนเข้ามาประชุมในไทยที่จะต้องมีการลงมติซึ่งบางครั้งผู้บริหารระดับสูงไม่ได้เดินทางมาประชุมด้วยตนเอง แต่ส่งตัวแทนที่มีใบมอบอำนาจมาอย่างถูกต้อง แต่ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าประชุม เพราะติดกฎหมายของไทยดังนั้น จึงอยากให้ไทยดูแลปัญหาดังกล่าว เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคในการประกอบธุรกิจ โดยทางกระทรวงฯ รับปากว่าจะจัดการให้ ขณะที่ประเด็น ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในไทยเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ระบุว่าได้ติดตามการแก้ไขปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในไทยมาตลอด และถือว่ามีการแก้ไขปัญหาได้ดี ทำให้การละเมิดทรัพย์สินฯ ลดลง ซึ่งมั่นใจว่าในปีหน้าการจัดสถานะประเทศที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ตามมาตรา 301 กฎหมายพิเศษการค้าสหรัฐฯ ไทยจะอยู่ในบัญชีจัดสถานะความรุนแรงการละเมิดลดลง จากปัจจุบันไทยอยู่ในบัญชีจับตามองเป็นพิเศษ (PWL) ส่วนเรื่องการบังคับใช้สิทธิภายใต้ยาที่มีสิทธิบัตร (CL) ทางทูตสหรัฐฯ ได้มีการสอบถามเช่นกันและยินดีที่ไทยเห็นถึงความสำคัญต่อการปกป้องยาที่มีสิทธิบัตร ซึ่งได้ชี้แจงว่าการใช้ CL จะใช้เฉพาะกรณีที่มีปัญหาการเข้าถึงยากเพราะยามีราคาแพง แต่หากปัญหาไม่ถึงระดับนั้นก็ไม่จำเป็นต้องใช้

สถานการณ์การส่งออกผลไม้ฉายรังสีไปยังสหรัฐอเมริกาในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาว่า ตลาดสหรัฐฯ ให้การตอบรับค่อนข้างดีทั้ง 6 ชนิด โดยผลไม้ที่สหรัฐฯนำเข้ามากที่สุด คือ ลำไย รองลงมาเป็นมังคุด มะม่วง เงาะ ลิ้นจี่ และสับปะรด รวมมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ซี่งขณะนี้กระทรวงเกษตรฯได้มอบหมายให้สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ประสานความร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมการค้าไทยประจำนครลอสแองเจลิส (Thai Trade Center) เร่งเจรจาเพื่อเปิดตลาดสินค้าผลไม้ไทยในสหรัฐฯ เพิ่มเติมอีก 6 ชนิด ได้แก่ แก้วมังกร ฝรั่ง พุทรา เผือก ฟักทองญี่ปุ่น และส้มโอ ซึ่งมีโอกาสสูงในตลาดสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ และเป็นรายการสินค้าที่มีราคาสูงด้วย ทั้งในฮาวายมาร์เก็ต SG มาร์เก็ต 99มาร์เก็ต และบางกอกมาร์เก็ต ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเร่งศึกษาข้อมูลและจัดทำรายงานวิเคราะห์ความเสี่ยงศัตรูพืช เพื่อขอเปิดตลาดเพิ่มเติมโดยเร็ว แม้ผลไม้ไทยจะมีจุดแข็งทางด้านคุณภาพ แต่ไทยจำเป็นต้องเร่งผลิตผลไม้นอกฤดูป้อนตลาดให้ต่อเนื่องตลอดปี เพื่อไม่ให้ตลาดหยุดชะงักและเสียลูกค้าให้กับคู่แข่งสำคัญอย่างจีนที่ได้เปรียบเรื่องต้นทุนที่ต่ำกว่า ขณะเดียวกันผู้ประกอบการของไทยจะต้องพัฒนาบรรจุภัณฑ์หรือกล่องผลไม้ให้มีความแข็งแรงมากขึ้น เพื่อลดความสูญเสียระหว่างการขนส่งด้วย

ภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำในสหรัฐส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง แต่สินค้า "ปลาทูน่ากระป๋อง" ดูเหมือนจะสวนทาง ด้วยอัตราขยายตัวของการส่งออกจากไทยไปสหรัฐที่เพิ่มขึ้นถึง 54.48% ในช่วง 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.) ของปี 2551 มูลค่า 275.87 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้ภาพรวมของการส่งออกปลาทูน่ากระป๋องของไทยในช่วง 9 เดือนแรก มีมูลค่า 1,418.32 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 59.94% ขณะที่ยอดการนำเข้าวัตถุดิบปลาทูน่าปรับเพิ่มขึ้นถึง 67.48% มูลค่า 1,107.87 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้เห็นถึงอนาคตอันสดใสของการส่งออกปลาทูน่ากระป๋อง สำหรับการส่งออกในช่วงที่เหลือในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 เทียบกับไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 คาดว่ามูลค่าการส่งออทูน่ากระป๋องจะปรับลดลง เพราะขณะนี้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ซึ่งเป็นต้นทุนในการจับปลาทูน่าได้ปรับตัวลดลง ทำให้ราคาวัตถุดิบปรับลดลงตาม เฉลี่ย 10-20% ทำให้ยากต่อการคาดการณ์เป้าหมายการส่งออกปี 2552 อย่างไรก็ตามคาดว่าน่าจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่าปี 2551 หรือประมาณ 5-6% ในด้านปริมาณ เนื่องจากปริมาณความต้องการปลาทูน่าในตลาดต่างๆ จะยังทรงตัวโดยเฉพาะตลาดสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดหลักมีสัดส่วนการส่งออก 19% รองลงมาคือ ออสเตรเลีย, ลิเบีย, แคนาดา และญี่ปุ่น ซึ่งมีสัดส่วนประมาณตลาดละ 6-8% "การที่ตลาดหลักของปลาทูน่ากระป๋องของไทย คือ สหรัฐ เกิดปัญหาวิกฤตการเงิน ซึ่งอาจจะกระทบกับการส่งออกสินค้าฟุ่มเฟือย แต่สินค้าทูน่าเป็นเหมือนมาม่า เป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี เนื่องจากราคาถูกและมีโปรตีนสูง ดังนั้นสินค้ากลุ่มนี้จึงไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ อย่างไรก็ตามตอนนี้ปริมาณความต้องการบริโภคยังคงทรงตัวทั้งในสหรัฐ สหภาพยุโรป หรือญี่ปุ่น" ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 ยอดขายปลาทูน่าบรรจุกระป๋องของบริษัทเพิ่มขึ้นถึง 38% ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ปลาทูน่ายังคงมีสัดส่วนในการส่งออกเป็นอันดับ 1 กล่าวคือ มีสัดส่วนที่ 46% รองลงมา คือ กุ้งแช่แข็ง 20%, อาหารแมวบรรจุกระป๋อง 9%, อาหารทะเลบรรจุกระป๋อง 9%, อาหารกุ้ง 6% ส่วนตลาดส่งออกหลักที่สำคัญได้แก่สหรัฐอเมริกา มีสัดส่วน 53% รองลงมาคือสหภาพยุโรป 15%, ญี่ปุ่น 10% ผลจากปัจจัยลบต่างๆ ที่มีสัญญาณดีขึ้น เช่น ค่าเงินบาทที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น ไม่มีความผันผวนเหมือนช่วงครึ่งปีแรก ราคาน้ำมันที่มีการปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงราคาปลาทูน่าที่อ่อนค่าลง ทำให้การบริหารต้นทุนวัตถุดิบมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นขณะที่การส่งออกกุ้งกลับเป็นไปในทางตรงข้ามกัน เนื่องจากมูลค่าการส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2551 ซึ่งตลาดสหรัฐมีสัดส่วนสูงถึง 49.80% กลับมีการขยายตัวของการส่งออกเพียง 3.16% มูลค่า 475.42 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้การส่งออกในภาพรวมของกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งมีมูลค่า 954.61 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นเพียง 3.73% แต่ปัญหาที่น่าห่วงก็คือ ผลกระทบจากวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐที่ลุกลามไปทั่วโลก อาจทำให้ไทยส่งออกกุ้งได้น้อยลงในปีหน้า ทางผู้ส่งออกคงต้องเร่งปรับตัวขยายตลาดใหม่ในกลุ่มตลาดสหภาพยุโรปและรัสเซียให้มากขึ้น อย่างไรก็ตามทางสมาคมอยากเรียกร้องให้กลุ่มเกษตรกร ผู้เลี้ยงกุ้งปรับลดกำลังการผลิตกุ้งลงให้สมดุลกับความต้องการของตลาด ขณะเดียวกันก็ต้องการให้ภาครัฐหันมาสนับสนุนให้สถาบันการเงินภายในประเทศปล่อยเงินสินเชื่อให้แก่กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งและกลุ่มผู้ส่งออกในสัดส่วนที่มากขึ้น เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในธุรกิจกุ้งในอนาคต

สหรัฐฯได้บังคับใช้กฎหมายคุ้มครองพืชสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ ในการห้ามนำเข้าหนังจระเข้เลี้ยงจากไทย 2 สายพันธุ์ คือ Crocodylus Porosus และ Crocodylus Siamensis โดยสหรัฐฯจัดให้เป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์และใส่ไว้ในบัญชี Endangered แม้ว่าผู้ส่งออกไทยจะมีหนังสือรับรองจากหน่วยงาน Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora ( CITES) แต่ก็ไม่สามารถส่งออกไปยังสหรัฐฯได้ อย่างไรก็ดีสหรัฐฯอนุญาตการนำเข้าสินค้าที่ทำจากหนังจระเข้เลี้ยงของไทย ในกรณีที่ติดตัว (Personal Belongings) หรือการย้ายถิ่นฐานของบุคคลโดยมีการจำกัดจำนวนไม่เกิน 4 ชิ้นต่อ 1 คน กรมการค้าต่างประเทศจึงขอแจ้งเตือนให้ผู้ส่งออกตรวจสอบสายพันธุ์ของหนังจระเข้ที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าเครื่องหนังไปสหรัฐฯ ซึ่งนอกจากสายพันธุ์ของจระเข้ในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ทั้ง 2 สายพันธุ์ ข้างต้นแล้ว สหรัฐฯยังได้ห้ามการนำเข้าสินค้าเครื่องหนังจระเข้ที่ทำมาจากหนังจระเข้อีก 17 สายพันธุ์ ซึ่งส่วนมากพบในทวีปอเมริกาใต้และแอฟริกา โดยผู้ส่งออกสามารถตรวจสอบรายละเอียดหนังจระเข้ทุกสายพันธุ์ที่สหรัฐฯห้ามนำเข้าได้ที่เว็ปไซด์ของกรมการค้าต่างประเทศ WWW.dft.moc.go.th แล้วกดเลือกมาตรการทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTMs) ในส่วนของสหรัฐฯ

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ