รู้ไว้ก่อนทำธุรกิจกับอินเดีย (ตอน 1)

ข่าวเศรษฐกิจ Friday November 21, 2008 09:09 —กรมส่งเสริมการส่งออก

  • เศรษฐีใหม่ในอินเดีย คนอินเดียรุ่นใหม่ที่ทำงานกับบริษัทไอทีมีรายได้ราว 30,000 — 1 แสนรูปีต่อเดือน มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 300 ล้านคน มนุษย์เผ่าพันธุ์นี้เพ่นพ่านอยู่ตามเมืองสำคัญที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน IT ตั้งอยู่ และใช้เงินเป็นเบี้ย ชอบสินค้าหรูๆ เที่ยวเมืองนอกกันเป็นว่าเล่น พบเห็นได้ไม่ยากในเมืองสำคัญ เช่น มุมไบ นิวเดลี บังกะลอร์ โคชิน เชนไน และไฮเดอราบัด เป็นต้น อนึ่ง ของนอกจากเมืองไทยจะเป็นที่โปรดปรานเป็นพิเศษในอันดับต้นๆ เช่นกัน
  • การทักทาย — กล่าวสวัสดีด้วยคำว่า “นมัสเต” พร้อมทั้งยกมือไหว้ การทักทายแบบนี้ใช้ได้ทั่วไปทางอินเดียตอนเหนือ เช่น รัฐอุตรประเทศ ราชาสถาน ปันจาบ และพิหาร แต่หากเป็นตอนใต้ไม่นิยมการยกมือไหว้ แต่ใช้ธรรมเนียมแบบอังกฤษคือการจับมือ (check hand) และคำทักทายจะต่างกันไปตามภาษาแต่ละท้องถิ่นในแต่ละรัฐ เช่นในรัฐทมิฬนาดูจะทักทายด้วยคำว่า “วานักกำ” สำหรับในกลุ่มชาวมุสลิมจะทักทายว่า “ซาลาม มุอลายกุม”
  • ผู้ชายจะไม่จับมือทักทายกับผู้หญิง เว้นแต่ผู้หญิงจะยื่นมือให้สัมผัสก่อน แต่ก็จับแค่ครึ่งมือ คือสัมผัสเฉพาะส่วนที่เป็นนิ้วเท่านั้น ฝ่ามือจะไม่สัมผัสกัน
  • คนอินเดียไม่นิยมปฏิเสธโดยตรง แต่จะพูดว่า “จะพยายาม ” (I will try) ซึ่งหมายถึง “No” ดังนั้น หากเจรจาธุรกิจกับอินเดียแล้วได้ยินคำนี้ แสดงว่า ไม่ตกลง
  • การพยักหน้า ของไทยใช้ผงกหัว “ด้านหน้า” แต่อินเดียจะผงกหัวไป “ซ้าย-ขวา”(มองดูคล้ายกับการส่ายหน้า ต้องสังเกตุให้ดี) แต่มีความหมายเหมือนกันคือ “Yes”
  • การเปิบอาหารด้วยมือถือเป็นเรื่องปกติในวัฒนธรรมอินเดีย ดังนั้นไม่ควรแสดงอาการตกใจหรือตื่นเต้นเมื่อพบกับเหตุการณ์ดังกล่าว แต่คุณก็สามารถขอช้อนได้ถ้าคุณไม่ถนัดที่จะเปิบ
  • คนอินเดียโดยเฉลี่ย 50% เป็นมังสะวิรัต แต่ในตอนเหนือ เช่นรัฐอุตรประเทศ ราชาสถาน ปันจาบ และพิหาร มีมากถึง 70% ร้านอาหารไทยแบบเจ หรือผลิตภัณฑ์อาหารแบบเจมีลู่ทางที่สดใสมากในตลาดนี้ คนอินเดียนิยมอาหารไทย เครื่องแกงอินเดียคล้ายของไทยและใส่กะทิด้วยเช่นกัน แต่รสชาติอ่อนกว่าไทยมาก คนอินเดียหลายคนเคร่งเรื่องความบริสุทธิของอาหารมังสวิรัตมาก หลายร้านถึงกับขึ้นป้ายว่า “Pure Vegetarian Food” ซึ่งแม่ครัวไทยถนัดเรื่องนี้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ควรลืมพิมพ์คำว่า “Pure Vegetarian Food” ไว้บนฉลากเช่นกัน หรือภาครัฐอาจออกตรารับรอง “เจแท้” อย่างเป็นทางการก็ควรส่งเสริม
  • สาเหตุที่คนอินเดียรับประทานมังสะวิรัติ สันนิษฐานว่าเป็นอิทธิพลของศาสนาพุทธสายมหายานช่วงท้ายๆ ในอินเดียซึ่งรุ่งเรืองมาก ทำให้ศาสนาพราหมที่แข่งกันดึงคนเข้าวัดกับศาสนาพุทธมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ได้รับเอาธรรมเนียมนี้ไปปฏิบัติเพื่ออวดเคร่ง (เริ่มในสมัยหัวหน้าพราหมที่ชื่อสังฆราจารย์) พร้อมกับรับเอาคำสอนและแนวปฏิบัติหลายๆ อย่างไปใช้ด้วย เช่น เริ่มมีนักบวชเหมือนชาวพุทธ มีธรรมเนียมโกนหัวบวช 1 วันเหมือนชาวพุทธ และการกินเจเหมือนชาวพุทธ เป็นต้น
  • หากเห็นชามเล็กๆ ใส่น้ำและมะนาวฝานบางๆ วางอยู่บนโต๊ะอาหารแล้วไซร้ ห้ามดื่มเด็ดขาด เพราะเขาเอาไว้ล้างมือ
  • คนไทยที่ทานยาก หากมาอินเดียใหม่ๆ ควรเลือกรับประทาน biriyani “บิริยานี่” หรือข้าวหมกไก่เป็นหลัก จะทำให้ชีวิตในอินเดียมีรสชาติขึ้นเยอะ แม้ว่าข้าวหมกไก่ไทยจะอร่อยกว่าก็ตาม คนอินเดียถือว่าบิริยานี่จากรัฐ Andhrapradesh อร่อยที่สุดในโลก (เขาว่างั้น)
  • คนอินเดียมีวัฒนธรรมการกินที่เรียกว่า “dabba” (ดั๊บบา) หมายถึงปิ่นโต การนำปิ่นโตอาหารกลางวันไปรับประทานที่ทำงานเป็นเรื่องปกติตั้งแต่ระดับนักเรียน คนงาน พนักงานบริษัท ไปถึงระดับ นายกรัฐมนตรี ดังนั้นหากจะเชิญใครไปรับประทานอาหารกลางวัน ต้องนัดล่วงหน้าอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพื่อที่ว่าเขาจะได้ไม่ต้องนำปิ่นโตไปจากบ้านในวันนั้น
  • วัฒนธรรมดั๊บบาของอินเดียนี้แข็งแกร่งมาก แม้แต่นักการทูตอินเดียในต่างประเทศก็ยังพกปิ่นโตไปที่ทำงานด้วย
  • ในเมืองมุมไบมีธุรกิจที่เรียกว่า “dabbawala” (ดั๊บบาวาลา) หมายถึงนักขนปิ่นโต เป็นธุรกิจที่ทำเงินมหาศาลมาก โดยแต่ละวันจะมีการขนส่งปิ่นโตถึงสองแสนหน่วย และมีการเติบโตของธุรกิจถึงร้อยละ 15 ต่อปี ทุกเช้าจะมีพนักงานของดั๊บบาวาลาไปรวบรวมปิ่นโตอาหารจากแม่บ้านของสมาชิกทุกบ้าน แล้วขนขึ้นซาเล้ง ถีบไปที่สถานีรถไฟ ส่งต่อให้พนักงานที่รอรับอยู่บนรถไฟ ก่อนเดินทางไปส่งให้กับสมาชิกถึงโต๊ะทำงานก่อนเที่ยงของทุกวัน เป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์มากที่ว่า ไม่เคยมีการส่งผิดที่เลยแม้แต่ครั้งเดียว ธุรกิจนี้มีเว็บไซต์ของตัวเองด้วย คือ http://www.mydabbawala.com/ หากคุณมีโอกาสไปทำงานที่มุบไบก็น่าจะลองสมัตรเป็นสมาชิกโดยผ่านเว็บไซต์ดังกล่าวได้ แถม ธุรกิจนี้ยังให้บริการผูกปิ่นโตด้วย คือบริษัททำอาหารปิ่นโตให้เองเลย ไม่ต้องไปรับที่บ้าน ดังนั้นร้านอาหารไทยในอินเดียน่าจะลองศึกษาวิธีการบริหาร dabbawala จากเว็บไซต์ดังกล่าวไว้ด้วยก็ดี เพราะอาจมีลูกค้าสนใจผูกปิ่นโตด้วยก็ได้
  • คนอินเดียรับประทานอาหารเย็นดึกมาก ประมาณ 3-4 ทุ่ม ดังนั้นหากได้รับเชิญไป dinner ที่บ้านของเพื่อนชาวอินเดีย ก็ควรรับประทานมาม่ารองท้องไปก่อนจะเป็นการดี ส่วนจะมีของติดไม้ติดมือไปก็ไม่ผิดกติกา อาจเป็นไวน์สักขวด หรือ ขนมไทยๆ ที่แม่บ้านคุณทำเอง เอาไปฝากด้วยก็เก๋ไปอีกแบบ จะเป็นที่ชื่นชมของเจ้าภาพเป็นอย่างยิ่ง
  • งานเลี้ยงแต่งงานไม่มีการให้ “เงินช่วย” กับเจ้าภาพ แต่นิยมเป็นของขวัญมากกว่า โดยแขกแต่ละคนจะขึ้นไปมอบให้กับเจ้าสาวเองกับมือบนเวทีเลยทีเดียว ขณะเดียวกันวงมโหรีก็จะบรรเลงเพลงมโหรีสนั่นหวั่นไหวตลอดทั้งงานเป็นที่ทรมานโสตประสาทเป็นอย่างยิ่ง
  • ดังที่กล่าวข้างต้น ค่าใช้จ่ายในการแต่งงานจึงตกเป็นหน้าที่ของฝ่ายเจ้าสาวเป็นหลัก ดังนั้นหากใครมีลูกสาวจะต้องเตรียมตัวเก็บเงินไว้เป็นค่าสินสอดและค่าจัดงานตั้งแต่วันที่ลูกสาวเกิดเลยทีเดียว
  • สาวอินเดียที่ตกรถไฟขบวนสุดท้ายมีน้อยมากในอินเดีย เพราะการอยู่เป็นโสดเป็นที่อับอายต่อวงศ์ตระกูลเป็นอย่างยิ่ง สาวๆ ส่วนใหญ่จะแต่งงานก่อนวัย 20
  • ชาวมุสลิมไม่มีนามสกุล โดยปรกติจะเป็น ชื่อตัว+บิน+ชื่อพ่อ เช่น อุสมะ บิน ลาดิน หมายถึงนายอุสมะ ลูกของ นายลาดิน ควรเรียกเขาว่า มิสเตอร์อุสมะ ไม่ใช่มิสเตอร์ลาดิน
  • รูปติดบัตรใครว่าไม่สำคัญ หากคุณเดินทางไปอินเดียไม่ว่าไปเที่ยวหรือไปทำงาน ควรถ่ายรูปสำหรับติดบัตรไปสักสองโหลเป็นอย่างน้อย เพราะต้องใช้บ่อยมาก ตัวอย่างเช่น ทำใบขับขี่ต้องใช้รูป 6 ใบเป็นอย่างน้อย
  • ชาวซิกข์ใช้นามสกุลซิงห์หมด ทั้งที่อาจไม่ใช่ญาติกันก็ได้ แต่ผู้หญิงชาวซิกข์ จะมีคำเรียก “คอร์” ต่อท้ายชื่อตัวเสมอ
  • อย่ายืนใกล้กับชาวอินเดียเกินไป (ไม่ต่ำกว่า 1 ช่วงแขน) มิฉะนั้นจะถือเป็นการรุกล้ำเขตส่วนตัว
  • คนฮินดูส่วนใหญ่ไม่ดื่มเหล้าในที่สาธารณะ แต่ในบ้านก็เต็มที่เลย (ไม่ยักผิดหลักศาสนา)
  • คนอินเดียไม่นิยมสวมรองเท้าในบ้าน เช่นเดียวกับบ้านของคนไทย
  • คนอินเดียไม่ฆ่าวัว และไม่ทำร้ายวัว จึงเห็นวัวเดินเพ่นพ่านเต็มถนนไปหมดทั้งในเมืองและในชนบท หากเห็นวัวยืนขวางถนนห้ามบีบแตรไล่ ให้ขับช้าๆ ให้วัวสังเกตเห็นและเดินหลบไปเอง มิฉะนั้นเจ้าของวัวอาจโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเพราะคิดว่าคุณกำลังทำลายสุขภาพจิตของวัวก็เป็นได้
  • การวิ่งถือเป็นกิริยาที่ไม่งามมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ดังนั้นเราจะไม่เห็นใครวิ่งจ๊อกกิ้งในตอนเช้านอกจากเดินเร็วๆ ออกกำลังเท่านั้น ยกเว้นตำรวจจะวิ่งออกกำลังกันตอนเช้าเป็นหมู่เท่านั้น อุปกรณ์กีฬาเกี่ยวกับการวิ่งไม่น่าจะมีลู่ทางในตลาดนี้ แม่แต่โอลิมปิคอินเดียก็ได้เหรียญทองเพียงเหรียญเดียวจากกีฬายิงปืน
  • ชุดส่าหรีถือเป็นชุดสารพัดประโยชน์ ใส่ไปทำงานก็ได้ ใส่ทำกับข้าวก็ได้ แถมใส่ลงไปว่ายน้ำทะเลก็ยังได้ด้วย (แต่ยังไม่มีข้อมูลว่าเวลานอนใส่ชุดอะไร)
  • ชุดบิกินีหาซื้อยากมากในอินเดีย การใส่สายเดี่ยวก็ถือว่าโป๊และอุจาตตาแก่ชาวภารตะส่วนใหญ่
  • กระเทยไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมอินเดีย นอกจากเมืองใหญ่ๆ เช่น มุมไบที่ยอมรับบ้าง
  • อย่าแปลกใจหากพนักงานของคุณไม่ยอมทำงานบางอย่างที่คุณมอบหมายให้ทำ เพราะอาจเป็นข้อห้ามของวรรณะชั้นสูงที่ห้ามทำงานต่ำๆ บางประเภท เช่น เย็บกระดาษ เป็นต้น ดังนั้นควรหาความรู้เรื่องวรรณะของอินเดียไว้บ้างก็เป็นการดี
  • การนั่งสามล้อเป็นเรื่องที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับคนต่างชาติ เพราะอาจมีการขอขึ้นราคาหลายเท่าตัวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเวลาคุณจะลงจากรถ และมักจะพาไปแวะร้านขายเพชรเสมอทั้งที่ไม่ได้สั่ง ขอแนะนำให้ใช้รถเช่าของโรงแรมหรือของสนามบินจะปลอดภัยกว่า
  • จงพยายามเจรจาธุรกิจกับผู้บริหารระดับสูงสุดเท่าที่จะทำได้ตั้งแต่ตอนแรก แต่วันต่อๆ มาค่อยตามเรื่องกับผู้บริหารระดับรองลงมา
  • การยอมรับว่าตนเองไม่รู้ไม่ค่อยมีในสังคมอินเดีย และถือเป็นเรื่องอับอายชั่วลูกชั่วหลานเลยทีเดียว ดังนั้น หากคุณถามทางกับคน 10 คน จะได้คำตอบ 10 อย่าง และเมื่อคุณถามเรื่องอื่น ก็จะได้คำตอบทำนองเดียวกัน ดังนั้น ในกรณีของข้อก่อนหน้านี้ หากคุณไปติดต่อธุรกิจกับผู้บริหหารระดับล่างๆ ก่อนแทนที่จะเป็นระดับบน คุณอาจพบว่าชีวิตคุณกำลังสิ้นหวังเดินวนเวียนอยู่ในเขาวงกตเป็นวันๆ เป็นเดือน หรือเป็นปีก็เป็นได้
  • ยกย่อง ชมเชย ชื่นชมเสมอกับวัฒนธรรม ธรรมเนียม ประเพณี และอาหารอินเดีย อันเก่าแก่กว่า 5,000 ปี ห้ามวิจารณ์เด็ดขาด
  • ไกด์จำแลง ผู้เข้ามาทักทายด้วยความเอื้ออาทร ให้การช่วยเหลือราวกับเป็นญาติกับคุณแต่ชาติปางก่อน ให้คำแนะนำ หรือช่วยยกกระเป๋าที่สนามบิน สถานีรถไฟ หรือสถานที่ท่องเทียว/วัด จงตอบว่า “No” เท่านั้น เพราะคุณจะถูกตื้อขอเงินภายหลัง และแพงเสียด้วย
  • นักท่องเที่ยวควรระวัง ที่สถานีรถไฟ หากคุณถามใครสักคนเกี่ยวกับข้อมูลเรื่องเวลาออกของเที่ยวรถไฟ และอื่นๆ ให้ถามกับพนังงานการรถไฟในเครื่องแบบเท่านั้น ตำรวจที่นี้พึ่งพาไม่ได้ เพราะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ หากคุณไปถามคนอื่น คุณจะเป็นเหยื่อของนักต้มตุ๋นค่อนข้างแน่นอน
  • ในแหล่งท่องเที่ยว ถ้าคุณบอกสามล้อไปส่งที่โรงแรมที่คุณจองไว้แล้ว เขาจะบอกว่าโรงแรมเจ๊งไปแล้ว พร้อมทั้งคะยั้นคะยอให้คุณไปพักที่โรงแรมที่เขาแนะนำ (ซึ่งแพงกว่าแน่นอน) ให้ลงจากรถทันที แล้วหาคันใหม่
  • การนัดหมาย- ต้องทำใจ เขาอาจมาสาย 1-2 ชั่วโมง หรือไม่มาเลย ไม่ต้องหัวเสีย คุณก็แค่นัดหมายใหม่เท่านั้น แต่คุณไม่ควรไปสายถ้าเขานัดให้คุณไปพบ
  • การตื้อเป็นวัฒนธรรมที่ยอมรับได้ในอินเดีย เป็นธรรมดาที่จะพบเห็นพ่อค้าเดินตื้อขายของให้คุณจากวัดจนถึงรถทัวร์ บางคนถึงกับขับจักรยานตามรถทัวร์ของคุณเพื่อไปขายต่อยังจุดท่องเที่ยวถัดไป ทำนองเดียวกัน คุณก็ควรตื้อเขาเช่นกันในการเจรจาธุรกิจ อย่างพึ่งหัวเสียหากคู่เจรจาของคุณบอกว่า “ทำไม่ได้” คุณควรขอร้องเขาแล้ว ขอร้องเขาอีก พร้อมรอยยิ้มอย่างมีสเนห์ที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ ตะล่อมไปเรื่อยๆ ถามว่าควรปรับปรุงข้อตกลงอย่างไร ขอคำแนะนำ ความเห็นของเขา หลีกเลี่ยงข้อจำกัด ใช้ท่าทีเป็นมิตร เน้นให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระยะยาว ชักเอาแม่น้ำทั้งห้า ไม่ว่าจะเป็น คงคา ยมุนา มหิ สรภู และอจิรวดี.ถ้าจะให้ดีรวมแม่น้ำอื่นๆ เข้าไปด้วย เช่น อินดุส พรหมบุตร นาร์มาดา ธิปตี โกธวารี กฤษณากาวารี มหานที ฯลฯ ให้เห็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงของการทำธุรกิจร่วมกันของคุณกับของเขาต่อเศรษกิจและประเทศชาติ (อาจรวมถึงโลกและจักรวาลด้วยก็ได้) ต้องไม่ลืมว่า “ตื้อเท่านั้นถึงจะครองโลก”
  • ธรรมเนียมการตื้อมีแต่สมัยก่อนพุทธกาล เมื่อชูชกจะกล่าวขอสองกุมารต่อพระเวสสันดร ก็ไม่ทูลขอตรง ๆ แต่นำเอาแม่น้ำทั้งห้ามาเปรียบ ว่าไหลแผ่กระจายแผ่ไพศาลไปหลายสาขาสร้างประโยชน์เป็นอเนกอนันต์ต่อหมู่ประชาราษฏร์ เฉกเช่นน้ำพระทัยของพระเวสสันดรที่เปี่ยมด้วยเมตตาดังมหาสมุทร เป็นการ “ชักแม่น้ำทั้งห้า” ซึ่งหมายความว่า การพูดขออะไรก็ตาม ชูชกไม่พูดตรงๆ ตามวัตุประสงค์ในใจ แต่พูดเรื่องอื่นๆ หว่านล้อมเสียก่อนแล้วจึงตะล่อมเข้าหาจุดประสงค์ที่แท้จริง ดังนั้น การเจรจาธุรกิจในอินเดียต้องตื้อ ๆๆๆๆๆๆๆ.และตื้อเท่านั้น
  • การเจรจาธุรกิจเป็นการ give & Take สำหรับอินเดีย คุณอย่ารีบเปิดไพ่เร็วนัก แต่ควร ค่อยๆ เปิดทีละ 5 %-10% ตัวอย่างว่า คุณจะให้ใครเป็นตัวแทนจำหน่ายในอินเดีย เริ่มต้นอย่างไปให้เป็นตัวแทนจำหน่ายแต่ผู้เดียวในอินเดียเลยในตอนแรก ควรเสนอไปว่าให้เป็นตัวแทนในมลรัฐหนึ่งก่อน และให้ลองส่งของไปในปริมาณน้อยๆ ในช่วงแรก ในปีต่อมาอาจขยับเป็น 2 มลรัฐ และเพิ่มปริมาณการส่งของไปอีกสักนิด เพื่อศึกษาความสามารถ (อย่างที่ทราบกันดี เขาชอบพูดและพูดมาก) และความน่าเชื่อถือก่อน แต่หากคุณเปิดไพ่ 100% แต่ทีแรก คุณแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว จะหาตัวแทนจำหน่ายรายใหม่ก็ไม่ได้เพราะคุณถูกเขาผูกมัดเต็มตัวเสียแล้ว และทำให้คุณเสียตลาดไปอย่างน่าเสียดาย
  • To be continued.

ดร. ไพศาล มะระพฤกษ์วรรณ

สำนักงานส่งเสริมการค้าฯ ณ เมืองเชนไน

Upload Date : พฤจิกายน 2551

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ