สรุปภาวะการค้าระหว่างประเทศไทย - ญี่ปุ่น ปี 2551 (ม.ค.-ก.ย.) สรุปจากสถิติ Menucom กรมส่งเสริมการส่งออก

ข่าวเศรษฐกิจ Monday December 1, 2008 11:28 —กรมส่งเสริมการส่งออก

ข้อมูลทั่วไป:
เมืองหลวง        :  Tokyo
พื้นที่             :  377,899  ตารางกิโลเมตร
ภาษาราชการ      :  Japanese
ประชากร         :  127.8 ล้านคน (October 2006)
อัตราแลกเปลี่ยน    :  100 เยน = 35.601 บาท (14//11/51)

(1) เครื่องชี้วัดเศรษฐกิจ

ปี 2007 ปี 2008

Real GDP growth (%)                               1.9         1.4
Consumer price inflation (av; %)                  0.0         0.4
Budget balance (% of GDP)                        -2.6        -2.4
Current-account balance (% of GDP)                4.9         4.6
Commercial banks' prime rate (year-end; %)        1.8         2.1
Exchange rate ฅ:US$ (av)                        117.4       105.0

โครงสร้างสินค้าออกของไทยกับญี่ปุ่น
                                   มูลค่า :         สัดส่วน %      % เพิ่ม/ลด

ล้านเหรียญสหรัฐฯ

สินค้าออกสำคัญทั้งสิ้น                  15,307.92         100.00        16.52
สินค้าเกษตรกรรม                     2,141.92          13.99        33.01
สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร             1,275.36           8.33        29.52
สินค้าอุตสาหกรรม                    10,889.92          71.14         9.64
สินค้าแร่และเชื้อเพลิง                  1,000.60           6.54       111.50
สินค้าอื่นๆ                               0.12            0.0       -99.91

โครงสร้างสินค้าเข้าของไทยกับญี่ปุ่น
                                         มูลค่า :         สัดส่วน %      % เพิ่ม/ลด

ล้านเหรียญสหรัฐฯ

นำเข้าทั้งสิ้น                              25,292.19         100.00         22.56
สินค้าเชื้อเพลิง                                87.05           0.34        -13.26
สินค้าทุน                                  9,481.95          37.49         23.22
สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป                  12,273.99          48.53         24.31
สินค้าบริโภค                               1,167.44           4.62         16.83
สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง                2,278.38           9.01         20.18
สินค้าอื่นๆ                                     3.38           0.01        -95.32

1. มูลค่าการค้า
มูลค่าการนำเข้า ส่งออก และดุลการค้าของไทย - ญี่ปุ่น
                           2550            2551        D/%

(ม.ค.-กย.) ล้านเหรียญสหรัฐฯ

มูลค่าการค้ารวม            33,773.93        40,600.11    20.21
การนำเข้า                20,636.38        25,292.19    22.56
การส่งออก                13,137.55        15,307.92    16.52
ดุลการค้า                 -7,498.84        -9,984.28    33.14

2. การนำเข้า
ประเทศไทยนำเข้าจากตลาดญี่ปุ่น เป็นอันดับที่ 1 มูลค่า 25,292.19 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.56 สินค้านำเข้าสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่
                                         มูลค่า :         สัดส่วน %      % เพิ่ม/ลด

ล้านเหรียญสหรัฐฯ

มูลค่าการนำเข้ารวม                         25292.19         100.00         22.56
1. เครื่องจักรกลและส่วนฯ                    4,847.70          19.17         23.08
2. เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์                3,822.67          15.11         40.62
3. เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนฯ                  2,313.85           9.15         16.88
4. เคมีภัณฑ์                               2,182.67           8.63         33.03
5. แผงวงจรไฟฟ้า                          2,052.41           8.11         -3.56
               อื่น ๆ                     1,331.00           5.26          9.33

3. การส่งออก
ประเทศไทยส่งออกไปตลาดญี่ปุ่น เป็นอันดับที่  3 มูลค่า 15,307.92 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.52 สินค้าส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่
                                     มูลค่า :         สัดส่วน %      % เพิ่ม/ลด

ล้านเหรียญสหรัฐฯ

มูลค่าการนำเข้ารวม                   15,307.92         100.00         16.52
1. แผงวงจรไฟฟ้า                       827.56           5.41        -10.19
2. เครื่องคอมพิวเตอร์ฯ                   808.69           5.28         -2.92
3. ยางพารา                           757.65           4.95         21.56
4. รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนฯ                736.52           4.81         30.77
5. น้ำมันสำเร็จรูป                       549.37           3.59        484.23
             อื่น ๆ                  5,570.38          36.39         12.24

4. ข้อสังเกต
4.1 สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปญี่ปุ่น  ปี 2551 (มค.-กย.) ได้แก่

แผงวงจรไฟฟ้า : ญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 2 ของไทยรองจากฮ่องกง โดยมีอัตราขยายตัวลดลงร้อยละ 10.19 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ : ญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 5 ของไทย โดยมีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ปัจจุบันไทยได้กลายเป็นฐานการผลิตที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก จากการเข้ามาของนักลงทุนรายใหญ่ทั้ง สหรัฐฯ และญี่ปุ่น

ยางพารา : ญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 3 ของไทยและเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2547 - 2551 พบว่าปี 2550 เป็นเพียงปีเดียวที่มีอัตราการขยายตัวลดลง (-13.29%) ในขณะที่ปี 2548 2549 2551 มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.29 31.14 21.56 ตามลำดับ

รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ : ญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 4 ของไทยและเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2547 - 2551 พบว่ามีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องร้อยละ 4.88 25.16 13.38 30.77 ตามลำดับ ทิศทางการพัฒนาและปรับตัวภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ภายใต้กรอบการค้าเสรีอาเซียนกับคู่เจรจาใหม่ว่า เป้าหมายของไทยยังชัดเจนว่า ต้องการเป็นดีทรอยส์ออฟแห่งเอเชีย (Detroit of Asia) เหมือนเดิมถึงแม้จะมีการเปิดการค้าเสรีระหว่างอาเซียนกับญี่ปุ่นก็ตาม แต่ข้อตกลง JTEPA ไทย-ญี่ปุ่น ยังเป็นจุดดึงดูดนักลงทุนส่วนใหญ่จากญี่ปุ่นอยู่

น้ำมันสำเร็จรูป : ญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 4 ของไทยและเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2547 - 2551 พบว่า ปี 2549 เป็นเพียงปีเดียวที่มีอัตราการขยายตัวลดลง(-59%) ในขณะที่ปี 2548 2550 2551 มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น 126.90 314.17 484.23 ตามลำดับ

4.2 ในบรรดาสินค้าส่งออกจากไทยไปตลาดญี่ปุ่นปี 2551 (มค.-กย.) 25 รายการแรก สินค้าที่มีอัตราเพิ่มสูงโดยสูงกว่าร้อยละ 40 มีรวม 5 รายการ คือ
อันดับที่ / รายการ              มูลค่า              อัตราการขยายตัว        หมายเหตุ
                        ล้านเหรียญสหรัฐ                %
5. น้ำมันสำเร็จรูป             549.37                484.23
6. ไก่แปรรูป                 450.14                 93.68
15.ผลิตภัณฑ์ยาง               305.19                 42.34
19.เม็ดพลาสติก               253.42                 49.52
23.เนื้อปลาสดแช่เย็น           212.41                 68.33
แช่แข็ง

4.3  ในบรรดาสินค้าส่งออกจากไทยไปตลาดญี่ปุ่น ปี 2551 (ม.ค.-กย.) 25 รายการแรก สินค้าที่มีอัตราลดลง รวม 4 รายการ คือ
อันดับที่ / รายการ                      มูลค่า         อัตราการขยายตัว
                                ล้านเหรียญสหรัฐ          %
1. แผงวงจรไฟฟ้า                     827.56          -10.19
2. เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ      808.69           -2.92
9. เครื่องรับวิทยุและส่วนประกอบ          222.71          -21.00
10.เตาอบไมโครเวฟและเครื่องใช้ไฟฟ้า     192.65           -9.98

4.4  ข้อมูลเพิ่มเติม

สถานการณ์การค้าไทย-ญี่ปุ่นภายใต้กรอบความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น(JTEPA) ครบรอบ 1 ปีที่ความตกลงมีผลบังคับใช้ (เริ่ม 1 พ.ย.2550)ว่า ในภาพรวมช่วง 10 เดือนแรกที่ความตกลงมีผลบังคับใช้ (พ.ย.2550-ส.ค.2551) มีผู้ประกอบการมาขอใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (ฟอร์ม JTEPA)เพื่อนำไปใช้สิทธิลดภาษีนำเข้ารวมทั้งสิ้น 83,547 ฉบับ คิดเป็นมูลค่าสินค้า 3,924.26 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 133,425 ล้านบาท โดยสินค้าที่ใช้สิทธิมาก อาทิ เนื้อไก่ปรุงแต่ง เนื้อปลาสดแช่เย็นแช่เข็ง กุ้งปรุงแต่ง โพลีอะซิทัล และโมดิไฟรด์สตาร์ช เป็นต้น อย่างไรก็ดีการค้าโดยทั่วไประหว่างไทย-ญี่ปุ่นช่วง 9 เดือนแรกปี 2551 มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 13% ส่วนหนึ่งถือเป็นผลจาก JTEPA แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะการค้าโดยทั่วไปบางสินค้าภาษีนำเข้าของญี่ปุ่นต่ำอยู่แล้ว ผู้ส่งออกจึงไม่ได้มาขอช้สิทธิ JTEPA ส่งออก ขณะที่ช่วง 9 เดือนแรกปรากฏไทยเป็นฝ่ายขาดดุลการค้าญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นในส่วนหนึ่งสะท้อนให้เห็นว่าญี่ปุ่นได้ใช้สิทธิ JTEPA ส่งออกมาไทยมากกว่าไทยใช้สิทธิส่งออกไปญี่ปุ่น

หลังจากที่ไทยเปิดเสรีทางการค้าหรือ FTA กับญี่ปุ่นนั้น ไม่เพียงจะสร้างโอกาสทางการค้าให้กับไทยเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความท้าทายในด้านอุตสาหกรรมยานยนต์อีกด้วย เมื่อหลายปีก่อนภาครัฐได้พยายามส่งสัญญาณเตือนผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไทยให้เร่งปรับตัวรับการเปิดเสรี เพราะในอนาคตการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์จากต่างประเทศเข้ามาประกอบในเมืองไทยจะเสียภาษีเพียงน้อยนิด หรือไม่เสียภาษีเลย จนถึงปัจจุบันประเทศไทยได้มีการเจรจาเปิดเขตเสรีการค้า (FTA) กับนานาประเทศ ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วกับ 5 ประเทศและอีก 1 กลุ่มประเทศ ประกอบด้วย เขตเสรีการค้าไทย-จีน ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบอาเซียน-จีน (ACFTA) เขตเสรีการค้าไทย-อินเดีย (ITFTA) เขตเสรีการค้าไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) เขตเสรีการค้าไทย-นิวซีแลนด์ (TNZCEP) เขตเสรีการค้าไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) และเขตเสรีการค้าไทย-อาเซียน (AFTA) ซึ่งการเซ็นสัญญา FTA นี้ ทำให้การนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ขยายตัวในปริมาณที่เพิ่มขึ้นทันที หากพิจารณาเฉพาะประเทศที่มีการทำสัญญา FTA กับไทย การนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์จากประเทศคู่เจรจาเหล่านี้ในช่วง 9 เดือนแรกมีมูลค่ารวม 2,532.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวขึ้นจากช่วงเดียวกันในปีก่อนประมาณร้อยละ 22.7 และมูลค่าการนำเข้านี้คิดเป็นประมาณร้อยละ 82.9 ของมูลค่าการนำเข้ารวมของชิ้นส่วนฯทั้งหมด โดยคิดเป็นมูลค่าการนำเข้าจากญี่ปุ่นมากเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ กลุ่มประเทศอาเซียน จีน อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ตามลำดับ ทั้งนี้ หากสังเกตจากมูลค่าการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ของไทยในช่วง 9 เดือนแรกตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา คือตั้งแต่ปี 2548-2550 จะพบว่ามูลค่าการนำเข้ามีการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 2.4 ซึ่งมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเหตุผลส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากผลจากการเปิดเสรีการค้าโดยเฉพาะกับประเทศญี่ปุ่น การเปิดการค้าเสรีนั้น ไม่เพียงสร้างโอกาสทางการค้าให้กับไทยเท่านั้น แต่ทว่ายังเป็นความท้าทายต่ออุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ในประเทศด้วยที่ต้องรับมือกับคู่แข่งหน้าใหม่จากต่างประเทศที่มีศักยภาพในการแข่งขัน

กลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอยังต้องการ แรงงานเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1 แสนคน เนื่องจากแรงงานฝีมือหายาก แม้วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อยอดคำสั่งซื้อปรับตัวลดลง ซึ่งคาดว่าจะเห็น ผลชัดเจนปีหน้า แต่ไม่ถึงขั้นต้องปรับลด คนงานออก และหากมีโรงงานไหนที่ต้อง ปิดกิจการลง ก็ยังมีโรงงานอื่นต้องการรับคนงานต่อ โดยบางโรงงานก็ใช้วิธีลดเวลาทำงาน หรือให้คนงานเอางานกลับไปทำที่บ้านแทน สถานการณ์ดังกล่าว สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอได้ร่วมกับกระทรวงแรงงาน ผลักดันการหาแรงงานเพิ่มอีก 1 แสนคน จากปัจจุบันมี 1.06 ล้านคน เฉพาะกลุ่มเครื่องนุ่งห่มต้องการ 2-3 หมื่นคน และจะมีการฝึกอบรมชาวนาเพื่อทำงานช่วงนอกฤดูกาลเก็บเกี่ยว พร้อมกับเปิดโอกาสให้คนตกงานมาฝึกอบรมเข้าอุตฯ สิ่งทอแทน และถ้ารัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาก็น่าจะทำให้ตลาดไม่ตกมากนัก เพราะเสื้อผ้าเป็นปัจจัยสี่ที่ ทุกคนต้องใช้ ขณะนี้ยอดส่งออกสิ่งทอมีอัตราเติบโตอยู่ที่ 8-9% คาดว่าสิ้นปีนี้จะโตไม่ต่ำกว่า 10% คิดเป็นมูลค่าเกือบ 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ปี 2552 ประเมินว่าสิ่งทอไทยจะส่งออกได้สูงถึง 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพราะไทยได้รับผลดีจากการที่สินค้าจีนไม่ได้รับการไว้ใจ ทำให้คำสั่งซื้อสินค้าขยายมาที่ไทยแทน อีกทั้งไทยยังสามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (เจเทปา) ได้เพิ่มเติมด้วย นอกจากนี้ นักลงทุนในอุตสาหกรรม สิ่งทอจากหลายประเทศ เช่น ยุโรป สหรัฐ ญี่ปุ่น เกาหลี และสิงคโปร์ ที่ลงทุนอยู่ในจีนและบังกลาเทศ เตรียมย้ายฐานการผลิตมาไทย เพราะต้นทุนการผลิตและ ค่าแรงงานอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน คาดว่าภายใน 5 ปีนี้จะทำให้อุตสาหกรรมสิ่งทอขยายตัวมากขึ้น

กรมวิชาการเกษตรทำข้อตกลงกับประเทศญี่ปุ่น ในการควบคุมคุณภาพผักและผลไม้จำนวน 23 ชนิดไปประเทศญี่ปุ่น นับตั้งแต่ปี 2546 ส่งผลให้สินค้าเกษตรของไทยลดปัญหาเรื่องสารพิษตกค้าง ทำให้สามารถส่งออกไปญี่ปุ่นได้มากขึ้น นอกจากนี้ความร่วมมือด้านความปลอดภัยอาหาร ประกอบด้วยความมือการจดทะเบียนผู้ส่งออกตามโครงการควบคุมสารตกค้างระดับฟาร์มกับประเทศญี่ปุ่น เช่น มะม่วง 5 สายพันธุ์ ได้แก่ มะม่วงน้ำดอกไม้ มะม่วงมหาชนก มะม่วงหนังกลางวัน มะม่วงแรด และมะม่วงพิมเสน โดยมีบริษัทเข้าร่วม 26 บริษัท ขณะเดียวกันยังมีกระเจี๊ยบขาว มีบริษัทเข้าร่วมโครงการ 11 บริษัท การร่วมโครงการดังกล่าวช่วยให้การส่งออกกระเจี๊ยบขาวเพิ่มปริมาณมากขึ้น บริษัทที่เข้าร่วมโครงการนี้ จะไม่ต้องถูกสุ่มตรวจในประเทศญี่ปุ่น แต่อย่างใด ทั้งนี้จากความร่วมมือด้านสินค้าการเกษตรและผลิตภัณฑ์ต่างๆได้สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจระหว่าง 2 ประเทศอย่างมาก โดยการค้าไทย-ญี่ปุ่น ในปี 2550 มีมูลค่า 46,518.76 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้นจากปี49 มีมูลค่าการส่งออกเพียง 18,118.59 ล้านเหรียญสหรัฐหรือคิดเป็นมูลค่าสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.62 โดยสินค้าเกษตรที่ส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ ยางพารา ไก่แปรรูป ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ข้าว ผัดสดแช่แข็ง และกล้วยไม้ เป็นต้น

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ