เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2551 ดร. Arvind Virmani ประธานที่ปรึกษาเศรษฐกิจกระทรวงการคลังของอินเดีย ได้รายงานต่อต่อสภาผู้แทนราษฎร (โลกสภา) ว่าขณะนี้ยังเป็นการยาก ที่จะประเมินผลของการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 7 ด้านของรัฐบาลที่เพิ่งประกาศใช้เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาอย่างไรก็ตามรัฐบาลสามารถควบคุมอัตราเงินเฟ้อได้แล้ว โดยเมื่อต้นเดือนธันวาคมเงินเฟ้อได้ลดต่ำลงกว่าระดับ 7% และคาดว่าจะลดต่ำลงไปที่ระดับ 4-5 % ภายในเดือนมีนาคม2552 สำหรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2551 คาดว่าจะอยู่ในเกณฑ์ 7-8% แต่สำหรับปี 2552 ไม่น่าจะเกิน 7%
นอกจากนั้น จากการที่ระดับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ปรับตัวลดต่ำลง จะช่วยให้รัฐบาลมีความคล่องตัวมากขึ้นในการใช้นโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงหลังของปีงบประมาณ 2551 ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม 2551 ทั้งนี้รัฐบาลอินเดียมีแผนที่จะประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดที่สองในเร็วๆ นี้
ดร. อาร์วินด์ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาเศรษฐกิจมหภาคของอินเดียยังไม่ได้รับผลกระทบที่ชัดเจนจากวิกฤติการเงินโลก เนื่องจากจุดแข็งของอินเดียที่สามารถพึ่งพาตลาดขนาดใหญ่ในประเทศ ประกอบกับการลงทุนยังสามารถระดมเงินจากแหล่งภายในประเทศได้อยู่ อย่างไรก็ตาม การชะลอตัวทางเศรษฐกิจต้องเกิดขึ้นกับอินเดียแน่นอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดย ไพศาล มะระพฤกษ์วรรณ
รองกงสุลใหญ่ฝ่ายการพาณิชย์ ณ เมืองเจนไน
7 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของอินเดีย
1. ปรับลดภาษีสรรพสามิตทุกประเภทลง 4%
ผลที่คาดหวัง ราคาสินค้าอุตสาหกรรมทุกประเภทจะลดลง อาทิเช่น ราคารถยนต์ รถบรรทุก มอเตอร์ไซค์จะลดลง 3.5% โดยจะส่งผลให้ราคาขายปลีกรถยนต์นั่งส่วนบุคคลจะถูกลงทันที 8, 000 -45,000 รูปี
2. แผนการใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มเติม 200,000 ล้านรูปี
ผลที่คาดหวัง กระตุ้นอุปสงค์ในประเทศและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
3. สถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (India Infrastructure Finance Company Ltd —IFC) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐจะระดมเงิน 100,000 ล้านรูปีโดยการออกหุ้นกู้ปลอดภาษีเพื่อใช้ในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศ ผลที่คาดหวัง เงิน 100,000 ล้านรูปีจะใช้ไปในโครงการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงเชื่อมโยงเมืองเศรษฐกิจสำคัญทั่วประเทส
4. ธนาคารกลางอัดฉีดเงิน 40,000 ล้านรูปีผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ (National Housing Bank) เพื่อส่งต่อไปยังสถาบันการเงินเพื่อการซื้อบ้านสำหรับปล่อยสินเชื่อเพื่อการซื้อบ้านดอกเบี้ยต่ำ ผลที่คาดหวัง กระตุ้นให้มีการซื้อบ้านมากขึ้น
5. รัฐบาลแบกรับภาระดอกเบี้ย 2% ในเงินกู้ของภาคธุรกิจส่งออก
ผลที่คาดหวัง กระตุ้นการส่งออก ส่งผลให้สินค้าส่งออกของอินเดียสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ดีขึ้น
6. อนุญาตให้หน่วยงานของรัฐจัดซื้อรถราชการใหม่ได้
ผลที่คาดหวัง เพิ่มยอดขายรถยนต์ซึ่งเป็นภาคธุรกิจสำคัญของประเทศ
7. อัดฉีดเงิน 70,000 ล้านรูปี ผ่านธนาคารเพื่อการพัฒนาอุสาหกิจขนาดย่อม Small Industries Development Bank of India (SIDBI) พร้อมทั้งยืดระยะเวลาการชำระหนี้ของวิสาหกิจขนาดเล็กและขนาดไมโคร
ผลที่คาดหวัง วิสาหกิจขนาดเล็กและขนาดไมโครซึ่งเป็นแหล่งว่าจ้างแรงงานหลายล้านตำแหน่ง จะสามารถพยุงตัวให้อยู่รอดได้ต่อไปท่ามกลางกระแสความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก อีกทั้งหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการปิดกิจการของธุรกิจดังกล่าวในขณะที่กำลังจะมีการเลือกตั้งในปี 2552
ที่มา: http://www.depthai.go.th