สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจเวียดนาม 10 เดือนแรก ปี 2551

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday January 15, 2009 15:08 —กรมส่งเสริมการส่งออก

1. สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจ

เวียดนามกำลังเผชิญปัจจัยลบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา โดยเฉพาะวิกฤติภาคการเงินสหรัฐฯ ที่รุนแรงมากขึ้นและลุกลามให้เกิดปัญหาสินเชื่อทั่วโลก จนทำให้ประเทศต่างๆ รวมทั้งเวียดนามต้องปรับลดดอกเบี้ยลง เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินในประเทศ

แนวโน้มเงินเฟ้อของเวียดนามที่ชะลอลงทั้งดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิต คาดว่าจะส่งผลให้ เวียดนามสามารถใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในมากขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ ทั้งมาตรการทางการเงินที่ผ่อนคลาย มากขึ้น และมาตรการด้านการคลังโดยใช้จ่ายเงินลงทุนในโครงการก่อสร้างต่างๆ รวมถึงนโยบายภาษีเพื่อช่วยเหลือ ภาคส่งออกและกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อ่อนแรงลง ซึ่งถือเป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญที่มีบทบาทต่อการขับเคลื่อน เศรษฐกิจเวียดนาม

นายกรัฐมนตรีเวียดนามนายเหวียนเติ๋นซุ๋ม (Nguyen Tan Dung) ได้เรียกร้องให้กระทรวงและหน่วย งานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องช่วยกันสกัดกั้นภัยเงินเฟ้อต่อไป รับประกันความสงบเรียบร้อยของสังคมและรักษาระดับการ ขยายตัวทางเศรษฐกิจ

ผู้นำเวียดนามยังสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดการอย่างเฉียบขาดกับผู้ที่กักตุนสินค้าเพื่อการเก็ง กำไร ตลาดจนการทุจริตคอร์รัปชั่นต่างๆ ที่สร้างความไร้เสถียรภาพให้แก่เศรษฐกิจของประเทศ

รัฐบาลเวียดนามก้มหน้ายอมรับความจริงว่า ปีนี้เศรษฐกิจไปไม่ไหวหลังจากร้อนแรงติดต่อกันมาตลอด หลายปีที่ผ่านมา จนกระทั่งเจอปัญหาเงินเฟ้อที่ลุกลามเข้าสู่ตลาดการเงินและตลาดทุนที่เกิดใหม่ และส่งผลกระทบ ต่อการบริโภคของประชาชน

แม้ว่าภาคส่งออกของประเทศจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่องก็ตาม ผลผลิตมวลรวมภายในประเทศในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ทำได้เพียง 6.2% เท่านั้น ซึ่งส่งสัญญาณบอกว่าอัตราตลอดทั้งปีจะต่ำกว่า 7% อันเป็นเป้าหมาย ที่รัฐบาลตั้งไว้ เมื่อต้นปีโดยปรับลงจาก 8.0-8.5%

รัฐบาลเวียดนามได้รับทราบตัวเลขเหล่านี้ระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีประจำเดือน ก.ย.วันที่ 30 ที่ผ่านมา

2. แนวโน้มทางเศรษฐกิจ

คาดการณ์เศรษฐกิจเวียดนามในปี 2551

นักเศรษฐศาสตร์หลายคนได้เตือนว่า เงินเฟ้ออาจจะพุ่งขึ้นสูงอีกครั้งหนึ่งในไตรมาสสุดท้ายที่เหลืออยู่ เนื่องจากเป็นเทศกาลที่ผู้คนออกจับจ่ายซื้อหา เช่นเดียวกันกับทุกๆ ปี และเมื่อปีที่แล้วเงินเฟ้อได้พุ่งขึ้นสูงจนควบคุม ได้ยากในเวลาดังกล่าวและได้ลุกลามมาข้ามปี

รายงานของกระทรวงการวางแผนและการลงทุนของเวียดนาม ได้คาดการณ์ การขยายตัวทางเศรษฐกิจ จีดีพี ในปี 2551 ประมาณ 6.5% รายได้ของประชากร 960 เหรียญสหรัฐต่อปีต่อคน การส่งออกตั้งเป้าไว้ที่ 58.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ การนำเข้าประมาณที่ 75.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ และมูลค่าการลงทุนตลอดทั้งปี 2551 ประมาณ 65 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภาวะเศรษฐกิจของเวียดนามยังคงมีแนวโน้มแจ่มใสในปีนี้ นับว่าเป็นอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่สูงกว่าประเทศอื่นๆในกลุ่มอาเซียน ทั้งนี้ การบริโภค การลงทุนในประเทศและการส่งออก ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุน ที่สำคัญ เนื่องจากปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นมาก

เวียดนามเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตเร็ว ทำให้เวียดนามเป็นตลาดการค้า แหล่งท่องเที่ยว และ ทำเลลงทุนแห่งใหม่ ที่ต่างชาติให้ความสนใจเพิ่มขึ้น ประกอบกับเวียดนามเปิดประเทศสู่ประชาคมโลกมากขึ้น โดย เฉพาะการที่เวียดนามเข้าเป็นสมาชิกองค์กรการค้าโลก WTO จะส่งผลดีต่อเวียดนาม ทั้งด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว

สถานการณ์เงินเฟ้อของเวียดนาม

ในเดือนตุลาคม ปี 2551 ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index) ลดลง 0.19% เทียบ กับเดือนก่อน และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2551 ดัชนีราคาผู้บริโภคขยายตัวลดลงเหลือ 23.15% เทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยในสิ้นปี 2551 เวียดนามพยายามที่จะให้ลดลงเหลือ 20% ปัญหาเงินเฟ้อสูงดังกล่าว ได้ทำให้หน่วยงานภาครัฐของเวียดนาม ต้องตัดค่าใช้จ่ายอย่างกว้างขวาง ทั้งในด้านการประชุม สัมมนา การใช้รถยนต์ ค่าสาธารณูปโภค การซ่อมแซมอาคารสำนักงาน และการลงทุนด้านทรัพย์สิน โดยในปีงบประมาณ ปัจจุบัน

การปรับลดอัตราดอกเบี้ย

ธนาคารแห่งรัฐเวียดนามหรือ SBV (State Bank of Vietnam)ได้ประกาศลดดอกเบี้ยมาตรฐาน ลงอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันจันทร์ (3 พ.ย.) เหลือ 12% เท่ากับในเดือน มิ.ย.ซึ่งอัตราเงินเฟ้อกำลังพุ่งขึ้นสูง

ธนาคารแห่งรัฐกล่าวว่า การลดดอกเบี้ยครั้งล่าสุดนี้จะช่วยลดต้นทุนการปล่อยสินเชื่อของธนาคารต่างๆ ลง และช่วยให้บริษัทธุรกิจต่างๆ สามารถเข้าถึงสินเชื่อเพื่อนำไปใช้ในการประกอบการได้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็น การส่งเสริมการลงทุนและการผลิตนับเป็นการลดดอกเบี้ยมาตรฐานกับดอกเบี้ยสำคัญอีกสองรายการลงเป็นครั้งที่สอง ในรอบสองสัปดาห์ การลดดอกเบี้ยครั้งใหม่นี้จะลดลงจาก 13% เริ่มมีผลตั้งแต่วันพุธ (5 พ.ย.) เป็นต้นไป

นอกจากนั้น SBV ยังลดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรลงจาก 12% เป็น 11% และดอกเบี้ยรีฟายแนนซ์ จาก 14% เป็น 13% นั่นคือดอกเบี้ยที่แบงก์แห่งรัฐคิดจากเงินที่ปล่อยกู้ให้แก่แบงก์พาณิชย์

ธนาคารแห่งรัฐยังประกาศลดระดับเงินประกันสินเชื่อที่ธนาคารแห่งต่างๆ ต้องฝากไว้กับธนาคารกลาง ลงจาก 11% เหลือ 10%

ธนาคารแห่งรัฐเวียดนามประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงครั้งแรกในวันที่ 20 ต.ค. หลังจากได้ขึ้นดอกเบี้ย ไปสามครั้งในปีนี้ ครั้งล่าสุดขึ้นจาก 12% เป็น 14% ในเดือน มิ.ย.

เวียดนามได้ใช้มาตรการดอกเบี้ยสูงเป็นมาตรการหนึ่งในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นสูงกว่า 20% ตั้งแต่เดือน มี.ค.เป็นต้นมา แต่มาตรการนี้ได้ส่งผลกระทบรุนแรงต่อการผลิต ทำให้กิจการขนาดกลางและขนาดเล็ก ต้องปิดลงจำนวนมาก ตอนนี้เวียดนามกำลังหันมาให้ความสนใจต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ จากที่เคยเป็นห่วงเรื่อง เงินเฟ้อ

การขึ้นดอกเบี้ยเป็น 14% ในเดือน มิ.ย.ได้ทำให้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อสำหรับลูกค้ารายย่อยพุ่งขึ้นสูง ถึง 21% แม้ว่าจะลดลง 1% ในเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา แต่อัตราดอกเบี้ยในเวียดนามก็ยังสูงที่สุดในเอเชีย

เครื่องชี้วัดเศรษฐกิจ

                            2549      2550      10 เดือนแรกปี 2551    เป้าหมายปี 2551
GDP(%)                      8.17      8.50            6.20         7 (เป้าหมายเดิม 9%)
GDP per capita(US$)          820       833             880               960
ส่งออก(billion US$)         39.80     48.70           53.74              58.60
นำเข้า (billion US$)           45     62.70           70.13            74.4-75.6
FDI  (Foreign Direct
Investment) (billion US$)     12     20.30           58.30               65.00
In Flation (%)              8.70     12.00           23.15               15.96
ที่มา: กรมสถิติแห่งชาติเวียดนาม

3. การค้าระหว่างประเทศ
เวียดนามมีปริมาณการค้าระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นมาโดยตลอด ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณการนำเข้า
และส่งออกอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2550 เวียดนามมีปริมาณการค้า 109,217 ล้านเหรียญสหรัฐ ประกอบด้วย
มูลค่าการส่งออก 48,387 ล้านเหรียญสหรัฐ และมูลค่าการนำเข้า 60,830 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคิดเป็นตัวเลข
ขาดดุลการค้ากับต่างประเทศ 12,443 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ตารางแสดงมูลค่าการค้าและดุลการค้าต่างประเทศของเวียดนาม 2547 — 10 เดือนแรกปี 2551 หน่วย : (ล้านเหรียญสหรัฐ)

  ปี                ปริมาณการค้า             การส่งออก              การนำเข้า            ดุลการค้า
                มูลค่า      %change     มูลค่า    %change       มูลค่า   %change     มูลค่า    %change
2547        58,453.80       28.7   26,485.00     31.4   31,968.80    26.6   -5,483.80   107.30
2548        69,208.20       18.4   32,447.10     22.5   36,761.10    15.0   -4,314.00    78.66
2549        84,717.30       22.4   39,826.20     22.7   44,891.10    22.1   -5,064.90   117.40
2550       109,217.00       28.9   48,387.00     21.5   60,830.00    35.5  -12,443.00   245.68
10 เดือนปี2551 123,865.76    41.56   53,740.14    37.31   70,125.82   45.01  -16,385.48    77.70

ตลาดส่งออกที่สำคัญของเวียดนาม
เวียดนามส่งออกไปประเทศที่สำคัญสูงสุด 15 อันดับแรกในช่วงปี 2549 — 10 เดือนแรกปี 2551
หน่วย  :  (ล้านเหรียญสหรัฐ)
     ประเทศ                 ปี 2549               ปี 2550            10 เดือนแรกปี 2551
                       มูลค่า      %เพิ่มขึ้น      มูลค่า      %เพิ่มขึ้น      มูลค่า       %เพิ่มขึ้น
1. สหรัฐอเมริกา        7,828.71     20.33   10,089.12     28.87   10,015.44      21.00
2. ญี่ปุ่น               5,232.13     43.11    6,069.76     16.01    7,188.07      62.54
3. จีน                3,030.01     27.09    3,356.68     10.78    3,987.88      47.89
4. ออสเตรเลีย         3,651.33     27.87    3,556.92     -2.59    3,200.32      73.60
5. สิงคโปร์            1,630.63      3.53    2,202.01     35.04    2,361.57      37.09
6. ฟิลิปปินส์              782.83     -2.28      965.14     23.29    1,737.61      98.81
7. เยอรมนี            1,445.31     19.54    1,855.06     28.35    1,668.45      13.41
8. เกาหลีใต้             842.89     27.23    1,252.75     48.63    1,580.51      58.15
9. มาเลเซีย             949.27     58.53    1,389.95     46.42    1,350.33      55.98
10. อังกฤษ            1,179.70     25.95    1,431.43     21.34    1,342.07      13.23
11. กัมพูชา            1,214.58     64.00      990.82    -18.42    1,301.24      60.25
12. ไทย                897.54     94.57    1,033.92     15.19    1,218.81      37.89
13. ไต้หวัน              968.76      1.29    1,139.39     17.61    1,206.43      28.03
14. ฮอลแลนด์            857.43     22.05    1,182.14     37.97      970.97      30.66
15. เบลเยี่ยม            783.96     12.45      849.03      8.30      811.95      21.18
ที่มา : กรมสถิติแห่งชาติเวียดนาม

ตลาดนำเข้าที่สำคัญของเวียดนาม
เวียดนามนำเข้าจากประเทศที่สำคัญสูงสุด 15 อันดับแรกในช่วงปี 2549 — 10 เดือนแรกปี 2551
หน่วย  :  (ล้านเหรียญสหรัฐ)
     ประเทศ                 ปี 2549               ปี 2550            10 เดือนแรกปี 2551
                     มูลค่า       %เพิ่มขึ้น       มูลค่า      %เพิ่มขึ้น      มูลค่า       %เพิ่มขึ้น
1. จีน              7,390.91      22.50    12,502.01     69.15    13,444.44     42.14
2. สิงคโปร์          6,723.71      31.36     7,608.60     21.28     8,324.20     39.63
3. ญี่ปุ่น             4,700.96       2.13     6,177.70     31.41     7,814.84     45.88
4. ไต้หวัน           4,822.82      21.35     6,916.60     21.28     7,295.57     35.59
5. เกาหลีใต้         3,870.63      -5.11     5,333.98     37.81     6,130.14     46.45
6. ไทย             3,034.20      27.68     3,737.22     23.17     4,199.81     45.69
7. สหรัฐอเมริกา        982.02      38.48     1,699.68     73.08     3,363.33     77.35
8. ฮ่องกง             982.02      11.41     1,941.40     34.75     2,276.64     51.00
9. มาเลเซีย         1,481.68      16.42     2,289.70     54.53     2,236.04     25.49
10. สวิสเซอร์แลนด์    1,345.93     -30.69     1,016.17    -24.50     1,835.96    164.07
11. อินเดีย            880.28      21.06     1,356.93     54.15     1,834.24     76.79
12. อินโดนีเซีย       1,011.87      12.48     1,353.94     33.81     1,464.95     40.57
13. ออสเตรเลีย      1,099.52      32.98     1,059.38     -3.65     1,316.14     70.76
14. เยอรมนี           914.48      25.95     1,308.45     43.08     1,312.34     24.06
15. รัสเซีย            455.77      17.45       552.17     21.15       856.47    114.59
ที่มา : กรมสถิติแห่งชาติเวียดนาม

กลุ่มสินค้านำเข้าและส่งออก
เวียดนามส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ ช่วง 10 เดือนแรกปี 2551
หน่วย : (ล้านเหรียญสหรัฐ)

    สินค้า                   มูลค่า    ขยายตัว              ประเทศ(สัดส่วน%)
1. น้ำมันดิบ               9,434.89   42.74   ออสเตรเลีย32.87%, ญี่ปุ่น 20.32% ,สิงคโปร์15.79%, สหรัฐ 10.23%, มาเลเซีย7.44%
2. สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม     7,595.70   19.58   สหรัฐ 56.81%, ญี่ปุ่น 8.91%, เยอรมนี 4.25%, อังกฤษ 3.53%, ไต้หวัน 3.06%
3. อาหารทะเล            3,828.55   24.43   ญี่ปุ่น 18.16%, สหรัฐ 16.29%, เกาหลีใต้ 6.68%, รัสเซีย 5.06%, เยอรมนี 4.34%
4. รองเท้า               3,827.57   18.12   สหรัฐ 22.21%, อังกฤษ 12.30%, เยอรมนี 8.26%, ฮอลแลนด์ 8.09%,เบลเยี่ยม6.37%
5. ข้าว                  2,584.42   85.28   ฟิลิปปินส์ 45.37%,มาเลเซีย 7.31%อินโดนีเซีย 1.18%,รัสเซีย 1.08%,สิงคโปร์.73%,
6. ผลิตภัณฑ์ไม้             2,299.18   19.97   สหรัฐ 38.19%, ญี่ปุ่น 13.04%, อังกฤษ 7.28%, จีน 5.87%, เยอรมนี 4.82%
7. คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน    2,222.85   28.63   ไทย 16.03%,ญี่ปุ่น 13.57%,สหรัฐ 10.89%,จีน 10.31%, สิงคโปร์ 6.04%,
8. ศิลปหัตถกรรม           1,800.97   77.98   สวิสฯ 14.84%,ออสเตรเลีย 11.15%,สหรัฐ 14.16%, ญี่ปุ่น 7.59%,เยอรมนี 6.49%
9. กาแฟ                 1,679.97    8.84   เยอรมนี 12.79%,สหรัฐ 9.73%, สเปน 7.49%, ญี่ปุ่น 6.61%, เบลเยี่ยม 5.74%,
10. ยางพารา             1,373.57   27.40   จีน 65.78%,เยอรมนี 4.10% ,เกาหลีใต้ 4.02%, ไต้หวัน 3.59%, รัสเซีย 2.54%,
มูลค่าส่งออกทั้งหมด         53,740.14   37.31   สหรัฐ 18.64%,ญี่ปุ่น 13.38%,จีน 7.27%,ออสเตรเลีย 7.18%, สิงคโปร์ 4.39%
ที่มา : กรมสถิติแห่งชาติเวียดนาม

เวียดนามนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ในช่วง 10 เดือนแรกปี 2551
หน่วย : (ล้านเหรียญสหรัฐ)
        สินค้า                     มูลค่า     ขยายตัว        ประเทศ(สัดส่วน%)
1. เครื่องจักรกลและอุปกรณ์        11,595.42     41.23   จีน 25.71%,ญี่ปุ่น 17.80%,ไต้หวัน 7.24% ,เกาหลีใต้ 7.28%สิงคโปร์ 6.53%
2. ปิโตรเลียม                  10,063.10     70.98   สิงคโปร์ 45.07%,ไต้หวัน 21.74%,เกาหลีใต้ 12.45%,ไทย 7.69%, จีน 3.61%
3. เหล็กและเหล็กกล้า             6,076.28     58.60   จีน 36.49%,ญี่ปุ่น 15.09%,ไต้หวัน 10.22%,เกาหลีใต้ 9.00%รัสเซีย 6.65%
4. ผ้าผืน                       3,761.82     15.53   จีน 34.85%,เกาหลีใต้ 19.93%,ไต้หวัน 19.50%,ฮ่องกง 9.56%,ญี่ปุ่น 7.74%
5. คอมพิวเตอร์,อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน 3,034.20   29.16   ญี่ปุ่น 25.23%สิงคโปร์ 22.25%,จีน 17.55%,ฮ่องกง 9.26%,มาเลเซีย 6.80%
6. วัสดุพลาสติก                  2,569.39     29.71   ไต้หวัน 18.42%,เกาหลีใต้ 15.90%, ไทย 14.47% ,สิงคโปร์ 12.78,ญี่ปุ่น 6.37%
7. สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม           2,019.66     13.89   ไต้หวัน 19.56%,เกาหลีใต้ 16.88%,จีน 15.16%,ฮ่องกง 11.99%,สหรัฐ 5.98%
8. อะไหล่ชิ้นส่วนรถยนต์            1,715.80     78.94   ญี่ปุ่น 17.55%,จีน 16.54%,เกาหลีใต้ 10.73%,ไทย 12.20%,อินโดนีเซีย 6.91%
9. เคมีภัณฑ์                     1,562.57     35.84   จีน 25.65%,ไต้หวัน 23.74%,สิงคโปร์ 10.07%,ญี่ปุ่น 8.04%เกาหลีใต้ 6.72%
10. อาหารสัตว์                  1,550.85     63.50   อินเดีย 44.36%,อาร์เจนติน่า 12.66%,สหรัฐ 8.26%,  จีน 6.11%, บราซิล 3.09%,
มูลค่านำเข้าทั้งหมด               70,125.82     45.91   จีน 19.17%,สิงคโปร์ 11.87%,ไต้หวัน 10.40%,ญี่ปุ่น 10.00%,เกาหลีใต้ 8.74%
ดุลการค้า          -16,385.48
ที่มา : กรมสถิติแห่งชาติเวียดนาม

จากตารางจะแสดงให้เห็นถึง อัตราการเปลี่ยนแปลงของการส่งออกและนำเข้าที่เพิ่มขึ้น แต่อัตรา การเพิ่มของการส่งออกน้อยกว่าอัตราเพิ่มของการนำเข้า เมื่อเทียบในปีเดียวกัน ทำให้ตัวเลขดุลการค้าของ ประเทศเวียดนามขาดดุลในปี 2550 และยังขาดดุลเพิ่มขึ้นในทุกปี สาเหตุที่เวียดนามมีการนำเข้ามากเป็น เพราะเวียดนามยังต้องนำเข้าสินค้าทุน เช่น เครื่องจักรกลและอุปกรณ์ ซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการพัฒนาด้าน เศรษฐกิจต่อไปในอนาคต ในขณะที่สินค้าส่งออกยังคงเป็นด้านเกษตรกรรมเป็นหลัก ซึ่งมีมูลค่าน้อย เมื่อเทียบ กับสินค้าอุตสาหกรรม

สินค้านำเข้าหลักในช่วง 10 แรกของปี 2551 ของเวียดนาม

เวียดนามขาดดุลการค้าสูง

ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของ 10 เดือนแรกของปี 2551 เวียดนามขาดดุลการค้า 16.38 พันล้าน เหรียญสหรัฐ ซึ่งสูงกว่ามูลค่าการขาดดุลการค้าในปี 2550 ทั้งปีถึง 3.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยการนำเข้า รวมมีมูลค่า 70.13 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 45.01 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550 ขณะที่ การส่งออกมีมูลค่า 53.74 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.31 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักของการขาดดุลการค้าสูงมาจากความต้องการนำเข้าอุปกรณ์และเครื่องจักร (มูลค่า 11.6 พันล้าน เหรียญสหรัฐ เพิ่ม 41.23%) น้ำมันปิโตรเลียม (มูลค่า 10.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 70.98%) เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์จากเหล็ก(มูลค่า 6.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 58.60%) ชิ้นส่วนและอะไหล่รถยนต์ (มูลค่า 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 78.94%) และสินค้าบำรุงด้านการเกษตรและปศุสัตว์ เช่น ปุ๋ยและอาหารสัตว์ ที่มีการ นำเข้าที่ขยายตัวสูงมาก(มูลค่า 2.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 44.03%) ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งของการขาด ดุลการค้าคือ การลดและยกเลิกภาษีตามพันธกรณีภายใต้ WTO และ AFTA

การนำเข้าสินค้าเพื่อใช้ในธุรกิจท้องถิ่นของเวียดนาม มีมูลค่า 45.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 57.74 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550 ส่วนการนำเข้าสินค้าเพื่อใช้ในโครงการลงทุนของต่างชาติมีมูลค่า 24.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.55 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550 ขณะที่การส่งออกของ ธุรกิจท้องถิ่นของเวียดนามมีมูลค่า 33.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 42.12 เทียบกับช่วงเดียวกันของ ปี 2550 และการส่งออกของกิจการลงทุนของต่างชาติในเวียดนามมีมูลค่า 20.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.08 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550

สินค้าส่งออกของเวียดนามที่มีมูลค่าสูงตามลำดับ ได้แก่ น้ำมันดิบ มูลค่า 9.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 42.74 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เครื่องนุ่งห่ม มูลค่า 7.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 19.598 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รองเท้า 3.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.12 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อาหารทะเล 3.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.43 เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน ข้าว 2.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 85.28 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

สินค้าที่นำเข้าของเวียดนามที่มีมูลค่าสูงตามลำดับ ได้แก่ เครื่องจักรกลและอุปกรณ์ มูลค่า 11.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 41.23 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปิโตรเลียม มูลค่า 10.1 พันล้าน เหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 70.98 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เหล็กและเหล็กกล้า 6.1 พันล้านเหรียญ สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 58.60 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ผ้าผืน 3.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.53 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ไฟฟ้า 3.0 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.16 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

4. การค้าระหว่างประเทศไทยและเวียดนาม

การค้ากับประเทศไทย ในปี 2550 ที่ผ่านมา ไทยได้ดุลการค้าเวียดนาม 2,687.88 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีมูลค่าการค้ารวม 4,911.69 ล้านเหรียญสหรัฐ จะเห็นว่าการค้าระหว่างไทย-เวียดนามเพิ่มขึ้นทุกปี โดย เฉพาะช่วง 10 เดือนแรกของปี 2551 มีมูลค่าการค้ารวมที่สูงกว่าทั้งปี 2550 รวม 747.07 ล้านเหรียญสหรัฐ

มูลค่าการค้าและดุลการค้าระหว่างไทย-เวียดนาม ปี 2547 — ช่วง 10 เดือนแรกปี 2551
หน่วย : (ล้านเหรียญสหรัฐ)
                           2547        2548        2549        2550      10 เดือนแรก   อัตราขยายตัว

ปี 2551 (%)

   มูลค่าการค้ารวม          2,313.19    3,253.52    3,970.52    4,911.69     5,658.76       44
     ไทยส่งออก            1,876.51    2,363.80    3,074.97    3,799.78     4,373.82       47
     ไทยนำเข้า              436.68      889.71      895.55    1,111.91     1,284.94       35
   ดุลการค้าไทย-เวียดนาม    1,439.84    1,474.09    2,179.43    2,687.88     3,088.88       53
ที่มา : ศูนย์เทคโนโลยี่สารสนเทศและการสื่อสาร โดยความร่วมมือของกรมศุลกากร

การส่งออก
การส่งออกของไทยไปยังประเทศเวียดนามในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2551 มีมูลค่าได้ 4,373.8
ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 44.00 เทียบจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีสินค้าส่งออกที่สำคัญ เกินมูลค่า
100 ล้านเหรียญสหรัฐ คือ น้ำมันสำเร็จรูป (806.3 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ร้อยละ 177.14) เม็ดพลาสติก (359.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ
33.28) เหล็กและเหล็กกล้า (261.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 12.72)
เครื่องยนต์สันดาปภายในลูกสูบและส่วนประกอบ (138.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่
ผ่านมาร้อยละ 35.60) เคมีภัณฑ์ (138.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ
48.75)  เครื่องจักรกลและอุปกรณ์ (137.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ
33.61)  รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ (129.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ร้อยละ 93.07) กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ (124.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่ผ่าน
มาร้อยละ 38.52) ผลิตภัณฑ์ยาง (122.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ
63.90) รถจักรยานยนต์  และส่วนประกอบ (112.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 84.00) ยางพารา
(107.9 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 90.44) ปูนซิเมนต์  (105.0 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.16)

สินค้าที่ไทยส่งออกไปเวียดนามในปี 2550 — 10 เดือนแรกปี 2551
หน่วย : (ล้านเหรียญสหรัฐ)
                      สินค้า                          มูลค่า                     ขยายตัว(%)
                                                    2550      10 เดือนแรก        2550       10 เดือนแรก
                                                                ปี 2551                       ปี 2551
1. น้ำมันสำเร็จรูป                                     398.1         806.3          9.11         177.14
2. เม็ดพลาสติก                                       342.5         359.5         16.11          33.28
3. เหล็กและเหล็กกล้า                                  320.8         261.2         30.69          12.72
4. เครื่องยนต์สันดาปภายในลูกสูบและส่วนประกอบ              128.7         138.6          6.45          35.60
5. เคมีภัณฑ์                                          118.8         138.2         47.07          48.75
6. เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักร               129.0         137.7         90.10          33.61
7. รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ                           91.4         129.5         90.88          93.07
8. กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ                           108.6         124.4         27.99          38.52
9. ผลิตภัณฑ์ยาง                                        97.6         122.5         49.61          63.90
10. รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ                         84.3         112.5         34.45          84.00
11. ยางพารา                                         72.6         107.9        -40.96          90.44
12. ปูนซีเมนต์                                        106.6         105.0         25.77          22.16
13. ผลิตภัณฑ์พลาสติก                                    89.7          95.7         26.13          33.22
14. เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ                       83.0          91.6         81.62          28.83
15. หนังและผลิตภัณฑ์หนังฟอกและหนังอัด                      66.8          81.6         28.85          55.18
รวมมูลค่าที่ไทยส่งออก                                3,799.78      4,373.82         23.57          47.00
ที่มา : ศูนย์เทคโนโลยี่สารสนเทศและการสื่อสาร โดยความร่วมมือของกรมศุลกากร

กลุ่มสินค้าในตลาด
-  สินค้าไทยที่ได้รับการยอมรับในประเทศเวียดนามและมีลู่ทางรับคำสั่งซื้อได้แก่
  • สินค้ากึ่งวัตถุดิบ กึ่งสำเร็จรูป เพื่อป้อนโรงงานอุตสาหกรรม
  • สินค้าอาหาร เสื้อผ้า ผ้าผืน เครื่องประดับ ภาชนะของใช้ประจำวัน วัตถุดิบของสินค้าสปา

วัตถุดิบสินค้าตกแต่งบ้าน ดอกไม้ประดิษฐ์เสื้อผ้าฝ้าย(เนื้อบาง) ในรูปแบบที่ทันสมัย ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์และ

รถยนต์และอุตสาหกรรมเบา

- อุตสาหกรรมที่มีลู่ทางขยายการลงทุนในเวียดนาม คือ
  • อุตสาหกรรมที่ประเทศไทยมีประสิทธิภาพในการผลิตและเป็นฐานในการขยายตัว เช่น ยานยนต์
พาหนะและชิ้นส่วน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องประดับ การแปรรูปอาหาร และอาหารสัตว์ เป็นต้น
  • อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมากและค่าแรงของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เช่น รองเท้า สิ่งพิมพ์
บรรจุภัณฑ์ กระป๋อง อัญมณี ผ้าผืน และปุ๋ย ฯ
  • อุตสาหกรรมบริการที่ไทยมีศักยภาพสูง เช่น การท่องเที่ยว โรงพยาบาล กิจการโรงแรม

ร้านอาหาร เป็นต้น

การนำเข้า

ประเทศไทยนำเข้าสินค้าจากประเทศเวียดนามในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2551 มีมูลค่าได้ 1,284.9 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีสินค้านำเข้าที่สำคัญ คือ เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ (305.9 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 28.19) น้ำมันดิบ (209.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 20.92) เหล็กและเหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ (117.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 928.36) เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ (90.8 เพิ่มขึ้นจาก ระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 63.47) ด้ายและเส้นใย (57.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกัน ของปีที่ผ่านมาร้อยละ 43.94) เครื่องมือเครื่องใช้ทางวิทยาศาสตร์ (54.1 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากระยะ เดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 54.97) สัตว์น้ำสด แช่เย็น แช่แข็ง (39.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากระยะ เดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 37.08) เคมีภัณฑ์ (34.8 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่ผ่าน มาร้อยละ 69.07) กาแฟ ชา เครื่องเทศ (31.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมา ร้อยละ 4,517.72) ถ่านหิน (28.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 28.28)

5. การลงทุนในเวียดนาม

ณ วันที่ 1 มกราคม 2551 จนถึงวันที่ 22 ตุลาคม 2551 มีนักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนในเวียดนาม มูลค่ารวมได้ 58.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นจำนวนได้ 953 โครงการ มีนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนมีมูลค่า สูงสุดได้แก่ มาเลเซีย มูลค่าการลงทุน 14.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ จำนวน 40 โครงการ รองลงมาคือ ไต้หวัน มูลค่า 8.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ จำนวน 122 โครงการ ญี่ปุ่น มูลค่า 7.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ จำนวน 90 โครงการ บรูไน มูลค่า 4.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ จำนวน 17 โครงการ คานาดา มูลค่า 4.3 พันล้านเหรียญ สหรัฐ จำนวน 8 โครงการ และประเทศไทย มูลค่า 3.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ จำนวน 26 โครงการ ตามลำดับ อันเป็นผลจากการที่รัฐบาลเวียดนามเร่งเปิดเสรีด้านการลงทุนให้สอดคล้องกับข้อตกลงของ WTO ส่งผลให้นักลงทุน ต่างชาติมั่นใจ จึงเข้าไปลงทุนในเวียดนามเพิ่มขึ้น

การลงทุนของต่างชาติในเวียดนามตั้งแต่อดีตถึง 22 ตุลาคม 2551 มีจำนวนทั้งสิ้นเท่ากับ 9011 โครงการ และจำนวนเงินลงทุนทั้งสิ้นเท่ากับ 131,150 ล้านเหรียญสหรัฐ นักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุด คือ ไต้หวัน คิดเป็นเงินลงทุนรวม 17.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ จำนวน 1,841 โครงการ รองลงมาได้แก่ มาเลเซีย มูลค่าการลงทุน 16.7 จำนวน 276 โครงการ ญี่ปุ่น เงินลงทุนรวม 16 พันล้านเหรียญสหรัฐ จำนวน 981 โครงการ สิงคโปร์ เงินลงทุนรวม 13.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ จำนวน 602 โครงการ เกาหลีใต้ เงินลงทุน รวม 12.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ จำนวน 1,872 โครงการ

กิจการที่ได้รับความสนใจจากต่างประเทศมากที่สุด คือ กิจการด้านอุตสาหกรรมมีการลงทุนทั้งสิ้น 5,860 โครงการ เงินลงทุนรวม 77,2 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 59.73 ของมูลค่าการลงทุน จากต่างประเทศทั้งหมด การเกษตร ป่าไม้และประมง 944 โครงการ เงินลงทุนรวม 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.45 ของมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมดนอนกจากนี้ได้แก่ กิจการบริการต่างๆ จำนวน 1,206 โครงการ เงินลงทุนรวม 3.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ วัฒนธรรมสุขภาพและการศึกษา 280 โครงการ เงินลงทุนรวม 1,7 พันล้านเหรียญสหรัฐ โรงแรมและการท่องเที่ยว 214 โครงการ เงินลงทุนรวม 5.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ การขนส่งและโทรคมนาคม 223 โครงการ เงินลงทุนรวม 4.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ อาคารสำนักงานและอพาร์ทเม้นต์ 157 โครงการ เงินลงทุนรวม 13.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ การเงินการธนาคาร 86 โครงการ เงินลงทุนรวม 9.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ เขตพัฒนาเมืองใหม่ 11 โครงการ เงินลงทุนรวม 7.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ และเขตนิคมอุตสาหกรรม 30 โครงการ เงินลงทุนรวม 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ณ วันที่ 22 ตุลาคม 2551)

เมืองที่นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนมีมูลค่ามากที่สุด คือ นครโฮจิมินห์ (เงินลงทุนรวม 23,6 พันล้าน เหรียญสหรัฐ จำนวน 2,662 โครงการ) รองลงมาคือ บาเรีย — หวุงเต่า (เงินลงทุนรวม 15.4 พันล้านเหรียญ สหรัฐ จำนวน 162 โครงการ) กรุงฮานอย (เงินลงทุนรวม 14 พันล้านเหรียญสหรัฐ จำนวน 1,094 โครงการ) ด่งใน (เงินลงทุนรวม 11.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ จำนวน 906 โครงการ) นิ่งท่วน (เงินลงทุนรวม 9.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ จำนวน15 โครงการ) ตามลำดับ(ณ วันที่ 22 ตุลาคม 2551 )

โครงการลงทุนของไทยในเวียดนามเริ่มตั้งแต่ปี 2531 เป็นต้นมา โดยในช่วง 4 ปี แรกยังมีจำนวน ไม่มากนัก แต่หลังจากนั้นคือตั้งแต่ปี 2535 การลงทุนของนักธุรกิจไทยในเวียดนามมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งถึง ณ วันที่ 22 ตุลาคม 2551 การลงทุนของไทยในเวียดนามมีทั้งสิ้น 186 โครงการ เงินลงทุน รวม 5.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ สูงเป็นอันดับที่ 8 และเป็นอันดับที่ 3 ในอาเซียน รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย เฉพาะปี 2550 มีโครงการลงทุนของไทยที่ได้รับอนุมัติรวม 24 โครงการ มูลค่า 285 ล้านเหรียญสหรัฐฯ การลงทุนที่สำคัญคือ ธุรกิจการเกษตรปศุสัตว์ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การก่อสร้าง โรงแรม ภัตตาคาร อุปกรณ์การก่อสร้าง อะไหล่รถยนต์ จักรยานยนต์ โรงงานกระดาษ โรงงานผลิตอาหาร ต่อไปน่าจะมีการ ลงทุนในกิจการ ปิโตรเคมี โทรคมนาคม

รายชื่อผู้ลงทุนจากต่างประเทศและพื้นที่ลงทุนในเวียดนาม ถึง ณ. วันที่ 22 ตุลาคม ปี 2551

หน่วย : ล้านเหรียญสหรัฐ

          ผู้ลงทุนต่างประเทศ              จำนวน        เงินลงทุน         จังหวัดที่ลงทุน        จำนวน      เงินลงทุน
                                     โครงการ                                       โครงการ
1.  ไต้หวัน                             1,841      17,840.16    1. นครโฮจิมินห์           2,662     23,609.43
2.  มาเลเซีย                             270      16,704.73    2. บาเรีย-วุงเต่า           162     15,427.15
3.  ญี่ปุ่น                                 981      15,998.43    3. กรุงฮานอย            1,094     14,006.96
4.  สิงคโปร์                              602      13,708.74    4. ด่งนาย                 906     11,823.64
5.  เกาหลีใต้                           1,872      12,533.28    5. นิ่งห์ท่วน                 15      9,935.43
6.  บริติส  เวอร์จิ้น ไอร์แลนด์                357       7,808.73    6. ฮา ติ๊ง                  11      7,920.76
7.  ฮ่องกง                               466       5,919.57    7. บิ่งเซือง              1,573      7,783.36
8.  ไทย                                 186       5,549.34    8. แทงฮว๋า                 33      6,944.51
9.  คานาคา                               71       4,727.62    9. ฝูเอียน                  33      4,577.58
10. บรูไน                                 56       4,514.78   10. เกียนซาง                12      2,746.15
11. สหรัฐ                                398       3,972.96   11. ไฮฟอง                 283      2,631.69
12. เนเธอแลนด์                            88       2,542.06   12. โครงการ น้ำมัน ก๊าซ       36      2,115.44
13. ฝรั่งเศส                              215       2,453.43   13. ลองอาน                213      2,012.12
14. สโลวาเนีย                              4       2,181.46   14. ไฮเซือง                189      1,906.27
15. เคย์มาน ไอร์แลนด์                       30       1,979.99   15. ถั่วเทียน เว้              49      1,886.73
16. สหราชอาณาจักร                        107       1,934.73   16. บั๊คนิงห์                 127      1,699.43
17. จีน                                  564       1,803.76   17. วิ๋งฟุ๊ก                  155      1,459.36
18. สวิสเซอร์แลนด์                          53       1,405.08   18. ดานัง                  103      1,345.40
19. ซามัว                                 55       1,261.04   19. ฮาเตย                  74      1,321.62
20. ออสเตรเลีย                           171         838.37   20. กว่างหงาย               15      1,140.53
21. ลักแซมเบอร์ก                           15         803.82   21. กว่างนิงห์               100        792.62
22. อินเดีย                                27         675.39   22. เกิ่นเธอ                 47        684.39
23. เยอรมนี                              102         543.14   23. บิ่งห์ท่วน                 61        669.94
24. เวสท์อินดี้                               6         511.23   24. ฮึงเอียน                128        634.53
25. เดนมาร์ก                              58         464.48   25. โฮ่วซาง                  5        630.76
26. รัสเซีย                                59         371.75   26. เตยนิงห์                155        616.62
27. เบอมิวด้า                               5         270.32   27. แขงฮว่า                 78        573.81
28. ฟิลิปปินส์                               35         248.48   28. กว่างนาม                53        518.87
29. เมอริเติส                              29         211.40   29. ลามด่ง                 109        398.56
30. อินโดนีเซีย                             18         146.09   30. บิ่งห์ ดิ่ง                 29        397.21
31. บาฮามาส                               4         120.35   31. ล่าวกาย                 35        313.79
32. ชาแนล ไอแลนด์                         15         106.67   32. ฝูเถอะ                  41        313.22
33. โปแลนด์                                8          92.72   33. ไท๋เวียน                 16        293.21
34. เบลเยี่ยม                              32          81.00   34. เหงะ อาน               20        262.18
35. คุ้ก ไอแลนด์                             3          70.57   35. บิ่งห์เฟือก                55        172.5
36. อิตาลี                                 27          67.55   36. บั๊ค ซาง                 50        143.96
37. บาร์บาดอส                              1          65.64   37. นิง บิ่งห์                 12        141.93
38. สวีเดน                                16          62.39   38. เตียน ซาง               16        129.37
39. นิวซีแลนด์                              16          52.79   39. ฮา นาม                 18        122.46
40. เช็ก                                  14          49.96   40. ไท๋ บื่งห์                 22        110.11
41. เซนต์ คิต แอนด์ เนวิส                     2          37.69   41. หลัก เซิน                30         98.59
42. เลสเตนเตียน                            2          35.50   42. นาม ดิ่งห์                18         96.88
43. นอร์เวย์                               14          35.23   43. กอนตูม                   3         77.11
44. ตุรกี                                   6          32.05   44. ซา ลาย                  9         74.93
45. ฟินแลนด์                                5          31.44   45. ฮว่า บิ่งห์                20         72.41
46. มาเก๊า                                 7          30.70   46. วิ๋งห์ ลอง                12         50.99
47. อิรัก                                   2          27.10   47. จ่า วิงห์                 13         45.94
48. ลาว                                   8          23.35   48. เตียน กวาง               3         45.82
49. ยูเครน                                 5          22.75   49. กว่าง จิ                 12         44.63
50. เบรุส                                  4          21.00   50. เบ๋น แจ่                 11         42.47
51. ปานามา                                7          18.00   51. โด่ง ท๊าบ                13         36.11
52. อิสเล ออฟ มาน                          1          15.00   52. บั๊ค เลี่ยว                 7         34.14
53  บราซิล                                 2          14.60   53. กว่าง บิ่งห์                4         32.33
54. ออสเตรีย                              10          12.86   54. ซ๊อค จาง                 6         29.28
55. บัลเกเรีย                               4          12.70   55. เซิน ลา                  7         25.62
56. เบรารุส                                2          12.40   56. กาว บั่ง                 12         20.85
57. โดมินิกัน                                2          11.00   57. เอียน บ๋าย                8         20.35
58. ศรีลังกา                                4           8.24   58. บั๊ค ก่าน                  6         17.57
59. เซ็นต์ วินเซน                            1           8.00   59. อาน ซาง                 5         17.16
60. อิสราเอล                               6           7.68   60. ดั๊ก ลั๊ก                   2         16.67
61. สเปน                                  7           7.06   61. ฮา ซาง                  3         15.93
62  คิวบา                                  1           6.60   62. ดั๊ก นง                   5         15.50
63. กัมพูชา                                 5           5.20   63. ลายโจว                  2          3.00
64. ไอร์แลนด์                               3           4.35   64. ก่า เมา                  4          2.01
65. เซ็นต์วินเซ็นต์ เกรนนาดิน                   1           3.00   65. เดี่ยน เบียน               1          0.13
66. เติร์ก ไครคอส ไอแลนด์                    2           2.10
67. ฮังการี                                 4           1.94
68. กัวเตมาลา                              1           1.87
69. ยูโกสลาฟ                               1           1.58
70. กีนี บิสเซา                              1           1.19
71. ซีเรีย                                  3           1.05
72. เติร์ก ไครคอส ไอแลนด์                    1           1.00
73. กวม                                   1           0.50
74. ไซปรัส                                 1           0.50
75. เคย์มาน อแลนด์                          1           0.25
76. เกาหลีเหนือ                             2           0.20
77. อาร์เจนติน่า                             1           0.12
78. ปากีสถาน                               1           0.10
79. เม็กซิโก                                1           0.05
80. โรมาเนีย                               1           0.04
81. อัฟริกาใต้                               1           0.03
รวมทั้งหมด                              9,011     131,150.02    รวมทั้งหมด              9,011     131,150.02
ที่มา : กระทรวงการวางแผนและการลงทุนเวียดนาม

โครงสร้างการลงทุนถึง ณ. วันที่ 22 ตุลาคม ปี 2551

     สาขาการลงทุน                 จำนวนโครงการ        เงินลงทุน(ล้านเหรียญสหรัฐ)
1. อุตสาหกรรม                          5,860                 77,130.12
น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ                        43                 12,718.41
อุตสาหกรรมเบา                          2,508                 13,890.76
อุตสาหกรรมหนัก                          2,474                 41,984.52
การก่อสร้าง                               508                  4,762.62
อุตสาหกรรมอาหาร                          327                  3,773.81
2. เกษตร ป่าไม้ ประมง                     944                  4,451.03
เกษตร ป่าไม้                              815                  4,079.07
ประมงและสัตว์น้ำ                           129                    371.96
3. การบริการ                           2,207                 47,546.35
บริการอื่นๆ                              1,206                  3,085.40
การขนส่ง ไปรษณีย์ และสื่อสาร                 223                  4,323.59
โรงแรมและท่องเที่ยว                        214                  5,562.95
การธนาคารและการเงิน                       86                  9,614.03
วัฒนะธรรม สาณารณสุขและการศึกษา             280                  1,681.25
เขตเมืองใหม่                               11                  7,996.51
ออฟฟิต อาคารให้เช่า                        157                 13,994.35
ก่อสร้างเขตนิคมอุตสาหกรรม                    30                  1,288.27
รวมทั้งหมด                              9,011                 131150.02
ที่มา : กระทรวงการวางแผนและการลงทุนเวียดนาม

6. ปัจจัยสำคัญในการเจาะตลาดเวียดนาม
ยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ด้านการตลาดสำหรับเจาะตลาดเวียดนาม
6.1. กลยุทธ์ด้านการสร้างภาพพจน์สินค้าและบริการของไทย

จัดกิจกรรมร่วมทางธุรกิจระหว่างภาคอุตสาหกรรมไทย/ภาคธุรกิจเวียดนาม/ภาครัฐเวียดนาม เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของสินค้าและนักธุรกิจไทย โดยจะมีกิจกรรมต่างๆ เช่น

  • การจัดงานแสดงสินค้าของไทยในประเทศเวียดนาม อาทิงาน Thailand Exhibition,
Thailand Outlet Fair และการเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติในเวียดนาม จะเป็นเวทีให้กับผู้ส่งออกไทย
ทั้งในด้านการหาตลาด ผู้ซื้อและการเข้ามาทดลองตลาด เพื่อตรวจสอบความต้องการของผู้บริโภค
  • ดำเนินรักษาความสัมพันธ์ กับหน่วยงานรัฐบาลเวียดนาม ได้แก่ กระทรวงการวางแผนและการลงทุน
กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า กระทรวงการคลัง และอื่นๆ และรักษาความสัมพันธ์อันดีกับหน่วยงานท้องถิ่น ซึ่
งจะเป็นกลไกลที่มีประสิทธิภาพในการลงทุนของผู้ประกอบการไทย
  • การประชุมสัมมนาร่วมระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
สภาหอการค้าไทย และสภาธุรกิจต่างๆ ของเวียดนาม เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและส่งเสริมความร่วมมือทั้ง
ด้านการค้าและการลงทุนอาทิ

6.2. กลยุทธ์ด้านความร่วมมือในอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพและโอกาส

ชาวเวียดนามมีความชื่นชมในคนไทยที่มีความโอบอ้อมอารีมากกว่าต่างชาติอื่นๆ อีกทั้งยังมีความชื่นชอบ และยอมรับสินค้าที่ผลิตและใช้ตราของไทยทั้งนี้ชาวเวียดนามเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้าไทยมากกว่าสินค้าที่มีราคา ถูกจากประเทศจีน หรือ ของเวียดนามเอง ชาวเวียดนามส่วนใหญ่เห็นว่าสินค้าไทยมีราคาที่เหมาะสมกับคุณภาพ เมื่อเทียบกับสินค้าของต่างประเทศเช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ซึ่งมีราคาที่แพงกว่า

6.3 โครงการส่งเสริมนักธุรกิจไทยขยายธุรกิจไปต่างประเทศ (Internationalization)

โดยจัดเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับกฎระเบียบในการลงทุน และโอกาสในการขยายธุรกิจในเวียดนาม รวมทั้ง การจัดนัดหมาย Business Matching ให้กับนักธุรกิจไทยและเวียดนามจัดกิจกรรมพัฒนาเครือข่ายและพันธมิตรต่าง ประเทศของผู้ให้บริการโลจิสติกส์

6.4 สร้างสัมพันธ์ภาพที่ดีกับผู้นำเข้าเวียดนามและเครือข่ายของผู้นำเข้าและส่งออก

6.5 ติดตามความต้องการของตลาด สถานการณ์ตลาด ในเวียดนาม

6.6 รักษาเสถียรภาพของนโยบายราคาขายโดยมีนโยบายที่ชัดเจนและแน่นอน

6.7 เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งด้านสินค้าและบริการ

6.8 ทำการเจาะลึกวิเคราะห์ ข้อมูลทางการค้าการลงทุน

7. ความร่วมมือทางการค้า การลงทุนในเวียดนาม
ความร่วมมือภาคเอกชน

การประชุม Asian Trade Promotion (Forum (ATPF) Annual Meeting ระหว่าง วันที่ 2 — 4 เมษายน 2551 ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม โดยมีกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า ของเวียดนามเป็นเจ้าภาพจัดร่วมกับเจโทรญี่ปุ่น สมาชิกที่เข้าร่วมเป็นหน่วยงานส่งเสริมการค้าของประเทศ ต่างๆในเอเซีย ประมาณ 18 ประเทศ อาทิ AUSTRADE CCPIT (จีน) CITEM (ฟิลิปปินส์) กรมส่งเสริม การส่งออก (DEP) HKTDC (ฮ่องกง) International Enterprise หรือ IE (สิงค์โปร์) ITPO (อินเดีย) IPIM (มาเก๊า) KOTRA (เกาหลี) MATRADE(มาเลเซีย) MNCCI (มองโกเลีย) NZTE (นิวซีแลนด์) SLEDB (ศรีลังกา) TDAP (ปากีสถาน) TWTC (ไต้หวัน) และ Vietnam Trade Promition Agency หรือ VIETRADE เป็นต้น

ร่วมมือกับสำนักส่งเสริมธุรกิจบริการ กรมส่งเสริมการส่งออก สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรม ซอฟท์แวร์แห่งชาติ (SIPA) และสมาคมส่งเสริมอุตสาหกรรมส่งออกซอฟแวร์ไทย (TSEP) จัดกิจกรรม Trade Show and Seminar “Improve Service Operation Using Cutting — Edge Technology” และการ เจรจาธุรกิจ (Business Matching) ในช่วงวันที่ 27 เมษายน 2551 มีผู้ประกอบการไทยจำนวน 14 ราย โดยมีกลุ่มเป้าหมายบริษัทในเวียดนาม (กรุงฮานอย) ที่สมัครเข้าร่วมโครงการประมาณ 80 องค์กร ซึ่งเป็นผู้บริหาร ระดับสูงในหน่วยงานราชการและเอกชนจากธุรกิจสายงานการจัดการข้อมูลสารสนเทศ การบริหารจัดการและการ ตลาดอาทิ ธนาคารและสถาบันการเงิน โรงพยาบาล โรงแรม บริษัทรับเหมาก่อสร้าง บริษัทประกัน ธุรกิจค้าปลีก ฯลฯ

ประสานงานกับบริษัท หน่วยงานภาครัฐและเอกชนเพื่อจัดการนัดหมาย/ประชุมให้แก่นักธุรกิจ/นักลงทุน ไทยหาลู่ทางด้านการค้าและโอกาสลงทุนในเวียดนาม

ร่วมมือกับ สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย และ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมจัดงาน Business Matching — Motorcycle and Parts Cluster (SMEs 007 Plus) วันที่ 11 ธันวาคม 2550 โดยมีบริษัท ไทย 10 ราย และบริษัทเวียดนาม 22 ราย

ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และหอการค้าและอุตสาหกรรม เวียดนาม เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน ระหว่างสองประเทศและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารการค้าและเศรษฐกิจ ระหว่างกัน ลงนามเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2536 ณ กรุงฮานอย

ข้อตกลงความร่วมมือเรื่องข้าว (Working Record) ระหว่างสมาคมอาหารเวียดนามและสมาคม ผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศของไทย ลงนามเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2549 ณ นครโฮจิมินห์ และวันที่ 16 พฤศจิกายน 2549 ณ กรุงเทพฯ

ความร่วมมือภาครัฐบาล
ความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมาธิการว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทยเวียดนาม (Joint
Commission : JC) ลงนามเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2534 มีการประชุมแล้ว 7 ครั้ง ครั้งสุดท้ายระหว่างวันที่
13-14 มีนาคม 2546 ณ กรุงเทพฯ
  • ความตกลงว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน ลงนามเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2534
  • MOU ว่าด้วยความร่วมมือเรื่องข้าวไทย-เวียดนาม ลงนามเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2535
  • MOU ว่าด้วยความร่วมมือเรื่องข้าวไทย-เวียดนาม ฉบับใหม่ ลงนามเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม
2543 ณ กรุงเทพ
  • MOU ว่าด้วยการจัดตั้งคณะอนุกรรมการด้านการค้า (The Sub-Committee on Trade)
ไทย-เวียดนาม ลงนามเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2538 ณ นครโฮจิมินห์ มีการประชุมแล้ว 3 ครั้ง ครั้งสุดท้ายระหว่าง
วันที่ 20-22 ธันวาคม 2542 ณ ประเทศเวียดนาม
  • 8 วามตกลงว่าด้วยการยกเว้นการเก็บภาษีซ้ำช้อน ลงนามเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2535
  • ความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราซึ่งกันและกันสำหรับหนังสือเดินทางธรรมดาลงนาม
เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2540
  • ความตกลงขนส่งสินค้าผ่านแดนไทย ลาวและเวียดนาม ลงนามเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2542
  • ความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา ลงนามเมื่อ
วันที่ 9 พฤษภาคม 2543
  • MOU ความร่วมมือการค้าข้าวระหว่างประเทศผู้ส่งออก 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย จีน เวียดนาม
อินเดีย และปากีสถานลงนามเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2545 ณ กรุงเทพ
  • บันทึกความเข้าใจสามฝ่าย รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวราชอาณาจักรไทย
และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ว่าด้วยความร่วมมือเพื่อ

การใช้ประโยชน์สูงสุดจากสะพานมิตรภาพ 2 (มุกดาหาร-สวันนะเขต) และเส้นทางระเบียง เศรษฐกิจแนวตะวันออก-ตะวันตก เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2550 ณ แขวงสหวันนะเขต สปป.ลาว

8. ช่องทางการจำหน่ายสินค้าในเวียดนาม
ช่องการจำหน่ายในเวียดนาม
1. ผู้ส่งออก ----> ผู้นำเข้า/ ผู้จัดจำหน่าย/ผู้ผลิต ----> ร้านค้าปลีกทันสมัยขนาดใหญ่
2. ผู้ส่งออก ----> ผู้นำเข้า/ ผู้จัดจำหน่าย/ผู้ผลิต ----> ผู้ค้าส่ง ---> ร้านค้าปลีก
3. ผู้ส่งออก ----> เอเย่นต์ท้องถิ่น ---> ผู้นำเข้า/ผู้จัดจำหน่าย/ผู้ผลิต ---> ผู้ค้าส่ง ----> ร้านค้าปลีก
4. ผู้ส่งออก ----> ร้านค้าปลีกทันสมัยขนาดใหญ่ (เมโทร, บิ๊กซี, Saigon coop, Maximart, Citimart, Fivimart)

ช่องทางการจำหน่ายแบบ1 และแบบ 2 มักจะได้รับความนิยมมากที่สุดในเวียดนาม

ช่องทางการจำหน่ายและระบบการกระจายสินค้าในเวียดนาม แบ่งได้เป็นช่องทางหลัก ดังนี้
1. ผู้นำเข้า/ ผู้จัดจำหน่าย ผู้ผลิต ผู้ค้าส่งและเอเย่นต์ ผู้ค้าปลีกแบบดั้งเดิมรายย่อย

1.1 ในเวียดนามผู้นำเข้าที่ดีโดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้จัดจำหน่ายด้วย ผู้นำเข้าและผู้จัดจำหน่าย ของเวียดนาม ยังคงมีส่วนสำคัญ ในการกระจายสินค้า และทำกิจกรรมส่งเสริมการขายในประเทศ นอกจาก นี้ผู้นำเข้าของเวียดนาม และตัวแทนจำหน่ายจะเป็นผู้ติดต่อโดยตรงกับห้างร้าน ต่าง ๆ วิธีที่ดีที่สุดในการ เข้าสู่ตลาดดังกล่าวนี้ คือ การแต่งตั้งตัวแทนท้องถิ่นเพื่อนำเข้าสินค้าโดยตรง หรือ เป็นตัวแทนในการนำ เข้าจัดจำหน่ายและทำตลาด โดยมีกลยุทธ์ด้านราคาที่มีประสิทธิภาพ และ มีเครือข่ายของการจัดจำหน่าย ผู้นำเข้าส่วนใหญ่จะซื้อสินค้าจากผู้ส่งออกโดยรวมสินค้าหลาย ๆ ชนิดใน 1 ตู้ Consolidated Container โดยมีจำนวนสินค้าไม่มากนักในแต่ละชนิด และผู้นำเข้าจะขอให้ทำการส่งเสริมการจำหน่ายและโฆษณาสินค้า ให้ด้วยพร้อมกับขอสินเชื่อในการชำระสินค้า การส่งเสริมการจำหน่ายในร้านยังคงจำเป็นสำหรับสินค้าที่ยัง ใหม่สำหรับตลาด การแสดง ณ จุดขาย และสื่อโฆษณาต่าง ๆ ยังคงมีความสำคัญ เพื่อจูงใจผู้บริโภคที่มีความรู้ จำกัดเกี่ยวกับสินค้าต่างประเทศ

1.2 ร้านขายสินค้าปลีกในปริมาณน้อย และตลาดสด ยังคงมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของ ชาวเวียดนามจำนวนมาก และมีบทบาทสำคัญในการเป็นช่องทางการจำหน่าย การค้าปลีกแบบดั้งเดิมและแบบ ท้องถิ่นยังคงยึดตลาดในเวียดนามไปอีกหลาย ๆ ปี อันเนื่องจากระบบการค้าแบบดั้งเดิมยังคงยึดคลังสินค้า และระบบการจัดจำหน่ายไว้ได้ ประกอบกับช่องทางการจัดจำหน่ายของประเทศส่วนมากจะพึ่งพากับช่องทาง การตลาดแบบดั้งเดิมนี้อย่างมาก

ตามสถิติของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า เวียดนามมีตลาดแบบดั้งเดิม หรือ ตลาดสด มี ประมาณ 8,000 แห่ง และ ร้านค้าเล็ก ๆ หลายร้อยแห่งทั่วประเทศ ร้านค้าเหล่านี้จะมีพื้นที่ตั้งแต่ 100-300 ตารางฟุต ธุรกิจครอบครัวยังคงได้รับความนิยมจากชาวเวียดนาม เนื่องจากผู้บริโภคมักจะคิดว่า การซื้อที่ศูนย์ การค้าต่าง ๆ มักจะมีราคาแพงกว่าตลาดในท้องถิ่นทั่วไป ทั้งนี้เนื่องจากต้นทุนที่สูงกว่าในการบริหารจัดการ ของศูนย์การค้าและร้านค้าปลีกรูปแบบใหม่นอกกรุงฮานอยและนครโฮจิมินห์ ช่องทางการจำหน่าย โดยเฉพา สินค้าอาหาร มักจะพึ่งพากับช่องทางของการค้าแบบดั้งเดิมนี้ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ของอาหารที่นำเข้า จากต่างประเทศจะผ่านทางการค้าแบบดั้งเดิมนี้

2. ผู้นำเข้า/ผู้จัดจำหน่าย ผู้ค้าปลีกทันสมัยขนาดใหญ่ผู้นำเข้า/ผู้จัดจำหน่าย จะส่งสินค้าให้กับร้านค้าปลีกขนาดใหญ่

ในชานเมืองโครงสร้างของการขายปลีกในเวียดนามอยู่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอย่างคาดไม่ถึง โดย

เฉพาะการค้าปลีกที่มีชาวต่างประเทศเป็นผู้ดำเนิน ส่งแรงกระตุ้นให้ธุรกิจค้าปลีกท้องถิ่นเกิดการรวมตัวกัน เพื่อ

เพิ่มศักยภาพในการแข่งกับนักลงทุนต่างประเทศอย่างเต็มรูปแบบ อาทิ การใช้กลยุทธ์เพิ่มพื้นที่การให้บริการ การ

ปรับปรุงรูปแบบการให้บริการ เช่น การรับสั่งสินค้าทางโทรศัพท์ และให้บริการการชำระเงินด้วยบัตรเครดิต เป็นต้น

ทั้งนี้คาดว่าตลาดในรูปแบบดั้งเดิมจะถูกแทนที่ด้วยตลาดขายปลีกที่มีรูปแบบทันสมัย โดยจำนวนซุปเปอร์มาร์เกต

ตลาดขายปลีกขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้า จะเพิ่มสูงขึ้นในพื้นที่ชนบท โดยเฉพาะซุปเปอร์มาร์เกต

ที่ดึงดูดลูกค้าด้วยการให้บริการที่สมบูรณ์แบบ เช่น ที่จอดรถ สนามเด็กเล่น การให้บริการเกี่ยวกับเด็ก เป็นต้น

ห้างขายปลีกที่ทันสมัยส่วนใหญ่ของเวียดนามตั้งอยู่ ณ บริเวณนอกเมือง เนื่องจากหลบเลี่ยงจากความแออัดและข้อ

จำกัดของพื้นที่ในตัวเมือง ประกอบกับอัตราการขยายตัวของผู้บริโภคชนบทมีความต้องการสินค้า และมีศักยภาพใน

การซื้อเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้จะเห็นได้จากผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ เช่น Saigon Coop ได้เปิดกิจการซุปเปอร์

มาร์เกตจำนวน 3 แห่งที่ Tien Giang, Vinh Long และ My Tho และ Metro Cash and Carry

ได้เปิดห้างขายปลีกที่นอกเมืองฮานอย (ทางไปสนามบิน) ไฮฟองและดานัง เป็นต้น อย่างไรก็ตามแหล่งช็อปปิ้ง

และศูนย์การค้าของเวียดนามส่วนใหญ่เข้ามารวมตัวกันอยู่ที่ฮานอยและโฮจิมินห์ และมีแหล่งช็อปปิ้งและศูนย์การค้า

ใหม่เกิดขึ้นทั่วประเทศ ในปี 2005-2008 มีห้างยักษ์ใหญ่ จำนวน 3 แห่งปรากฏตัวขึ้น ได้แก่ “Vincom”

“a 21 - storey twin tower” และ “Parkson” ซึ่งเป็นแหล่งช็อปปิ้งที่ทันสมัยที่สุดในฮานอย ในขณะ

เดียวกันเมืองโฮจิมินห์ก็มีห้าง “Parkson” ซึ่งเป็นแหล่งช็อปปิ้งที่หรูหราแห่งหนึ่ง

3. นอกจากนั้นช่องทางการจำหน่ายสินค้าไปสู่ตลาดเวียดนามและประเทศใกล้เคียงอีกช่องทางหนึ่งคือ การค้าตาม
แนวชายแดนต่างๆ ดังนี้

1. ด่านทางเหนือ ภาคเหนือของเวียดนามจะมีพรมแดนติดกับจีน ซึ่งมีความยาว 1,281 ตารางกิโลเมตร โดยมีด่านชายแดนจีน 3 ด่านใหญ่ ๆ คือ

1.1 ด่าน Langson จังหวัด Langson ติดมณฑลกว่างซีของจีน มีนครหนานหนิงเป็นเมืองหลวง

1.2 ด่าน Mong Cai จังหวัด Quang Ninh เชื่อมเมือง (Quinzhou) มณฑลกว่างซีของจีน

1.3 ด่าน Lao Cai จังหวัด Lao Cai ติดมณฑล ยูนานมีนครคุนหมิงเป็นเมืองหลวง

2. ด่านทางตะวันตก ภาคตะวันตกของเวียดนามจะมีพรมแดนติดกับลาวซึ่งมีความยาว 2,130 ตารางกิโลเมตร โดยมีด่านชายแดนลาว 2 ด่านใหญ่ ๆ คือ

2.1 ด่าน Cau Treo จังหวัด HaTinh

2.2 ด่าน Lao Bao จังหวัด Quang Tri เชื่อมกับสะหวันนะเขตของลาว

3. ด่านทางใต้ ภาคใต้ของเวียดนามจะมีพรมแดนติดกับกัมพูชา มีความยาว 1,228 ตารางกิโลเมตร โดยมีด่านชายแดนกัมพูชา 2 ด่านใหญ่ ๆ คือ

3.1 ด่าน Xamat จังหวัด Tay Ninh

3.2 ด่าน Moc Bai จังหวัด Tay Ninh

เมื่อต้น ปี 2551 นายกรัฐมนตรี ของเวียดนามได้ประกาศจะส่งเสริมการค้าชายแดน ทั้งทางเหนือ ตะวันตก และทางใต้ โดยจะ มีการสร้างโรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหาร ศูนย์การค้า ซุปเปอร์มาร์เกต รวมทั้ง สิ่งอำนวยความสะดวกที่จะส่งเสริมการค้า การลงทุนและ การท่องเที่ยวตามชายแดนดังกล่าว

ระบบการกระจายและนำเข้าสินค้า

ช่องทางในการกระจายสินค้า มีการจำกัดการมีส่วนร่วมของนักลงทุนต่างชาติในการนำเข้าและ การจำหน่ายสินค้า ที่สงวนให้แก่ชาวเวียดนาม และบริษัทเวียดนาม ซึ่งชาวต่างชาติและบริษัทต่างชาติสามารถ ดำเนินการได้โดยการผ่านทางชาวเวียดนาม อย่างไรก็ตามนักลงทุนต่างชาติที่มีโรงงานการผลิตและมีใบอนุญาต ในการผลิต ก็อาจได้รับการอนุญาตในการจำหน่ายสินค้าของตัวเองด้วย นอกจากนี้ใบอนุญาตการลงทุนยังอนุญาต ให้ผู้ผลิตนำเข้าวัตถุดิบในการผลิตได้ด้วย รวมทั้งนำเข้าเพื่อจะทดลองตลาดเพื่อวัดผลตอบรับจากผู้บริโภค

ช่องทางการกระจายสินค้าในเวียดนาม สำหรับระบบการจัดจำหน่ายสินค้าของเวียดนามจะแตกย่อย เป็นบริษัทและรัฐวิสาหกิจนำเข้า-ส่งออกในเวียดนาม บริษัทค้าส่งและรัฐวิสาหกิจค้าส่ง ตัวแทน ร้านค้า ฯลฯ

การนำเข้าส่วนใหญ่นั้นเป็นการนำเข้าผ่านตลาดนครโฮจิมินห์ที่ในปัจจุบันยังคงเป็นตลาดนำเข้าและ ขายส่งใหญ่ที่สุดและมีบริษัทค้าส่งที่เป็นเอกชนมากกว่าซึ่งทำการจำหน่ายส่งสินค้าไปให้แก่ผู้ขายส่งภายในประเทศ ที่อยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรุงฮานอยก็อาศัยการสั่งสินค้ามาจากตลาดนครโฮจิมินห์และอีก ส่วนหนึ่ง ก็นำเข้าโดยตรงด้วยผู้ค้าส่งรายใหญ่ ๆ มักเป็นบริษัทการค้าของรัฐหรือเป็นเครือข่ายของบริษัทการค้า ของรัฐที่เป็นผู้นำเข้าเอง

นอกจากนี้ส่วนผู้ขายส่งและเอกชนส่วนใหญ่จะเป็นผู้ค้าขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีเงินทุนไม่มากและ สามารถครอบคลุมพื้นที่การจำหน่ายไม่มากนัก ทำให้ไม่ค่อยมีการเก็บสต็อกสินค้าหรือสั่งสินค้าแต่ละครั้งในปริมาณ ที่ไม่มาก สำหรับผู้ค้าส่งในต่างจังหวัดหรือท้องถิ่นส่วนใหญ่มักเป็นเพียงผู้ค้าส่งรายย่อยที่เข้าไปรับซื้อสินค้าจาก ผู้ขายส่งรายใหญ่ในเมืองไปจำหน่ายหรือส่งจำหน่ายต่อให้แก่ผู้ค้าปลีกในตลาดท้องถิ่น

ส่วนการนำเข้าสินค้านั้นต้องกระทำผ่านบริษัทที่ได้รับอนุญาต ที่ส่วนใหญ่เป็นบริษัทการค้าของรัฐซึ่ง บริษัทการค้าที่ได้รับอนุญาตดังกล่าวอาจเป็นผู้นำเข้าโดยตรงที่มีเครือข่ายการจำหน่ายในประเทศอยู่แล้วหรืออาจ เป็นเพียงโบรคเกอร์หรือเอเย่นต์นำเข้าโดยได้รับค่าคอมมิชชั่น มีความต้องการนำเข้าเมื่อใดก็จะมอบให้บริษัท การค้าของรัฐที่ได้รับอนุญาตให้ทำการนำเข้าแทน ส่วนบริษัทการค้าต่างประเทศไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินธุรกิจ การค้าและการจำหน่ายสินค้าในเวียดนามแต่อย่างใด แต่บริษัทการค้าต่างประเทศก็สามารถนำเข้าสินค้าผ่าน บริษัทการค้าของรัฐที่ได้รับอนุญาตโดยอาศัยกลไกช่องทางจำหน่ายผ่านเครือข่ายของบริษัทการค้าดังกล่าวหรือ อาจติดต่อตรงไปยังผู้ใช้ที่เป็นผู้มีความต้องการนำเข้าผู้ขายส่งที่ส่วนใหญ่เป็นบริษัทการค้าเอกชนที่เป็นผู้ต้องการ นำเข้าให้สั่งนำเข้าผ่านบริษัทการค้าของรัฐที่ได้รับอนุญาต สำหรับการจัดจำหน่ายสินค้าอาศัยการดำเนินการ ในรูปของการทำสัญญากับบริษัทผู้จำหน่ายในท้องถิ่นอีกทอดหนึ่ง บริษัทการค้าต่างประเทศที่ดำเนินการในลักษณะนี้ จึงจำเป็นต้องมีการเดินทางเข้าไปเยี่ยมเยียนตลาดและลูกค้าเพื่อประสานงานและให้คำแนะนำด้านการตลาด รวมทั้งเพื่อแสวงหาลู่ทางและช่องทางการจำหน่ายเพิ่มมากขึ้นหรืออาจเลือกวิธีเข้าไปจัดตั้งสำนักงานตัวแทน ในเวียดนาม เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องยิ่งขึ้น แม้ว่าทางการเวียดนามจะยังไม่อนุญาตให้ สำนักงานตัวแทนบริษัทต่างประเทศดำเนินธุรกิจการค้าที่มีผลกำไรโดยตรงก็ตามแต่ก็ได้มีการตั้งตัวแทนนำเข้า และตัวแทนจัดจำหน่ายสินค้าของบริษัทต่างประเทศ เป็นกรณี ๆ ไป ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีระเบียบกำหนดไว้ อย่างแน่ชัด

กลุ่มผู้ซื้อสำคัญ

หน่วยงานของรัฐที่เป็นผู้ใช้ และบริษัทการค้าของรัฐรายใหญ่ที่อาจเป็นทั้งผู้ผลิตหรือผู้ใช้ และผู้นำ เข้าไปจัดจำหน่ายเป็นผู้นำเข้าโดยตรงเพื่อนำไปจัดจำหน่ายผ่านเครือข่ายการจำหน่ายที่มีอยู่แล้วในประเทศซึ่ง มีเงินทุนเพียงพอ ทำให้สามารถทำการสั่งซื้อสินค้าในปริมาณมากพอและมีความรู้ความชำนาญด้านการค้า กลุ่มผู้ค้า ภาคเอกชนที่นับว่าครอบคลุมปริมาณธุรกิจการค้าส่งและค้าปลีกในประเทศมากที่สุดที่อาจจัดเป็นผู้มีความต้องการ นำเข้ามาก แต่มักไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าโดยตรงได้ จึงทำการสั่งนำเข้าผ่านบริษัทการค้าของรัฐที่ได้รับอนุญาต

กลุ่มผู้ซื้อที่สำคัญกลุ่มหนึ่งได้แก่ บริษัทต่างประเทศและโครงการลงทุนหรือร่วมลงทุนของต่างประเทศ ในเวียดนาม ที่จัดว่ามีความต้องการนำเข้าสินค้าต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในกิจการไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักรอุปกรณ์ ปัจจัยการผลิตและสินค้าเพื่อใช้ในการตกแต่ง เป็นต้น แนวโน้มช่องทางการจำหน่ายสินค้าในเวียดนาม

ในเมืองใหญ่ ๆ ของเวียดนาม เช่น กรุงฮานอย นครโฮจิมินห์ ไฮฟอง และ ดานัง มีการพัฒนาของ ร้านค้าสมัยใหม่ ค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับเมืองอื่นในเวียดนาม ถึงแม้ว่า ตลาดสด และ ร้านขายของชำ ยังมีบทบาท สำคัญในการเป็นช่องทางการจำหน่ายโดยเฉพาะสินค้าอาหาร แต่การเติบโตของ ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ และ ร้านค้าส่ง ยังคงเพิ่มสูงขึ้นในเขตเมือง เนื่องมาจากปัจจัยดังต่อไปนี้

  • การเพิ่มขึ้นของผู้บริโภคที่มีรสนิยมทางตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเขตหัวเมืองใหญ่
  • การเพิ่มขึ้นของชนชั้นกลาง ที่ พ่อ และแม่ต้องทำงานทำให้มีเวลาในการจับจ่ายน้อยลง
  • การทำตลาด ด้วยยุทธวิธี ด้านราคา ส่วนลด และ อื่น ๆ เพื่อจูงใจลูกค้ามาใช้บริการ
  • การที่ผู้บริโภคเลือกที่จะไปใช้บริการด้วยเหตุผลของ ความสะอาด คุณภาพสินค้า
  • การที่ผู้บริโภคนิยมสินค้าที่มีบรรจุภัณฑ์ หรือสินค้าที่ผ่านกระบวนการผลิตมาแล้ว ที่ทำให้สะดวกต่อการใช้สอย

จากการที่ประเทศเวียดนามเป็นหนึ่งในสมาชิกสำคัญของ ประเทศอาเซียน ทำให้เวียดนามได้รับ สิทธิประโยชน์ และความช่วยเหลือทางการค้า ในทางตรงข้ามเวียดนามได้เข้าเป็นสมาชิก (WTO) เมื่อปี 2007 ทำให้ประเทศเวียดนามต้องเปิดประเทศมากขึ้นเพื่อทำการค้ากับต่างชาติ และ ยังต้องลดภาษี และ พัฒนาระบบการค้า ข้อบังคับต่างๆ ให้ทัดเทียมนานาประเทศ

ในขณะที่บริษัทต่างชาติยังถูกจำกัดสิทธิการจัดจำหน่ายในประเทศเวียดนาม บริษัท และ ผู้จัดจำหน่าย และนำเข้าของเวียดนามยังคงมีส่วนสำคัญในการกระจายสินค้าและทำกิจกรรมส่งเสริมการขายในประเทศอีกด้วย นอกจากนี้ผู้นำเข้าของเวียดนามยังคงสิทธิที่จะมีตัวแทนจำหน่าย ศูนย์กระจายสินค้า การที่จะเป็นผู้ติดต่อโดยตรงกับ ห้างร้าน ต่าง ๆ เองอีกด้วย และในบางกรณีผู้นำเข้าของเวียดนามสามารถนำเข้าแบรนด์ไหนก็ได้ โดยไม่ต้อง คำนึงถึง Brand loyalty

อย่างไรก็ดีทางร้านค้าชั้นนำ ได้เลือกที่จะนำเข้าโดยตรงจากผู้ส่งออกชาวต่างชาติ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งสินค้าที่เน่าเสียง่าย เช่น ผลไม้ เนื้อสัตว์ และ ผัก และประกอบกับประชากรทั่วไปมีอำนาจการซื้อต่ำ ร้านค้าปลีกทันสมัยโดยทั่วไปจะนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศโดยตรง

9. SWOT Analysis ของเวียดนาม

จุดแข็ง

1. เศรษฐกิจเติบโตเป็นอันดับสองรองจากจีน อย่างต่อเนื่อง การลงทุนในประเทศ การส่งออกได้ รับเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศปีละ 2.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ฯ และเงินโอนจากชาวเวียดนามโพ้นทะเล เป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ นอกจากนั้นเวียดนามมีเครือข่ายชาวเวียดนามโพ้นทะเล (Viet Kieu) ทั้งในยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย ฯลฯ ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจขายส่ง/ขายปลีก/ร้านอาหาร/ร้านขายของชำ เป็นต้น

2.ความแน่วแน่ของรัฐบาลในการพัฒนาประเทศสู่ความเป็นสากล และมีนโยบายที่ชัดเจนของรัฐบาล รวมทั้งความร่วมมือกับนักลงทุนต่างชาติ ที่ต้องการผลักดันให้เวียดนามเป็นประเทศอุตสาหกรรมต่างๆแทนการพึ่งพา ภาคเกษตรและการผลิต

3.ประเทศเวียดนามมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ เช่น น้ำมันดิบ ถ่านหิน เหล็ก แร่สังกะสี บ๊อกไซด์ฯ ป่าไม้ ทรัพยากรดินและน้ำ และที่สำคัญมีทรัพยากรมนุษย์มีบุคคลที่อยู่ในวัยทำงานถึงร้อยละ 65 มีอัตราการรู้หนังสือ ร้อยละ 90 มีค่าจ้างแรงงานที่ไม่สูง 45-55 เหรียญสหรัฐ/เดือน

4.เวียดนามมีเสถียรภาพทางด้านการเมืองที่มั่นคง บ้านเมืองมีความปลอดภัย และรัฐบาลมีนโยบาย ส่งเสริมการลงทุน เช่น การยกเว้นภาษีนำเข้าวัตถุดิบ การอนุญาตให้ส่งผลกำไรกลับประเทศ ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล การอนุญาตให้มีการโอนผลขาดทุนสะสมไปหักกลบผลกำไรในรอบห้าปีบัญชี

จุดอ่อน

1. เวียดนามขาดระบบฐานข้อมูลและสถิติ ที่ใช้ในการวางแผนอาทิข้อมูลวิเคราะห์เชิงลึกของ กลุ่มสินค้าต่างๆ ทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน

2. ระบบการค้าส่วนใหญ่ยังต้องมีการพัฒนาไปสู่ระบบสากลมากขึ้น

3. ขาดบุคคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการทำธุรกิจระหว่างประเทศ ขาดแรงงานมีผีมือ และผู้บริหารระดับกลาง รวมทั้งการบริหารจัดการในหน่วยงานต่าง ๆ ยังไม่เป็นระบบ

4. วัตถุดิบและสินค้าขั้นพื้นฐานที่ใช้ในอุตสาหกรรมขั้นกลางและปลายน้ำมีคุณภาพต่ำ โดยเฉพาะ สินค้าเกษตร ทำให้สินค้าสำเร็จรูปไม่ได้มาตรฐานตามที่ตลาดต้องการ

5. ขาดแคลนระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานและไม่ได้มาตรฐาน ระบบการคมนาคมไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้การขนส่งสินค้าใช้เวลานาน และเกิดการชำรุดเสียหาย

6. มีจุดอ่อนด้านบริหารจัดการขนส่งและโลจิสติกส์ ทำให้การกระจายสินค้าไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร

7. ต้นทุนค่าขนส่งทางเรือสูง เนื่องจากค่าระวางขนส่งสินค้าทางเรือจากไทยไปเวียดนาม มีราคาสูง และมีพื้นที่ระวางไม่เพียงพอกับความต้องการ

8. ที่ดินและอสังหาริมทรัพย์มีราคาค่อนข้างสูง และมีพื้นที่จำกัด

อุปสรรค

1. เวียดนามมีการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบย่อยครั้ง อันเนื่องมาจากการมีกฎหมายท้องถิ่นกำกับดูแล ธุรกิจการค้าด้วย ทำให้นักธุรกิจไทยเกิดความสับสนถึงแม้ว่าจะมีการประกาศใช้กฤษฎีกาว่าด้วยการป้องกันตนเอง ในการค้าขายสินค้ากับต่างประเทศ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2545 แล้วก็ตาม และอาจต้องเสีย ค่าใช้จ่ายเบี้ยป้ายรายทางด้วย

2. เวียดนามมีการใช้มาตราการที่ไม่ใช่ภาษีในการปกป้องทางการค้า ได้แก่ การประเมินภาษี โดย ใช้ราคากลางที่ไม่เป็นมาตรฐานเดียวกันสำหรับการพิจารณาสินค้าของแต่ละประเทศ และการเข้มงวดในการนำเข้า สินค้าบางชนิดของไทย

3. กำลังซื้อของประชากรส่วนใหญ่ในเวียดนามอยู่ในระดับต่ำ ยกเว้นในเมืองใหญ่ เช่น นครโฮจิมินห์ และกรุงฮานอย อย่างไรก็ตามบริเวณเมืองใหญ่ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับการแข่งขันสูง ทั้งสินค้าของเวียดนาม จีน และ ประเทศอื่น ๆ เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด

4. อัตราภาษีนำเข้าโดยทั่วไปของเวียดนามยังอยู่ในอัตราสูง โดยเฉพาะสินค้าที่เวียดนามสามารถผลิต เองได้ เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค ที่เรียกเก็บภาษีนำเข้าเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 30-60 เสื้อผ้าสำเร็จรูป (ภาษีนำเข้า ร้อยละ 30 และ VAT ร้อยละ 10 ) และอัญมณีสำเร็จรูป (ภาษีนำเข้าร้อยละ 40 และ VAT ร้อยละ 10) รถยนต์ (ภาษีนำเข้าร้อยละ 200 - 400 และ VAT ร้อยละ 10) เป็นต้น นอกจากนี้ การที่เวียดนามใช้ราคากลางของ รัฐบาลเป็นราคาขั้นต่ำ ในการประเมินภาษีนำเข้า แทนการใช้ราคาที่แสดงใน Invoice ทำให้ราคาที่ใช้เป็นฐาน ภาษีสูงกว่าความเป็นจริงมาก นอกจากนี้ การนำเข้าส่วนใหญ่ยังต้องดำเนินการผ่านองค์กรของรัฐบาล ทำให้เกิด ความไม่คล่องตัวในการติดต่อค้าขายกัน

5. ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์สินค้าไทยและการปลอมแปลงสินค้ายังมีอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้เวียดนาม จำหน่ายสินค้าได้ในราคาต่ำกว่าไทยมาก ไทยจึงสูญเสียส่วนแบ่งตลาดสินค้าในเวียดนามมากขึ้นเป็นลำดับในช่วงที่ผ่านมา และที่สำคัญ คือ สินค้าไทยต้องเสียชื่อเสียงจากสินค้าปลอมแปลงในเวียดนามที่ติดป้าย Made In Thailand แต่เป็น สินค้าที่มีคุณภาพต่ำมาก หรือเป็นสินค้าหมดอายุแล้ว เป็นต้น

6. ปัญหาลักลอบค้าขายตามแนวชายแดนของเวียดนามกับประเทศเพื่อนบ้าน(สปป.ลาว กัมพูชา และจีน) ทำให้มีสินค้าคุณภาพต่ำจากประเทศเพื่อนบ้านดังกล่าวของเวียดนามเข้ามาแข่งขันและสามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดสินค้า ไทยในเวียดนาม เนื่องจากสินค้าของประเทศคู่แข่งมีราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับราคาสินค้าของไทย

7. ผู้ส่งออกไทยยังขาดความชำนาญในการทำการค้ากับชาวเวียดนาม ในขณะที่ประเทศสิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น ซึ่งให้ความสำคัญทางการค้ากับเวียดนาม และมีสำนักงานตัวแทน ที่ศึกษาตลาดเวียดนามอย่าง ใกล้ชิดรู้จักและคุ้นเคยกับตลาดเวียดนามและสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าเวียดนาม ทำให้ผู้ประกอบการ ไทยประสบกับการแข่งขันทางการค้าที่รุนแรง

8. อุปสรรคจากการใช้มาตราการที่มิใช่ภาษีศุลกากร เช่น ข้อกำหนดที่เข้มงวดเกี่ยวกับการปิดฉลาก สินค้าการห้ามนำเข้าสินค้าบางประเภทเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ นอกจากนี้ กฎหมายของเวียดนามกำหนดว่า นักธุรกิจต่างชาติจะไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินธุรกิจนำเข้าและค้าขายในเวียดนาม ยกเว้นนักลงทุนที่เข้ามาตั้งโรงงาน อย่างไรก็ตาม นักธุรกิจต่างชาติสามารถตั้ง Representative Office ได้โดยไม่ต้องมีรายได้ แต่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ต่าง ๆ เป็นสองเท่าของนักธุรกิจชาวเวียดนาม เป็นต้น

9. การต่อต้านการแข่งขัน 10. ปัญหาเงินเฟ้อที่รุนแรงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน ภาวะเงินเฟ้อลุกลามมาก กว่าประเทศอื่นใดในเอเชีย ด้วยตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคที่สูงถึงกว่า 25% ที่ผ่านมาในช่วงเมษายนจนถึงปัจจุบัน นับว่าสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2535 เฉพาะราคาอาหารอย่างเดียวถีบตัวขึ้นมากกว่า 60% 11. ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2551 อัตราแลกเปลี่ยนเงินด่องมีความผันผวน เงินด่องมีแนวโน้ม อ่อนค่าลง การเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และเริ่มประสบปัญหาขาดแคลนเงินเหรียญสหรัฐอย่างรุนแรง 12. ปัญหาการขาดดุลการค้าสูงถึง 15.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ เฉพาะการนำเข้าเพิ่มขึ้น 50.76% ขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้น 39.67% ณ เดือนกันยายน 2551 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550

โอกาส

1. เป็นตลาดขนาดใหญ่ (ประชากร 86 ล้านคน ) และเป็นฐานการผลิต (Production Base) เพื่อส่งสินค้าไปตลาดโลกและประเทศใกล้เคียงที่มีชายแดนติดกับเวียดนาม เป็นช่อง/ประตูเข้าและออก (Gate way) ที่จะขยายธุรกิจ

2. ระดับการเปิดประเทศของเวียดนามที่เพิ่มขึ้นอย่างมากภายใต้แผนการปฏิรูปเศรษฐกิจ เป็นประเทศ ที่เปิดรับนักลงทุนและนักท่องเที่ยว การที่เวียดนามได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์กรการค้าโลก WTO ทำให้จำเป็นต้อง มีการปรับปรุง กฎระเบียบและกฎเกณฑ์ทางการค้าให้สอดคล้องกับกติกาการค้าโลก รวมทั้งให้เป็นไปในทางที่ผ่อนคลาย ยกเลิกหรือลดมาตรการการกีดกันและข้อจำกัดทางการค้า รวมทั้งลดอัตราภาษีศุลกากรจะช่วยส่งผลให้ธุรกิจการค้า และการนำเข้าสินค้า มีแนวโน้มขยายตัวยิ่งขึ้น อาทิ มีการลดกำแพงภาษี และมาตรการกีดกันทางการค้าจาก AFTA และ FTA ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าแก่นักลงทุนต่างชาติและมีการออกกฎหมายการเปิดตลาดการค้า รวมทั้ง เพิ่มความโปร่งใสของกฎหมาย และระเบียบการค้า การลงทุน

3. สมาชิก WTO ได้จัดหาหนทางในการให้สิทธิทางการค้า สถานะความสัมพันธ์ทางการค้าปกติอย่าง ถาวรกับสหรัฐ หรือ PNTR ซึ่งในการนี้จะช่วยเพิ่มการค้าและการลงทุนมากขึ้นไม่เฉพาะกับสหรัฐฯเท่านั้น

4. เศรษฐกิจเวียดนามจะขยายตัวเพิ่มเป็น 2 เท่า ในระยะเวลา 10 ปี ซึ่งมีผลทำให้มีกิจกรรมทาง การค้าเพิ่มขึ้นด้วย

5. เป็นตลาดที่มีอัตราการขยายตัวที่เพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวมาโดยตลอด เวียดนามคาดหวังว่าจะมี ชาวต่างชาติเดินทางเข้าเวียดนามจำนวน 5 ล้านคนในปี 2551 ทำรายได้เข้าประเทศ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ เพิ่มขึ้น 14.3 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับ ปี 2550

6. รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาเส้นทางคมนาคมเชื่อมระหว่างจังหวัดและการสร้างเครื่อข่าย คมนาคมเชื่อมต่อระหว่าง จีน และอาเซี่ยน ผ่านเวียดนาม ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ เพื่อให้เป็นประตู กระจายและลำเลียงสินค้าที่สำคัญจากเวียดนามสู่ประเทศใกล้เคียง

7. การสร้างนิคมอุตสาหกรรม เขตพัฒนาเศรษฐกิจ เขตความร่วมมือเศรษฐกิจชายแดน ซึ่งมีนโยบาย ให้สิทธิพิเศษด้านลงทุน เพื่อทำให้เวียดนามเป็นศูนย์กลางการผลิต

8. เวียดนามมีความร่วมมือทางการค้ากับต่างประเทศในหลายมิติ ทั้งในกรอบ WTO, APEC,ASEAN, GMS, CLMV, ACMECS ฯลฯ

ข้อมูลเพิ่มเติมกรุงฮานอยใหม่

กรุงฮานอยเป็นที่ตั้งเมืองหลวงของประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ตั้งอยู่ทางภาคเหนือ ปัจจุบันได้มีการรวมจังหวัดใกล้เคียงเข้าด้วยกันเป็นฮานอยใหม่เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2551 คือจังหวัด ฮาเตย ทั้งจังหวัด อำเภอ เมลิงค์ ของจังหวัด วิ๊งห์ฟุ๊คและอำเภอ เลือง เซิน ของจังหวัด ฮว่าบิ่งห์ โดยมีเนื้อที่รวม ทั้งหมดได้ 3,311 ตารางกิโลเมตร มีประชากรรวมทั้งสิ้นกว่า 6 ล้านคน (แบ่งเป็นประชากรในเมือง2.5 คน คิดเป็น 40% ของประชากรทั้งหมดของกรุงฮานอยใหม่ เฉลี่ยประชากร 1,818 คนต่อตารางกิโลเมตร ทางเหนือ ของกรุงฮานอยใหม่ติดกับจังหวัดไท๋เวียนและจังหวัดบั๊คซางค์ ทางตะวันออกติดกับจังหวัดบั๊คนิงห์ ตะวันตกติดกับ จังหวัดวิงห์ฟุ๊ค ทางใต้ติดกับจังหวัดฮานามและจังหวัดฮึ่งเอียน

กรุงฮานอยใหม่ ประกอบด้วย 11 เขตและ 19 อำเภอ คือ เขต ไฮบ่าจึง ฮว่างมาย บาดิ่งห์ ฮ่วนเกี๋ยม แทงซวน เตยโฮ โก่วเสย วันซวน ลองเบียน ฮา ดง (จังหวัดฮาเตย เก่า) เมืองฮาเตย (จังหวัดฮาเตย เก่า) อำเภอ ดงแองห์ ซาเลิม ตื่อเลียม ซ๊อคเซิน และแทงจี่ ส่วนที่เพิ่มจากจังหวัดฮาเตย มี บาวี ฟุ๊คเถอะ แทจเทิ้ต ด๋านเฟื่อง ก๊วกอวาย ฮว่ายดึ๊ก เทื่องติ๊น ฟู๋เซียน แทงอวาย เจืองมี๋ มี๋ดึ๊ก อึ๋งฮว่า และที่เพิ่มจากจังหวัดวิ๋งฟุ๊ค มี เมลิงค์ เพิ่มจากจังหวัด ฮว่าบิงห์ มี เลืองเซิน สำหรับย่านธุรกิจการค้าจะอยู่ที่ เขต ฮ่วนเกี๋ยม เขตทางราชการอยู่ที่เขต บาดิ่งห์

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงฮานอย

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ