เมืองหลวง : New Delhi พื้นที่ : 3,287,263 ตารางกิโลเมตร ภาษาราชการ : Tamil and hindi ประชากร : 1.13 พันล้านคน (mid-2007) อัตราแลกเปลี่ยน : INR 0.77 : BAHT1 (12/12/51) (1) เครื่องชี้วัดเศรษฐกิจ
ปี 2007 ปี 2008
Real GDP growth (%) 6.2 6.1 Consumer price inflation (av; %) 8.3 6.7 Budget balance (% of GDP) -4.3 -4.4 Current-account balance (% of GDP) -3.6 -3.8 Commercial banks' prime rate (year-end; %) 13.0 12.1 Exchange rate ฅ:US$ (av) 43.5 47.0 โครงสร้างสินค้าออกของไทยกับอินเดีย มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด
ล้านเหรียญสหรัฐฯ
สินค้าออกสำคัญทั้งสิ้น 2,558.33 100.00 26.89 สินค้าเกษตรกรรม 124.91 4.88 11.13 สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร 109.46 4.28 87.11 สินค้าอุตสาหกรรม 2,163.24 84.56 22.91 สินค้าแร่และเชื้อเพลิง 160.71 6.28 147.33 สินค้าอื่นๆ 0 0 -100.00 โครงสร้างสินค้าเข้าของไทยกับอินเดีย มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด
ล้านเหรียญสหรัฐฯ
นำเข้าทั้งสิ้น 2,111.01 100.00 42.65 สินค้าเชื้อเพลิง 49.87 2.36 -57.15 สินค้าทุน 144.96 6.87 24.45 สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป 1,552.01 73.52 56.63 สินค้าบริโภค 301.13 14.26 56.80 สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง 62.21 2.95 91.42 สินค้าอื่นๆ 0.84 0.04 -97.35 1. มูลค่าการค้า มูลค่าการนำเข้า ส่งออก และดุลการค้าของไทย - อินเดีย 2550 2551 D/%
(ม.ค.-กย.) ล้านเหรียญสหรัฐฯ
มูลค่าการค้ารวม 3,495.97 4,669.34 33.56 การนำเข้า 1,479.83 2,111.01 42.65 การส่งออก 2,016.14 2,558.33 26.89 ดุลการค้า 536.32 447.31 -16.60 2. การนำเข้า ประเทศไทยนำเข้าจากตลาดอินเดีย เป็นอันดับที่ 18 มูลค่า 2,111.01 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 42.65 สินค้านำเข้าสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด
ล้านเหรียญสหรัฐฯ
มูลค่าการนำเข้ารวม 2,111.01 100.00 42.65 1. เครื่องเพชรพลอย 345.50 16.37 11.21 2. สินแร่โลหะอื่น ๆ 338.95 16.06 45.66 3. พืช และผลิตภัณฑ์จากพืช 282.98 13.40 226.71 4. เคมีภัณฑ์ 205.22 9.72 30.24 5. เหล็ก เหล็กกล้า 183.44 8.69 201.02 อื่น ๆ 71.85 3.40 0 3. การส่งออก ประเทศไทยส่งออกไปตลาดอินเดีย เป็นอันดับที่ 14 มูลค่า 2,558.33 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.89 สินค้าส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด
ล้านเหรียญสหรัฐฯ
มูลค่าการนำเข้ารวม 2,558.33 100.00 26.89 1. เม็ดพลาสติก 266.35 10.41 34.06 2. เหล็ก เหล็กกล้า 215.42 8.42 -27.44 3. รถยนต์ อุปกรณ์ 138.42 5.41 23.66 4. เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ 123.27 4.82 61.44 5. เครื่องยนต์สันดาป 119.75 4.68 23.81 อื่น ๆ 456.42 17.84 12.84 4. ข้อสังเกต 4.1 สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปอินเดีย ปี 2551 (มค.-กย.) ได้แก่
เม็ดพลาสติก : อินเดียเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 4 ของไทยและเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2547 - 2551 พบว่า ปี 2549 เป็นเพียงปีเดียวที่มีอัตราการขยายตัวลดลง(-28.17%) ในขณะที่ปี 2548 2550 2551 มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 188.50 91.79 และ 34.06 ตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ : อินเดียเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 7 ของไทย โดยมีอัตราขยายตัวลดลงร้อยละ 27.44 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ : เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2547 - 2551 พบว่ามีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องร้อยละ 31.29 51.4 8.69 และ 23.66 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลา เดียวกันของปีก่อน
เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ : เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2547 - 2551 พบว่า ปี 2548 เป็นเพียงปีเดียวที่มีอัตราการขยายตัวลดลง (-40.72%) ในขณะที่ปี 2549 2550 2551 มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.74 138.9 และ 61.44 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบ : เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2547 - 2551 พบว่ามีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องร้อยละ 227.08 20.45 26.58 และ 23.81 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลา เดียวกันของปีก่อน
อันดับที่ / รายการ มูลค่าล้าน อัตราการ หมายเหตุ
เหรียญสหรัฐ ขยายตัว%
4. เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ 123.27 61.44 6. อัญมณี และเครื่องประดับ 118.29 88.06 7. ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม 112.03 67.90 11. แผงวงจรไฟฟ้า 95.18 339.81 13. น้ำมันจากพืช และสัตว์ 82.60 248.35 14. เครื่องปรับอากาศ 59.32 43.48 15. น้ำมันสำเร็จรูป 51.65 832.36 16. เครื่องคอมเพรสเซอร์ 42.12 55.67 19. สายไฟฟ้า สายเคเบิล 36.12 132.26 20. ผลิตภัณฑ์ยาง 35.98 53.65 23. เครื่องใช้ไฟฟ้า 27.61 63.46 24. ตู้เย็น ตู้แช่แข็ง 25.71 49.94 25. เส้นใยประดิษฐ์ 25.17 83.13 4.3 ในบรรดาสินค้าส่งออกจากไทยไปตลาดอินเดีย ปี 2551 (ม.ค.-กย.) 25 รายการแรก สินค้าที่มีอัตราลดลง รวม 3 รายการ คือ อันดับที่ / รายการ มูลค่า อัตราการขยายตัว ล้านเหรียญสหรัฐ % 2. เหล็ก เหล็กกล้า 215.42 -27.44 12. เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์ 86.34 -27.51 22. เครื่องสำอาง สบู่ 29.64 -1.83 4.4 ข้อมูลเพิ่มเติม
อินเดียเป็นตลาดใหม่ที่น่าสนใจ เพราะเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากจีน และเป็นอีกประเทศที่ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์เท่าใดนัก ที่สำคัญไทยและอินเดียได้ทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ)ระหว่างกัน ซึ่งสินค้าเร่งลดภาษี 82 รายการได้ลดลงเหลือร้อยละ 0 แล้วตั้งแต่เดือนกันยายน 2549 เช่นเงาะ ลำไย มังคุด ทุเรียน ข้าวสาลี อาหารทะเลกระป๋อง อัญมณีและเครื่องประดับ(พลอยสี) เม็ดพลาสติก เครื่องปรับอากาศ พัดลม ตู้เย็น เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์ ดังนั้นผู้ส่งออกควรจะใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอเพื่อประโยชน์ต่อการส่งออกสินค้าดังกล่าว นายสาธิต เซกัล ประธานหอการค้าอินเดียประจำประเทศไทย ในฐานะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์(พรทิวา นาคาศัย) ซึ่งได้รับมอบหมายให้ช่วยวางแผนเพื่อผลักดันการส่งออกไปยังตลาดเอเชียใต้ กล่าวว่า ตลาดเอเชียใต้ซึ่งมี 8 ประเทศถือเป็นอีกหนึ่งตลาดใหม่ที่มีศักยภาพเช่นอินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ ศรีลังกา อัฟกานิสถาน ภูฏาน เนปาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งอินเดียซึ่งมีผู้บริโภคกว่า 1,200 ล้านคนถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพมาก เพราะเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติทางการเงินของโลกค่อนข้างน้อย โดยในปี 2552 คาดจะยังมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไมต่ำกว่า 6% ปัจจุบันมีสินค้ารายการใดบ้างที่อินเดียไม่ได้ซื้อจากไทย แต่ซื้อจากคู่แข่งและสามารถจะหันมาซื้อจากไทยเพื่อทดแทนและเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันได้ ในทางกลับกันมีสินค้ารายการใดบ้างที่ไทยซื้อจากประเทศที่สาม และจะสามารถซื้อจากอินเดียทดแทนได้บ้าง ทั้งนี้เพื่อแสดงความจริงใจและไม่เอาเปรียบระหว่างกัน ซึ่งเมื่อทราบรายการสินค้า รวมถึงสามารถเทียบราคาสินค้ารายการดังกล่าวที่ไทยและอินเดียซื้อจากประเทศที่สามแล้วสามารถแข่งขันด้านคุณภาพและราคาได้ ทั้งสองฝ่ายจะได้จัดคณะเพื่อเดินทางเจรจาธุรกิจระหว่างกันอย่างเร่งด่วน ส่วนในกลุ่มประเทศเอเชียใต้ประเทศอื่นๆ ก็จะได้นำข้อมูลมาศึกษาวิเคราะห์ และใช้กลยุทธ์การเจรจาในลักษณะเดียวกันต่อไป
นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก ได้กล่าวถึงการส่งเสริมการส่งออกไปยังตลาดใหม่ว่า อินเดียเป็นตลาดใหม่ที่กรมฯให้ความสำคัญเป็นพิเศษทั้งยังเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่เศรษฐกิจยังคงมีแนวโน้มขยายตัวดีในปีหน้าในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมากรมฯได้นำผู้ส่งออกไทย 11 ราย เข้าร่วมงาน World of Food India 2008 ณ เมืองมุมไบ ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 สินค้าที่ได้รับความสนใจ ได้แก่ ผลไม้อบแห้ง สับปะรดกระป๋อง ข้าวโพดกระป๋อง Rice Cracker ถั่วปรุงรส (โก๋แก่) ขนมไทยสำเร็จรูป และบรรจุภัณฑ์อาหาร เป็นต้น ทั้งนี้คาดว่ามูลค่าการสั่งซื้อใน 1 ปีประมาณ 80 ล้านบาท อินเดียเป็นตลาดที่มีศักยภาพมากและแต่การทำธุรกิจในอินเดียไม่เหมือนประเทศอื่น ดังนั้นแม้ว่าผู้นำเข้าอินเดียจะสนใจอาหารจากประเทศไทยแต่มักสั่งซื้อในปริมาณน้อยๆต่อครั้ง เนื่อจากผู้บริโภคมีความหลากหลายทั้งในด้านฐานะ เชื้อชาติ ชนชั้นและรสนิยม ผู้ส่งออกไทยจึงควรหาตัวแทนจำหน่ายไทยหรืออินเดียที่รวบรวมส่งสินค้าหลายชนิดไปในตู้ขนส่งเดียวกัน นอกจากนี้ชาวอินเดียจำนวนมากเป็นมังสวิรัติ อาหารที่ส่งออกจึงควรเป็นอาหารที่ชาวมังสวิรัตัรับประทานได้ ส่วนร้านอาหารไทยแม้จะมีเปิดอยู่บ้างและได้รับความสนใจจากคนมีฐานะ แต่ไม่มีร้านใดเป็นของคนไทยเลยเนื่องจากต้องใช้เงินทุนที่สูงมากไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทต่อแห่ง ดังนั้นการแสวงหาพันธมิตรร่วมลงทุนจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด นอกจากนี้อินเดียเริ่มสนใจที่จะดำเนินธุรกิจกับคนไทยมากขึ้น ธุรกิจที่ได้รับความสนใจเช่นนมเปรี้ยว โดยดัชมิลล์จะจัดตั้งศูนย์รวบรวมนมดิบที่มีอยู่มากในอินเดียและหาผู้ร่วมทุนอินเดียตั้งโรงงานแปรรูปนมพร้อมดื่มเพื่อจำหน่ายในอินเดียภายใต้แบรนด์ไทย “ดัชมิลล์” การร่วมลงทุนในธุรกิจประมงเช่นการผลิตอาหารกุ้งและการเลี้ยงกุ้ง อย่างไรก็ตามอินเดียยังคงมีภาษีนำเข้าสูงทำให้สินค้าไทยมีต้นทุนสูงไปด้วย ผู้ส่งออกไทยจึงควรศึกษาการใช้ประโยชน์จาก FTA อย่างจริงจังเพื่อลดอุปสรรคในการส่งออกสินค้าไปยังอินเดีย
อินเดียเป็นประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องเฉลี่ยราวร้อยละ 9 ต่อปี ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ จากรายงานของ McKinsey Global Institute (MGI) ชึ้ให้เห็นว่า หากอินเดียสามารถรักษาอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ระดับดังกล่าวต่อไปได้ จะทำให้รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนในอินเดียเพิ่มขึ้นกว่าสามเท่าในระยะเกือบสองทศวรรษข้างหน้า ส่งผลให้ประชากรกว่าร้อยล้านคนหลุดพ้นจากความยากจนและขยับขึ้นมาอยู่ในกลุ่มชนชั้นกลางได้ ซึ่งจะทำให้จำนวนชนชั้นกลางของอินเดียที่มีกำลังซื้อค่อนข้างสูง (รายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีอยู่ระหว่าง 4,150-20,740 ดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นเป็น 583 ล้านคนในปี 2568 อินเดียจึงเป็นตลาดที่นักลงทุนไทยไม่ควรมองข้ามอย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมานักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนผลิตสินค้าจำหน่ายในอินเดียค่อนข้างน้อยหากเทียบกับจำนวนประชากรและกำลังซื้อของชาวอินเดีย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยังไม่คุ้นเคยกับลักษณะตลาดตลอดจนพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าของชาวอินเดีย แม้ว่าชาวอินเดียจะนิยมสินค้าไทยมากก็ตาม ดังนั้น ก่อนเข้าไปบุกตลาดอินเดียนักลงทุนไทยควรศึกษากลยุทธ์การตลาดซึ่งมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้
- การทำตลาดแบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-commerce) ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในอินเดีย โดยมูลค่าการซื้อขายสินค้าผ่าน e-commerce เพิ่มขึ้น มากกว่า 17 เท่าตัวในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ สินค้าที่ได้รับความนิยมในการซื้อขายผ่าน e-commerce ได้แก่ ของขวัญ เสื้อผ้า แผ่น CD/VCD/DVD หนังสือ ยา และอุปกรณ์การเรียน สำหรับเว็บไซต์ที่เป็นช่องทางซื้อขายสำคัญ ได้แก่ www.ebay.in, www.shopping-rediff.com, www.reliablegreetlangs.com, www.shopping-expomarkets.com เป็นต้น
- การโฆษณาด้วยพรีเซ็นเตอร์ที่มีเชื่อเสียง พรีเซ็นเตอร์นางแบบหรือนายแบบในอินเดียมีอิทธิพลมากต่อพฤตกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภค ทั้งนี้ สินค้าที่จหน่ายในอินเดียจะได้รับความสนใจมากขึ้นหากพรีเซ็นเตอร์โฆษณาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือได้รับความนิยมมาก และยิ่งผู้บริโภคมีความชื่นชอบพรีเซ็นเตอร์โฆษณามากเท่าใด ก็จะยิ่งส่งผลให้ความรู้สึกที่มีต่อสินค้ารวมทั้งตราสินค้านั้นดีขึ้นตาม ซึ่งจะมีส่วนช่วยกระตุ้นยอดจำหน่ายสินค้าดังกล่าว
- การให้ของแถม ปัจจัยหนึ่งในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าของของชาวอินเดียอยู่กับของแถมเพิ่มเติมจากการซื้อสินค้าในราคาปกติ สินค้าที่นิยมจูงใจผู้บริโภคด้วยของแถม ได้แก่ โทรทัศน์ เครื่องล้างจาน ตู้เย็น และเสื้อผ้า ของแถมส่วนใหญ่มักเป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น แปรงสีฟัน สบู่ และน้ำมันพืช ดังนั้น การทำการตลาดในอินเดียนักลงทุนไทยควรพิจารณาให้ของแถม เพื่อจูงใจผู้บริโภคควบคู่ไปด้วยโดยสามารถประสานงานกับหุ้นส่วนชาวอินเดียในการจัดการส่งเสริมการขายต่างๆ เพื่อดึงดูดผู้บริโภค
- การสร้างภาพลักษณ์ของสินค้าให้เป็นมติกับสิ่งแวดล้อมปัจจุบันชาวอินเดียให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นอันมาก และเริ่มนิยมสินค้าและบรรจุภัณฑ์ที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดลอ้ม จึงส่งผลกระทบต่อแผนการตลาดของสินค้าที่จำหน่ายในอินเดีย ดังนั้น นักลงทุนไทยควรเน้นการสร้างภาพลักษณ์ของสินค้าและบรรจุภัณฑ์ให้เป็นมิตร กับสิ่งแวดล้อม และสร้างความสมดุลให้แก่สภาพแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้บริโภคเป็นอย่างมาก
- การเข้าร่วมงานแสดงสินค้า การประชาสัมพันธ์สินค้า ด้วยการเข้าร่วมงานแสดงสินค้านับเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะทำให้สินค้าไทยเป็นที่รู้จักมากขึ้นในอินเดีย อีกทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ซื้อและผู้ขายได้พบปะพูดคุยกันเพื่อนแนะนำและสอบถามข้อมูลรายละเอียดสินค้าได้อย่างใกล้ชิด
ที่มา: http://www.depthai.go.th