เมืองหลวง : Washington , DC พื้นที่ : 9,161,923 ตารางกิโลเมตร ภาษาราชการ : English ประชากร : 301.6 ล้านคน (1 ก.ค. 2550) อัตราแลกเปลี่ยน : US$ : 34.745 บาท (20/01/52) (1) เครื่องชี้วัดเศรษฐกิจ
ปี 2007 ปี 2008
Real GDP growth (%) 2.0 1.8 Consumer price inflation (av; %) 2.9 4.5 Budget balance (% of GDP) -1.2 -2.5 Current-account balance (% of GDP) -5.3 -4.7 Commercial banks' prime rate (year-end; %) 5.0 2.2 Exchange rate ฅ:US$ (av) 1.37 1.51 โครงสร้างสินค้าออกของไทยกับสหรัฐอเมริกา มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด
ล้านเหรียญสหรัฐฯ
สินค้าออกสำคัญทั้งสิ้น 20,274.50 100.00 4.42 สินค้าเกษตรกรรม 1,825.82 9.01 18.71 สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร 2,050.56 10.11 15.45 สินค้าอุตสาหกรรม 15,858.37 78.22 1.80 สินค้าแร่และเชื้อเพลิง 539.76 2.66 63.59 สินค้าอื่นๆ 0.0 0.0 -100.00 โครงสร้างสินค้าเข้าของไทยกับสหรัฐอเมริกา มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด
ล้านเหรียญสหรัฐฯ
นำเข้าทั้งสิ้น 11,391.01 100.00 19.98 สินค้าเชื้อเพลิง 362.83 3.19 57.77 สินค้าทุน 3,808.04 33.43 11.19 สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป 5,858.43 51.43 26.52 สินค้าบริโภค 1,230.08 10.80 27.57 สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง 97.33 0.85 16.05 สินค้าอื่นๆ 34.29 0.30 -78.70 1. มูลค่าการค้า มูลค่าการนำเข้า ส่งออก และดุลการค้าของไทย - สหรัฐอเมริกา 2550 2551 D/%
(ม.ค. - ธ.ค.) ล้านเหรียญสหรัฐฯ
มูลค่าการค้ารวม 28,909.97 31,665.51 9.53 การส่งออก 19,415.61 20,274.50 4.42 การนำเข้า 9,494.37 11,391.01 19.98 ดุลการค้า 9,921.24 8,883.49 -10.46 2. การนำเข้า ประเทศไทยนำเข้าจากสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับที่ 3 มูลค่า 11,391.01 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.98 สินค้านำเข้าสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด
ล้านเหรียญสหรัฐฯ
มูลค่าการนำเข้ารวม 11,391.01 100.00 19.98 1. แผงวงจรไฟฟ้า 1,162.77 10.21 -16.74 2. เคมีภัณฑ์ 1,150.47 10.10 38.94 3. เครื่องจักรกล 1,132.22 9.94 20.43 4. เครื่องคอมพิวเตอร์ 860.46 7.55 -1.72 5. เหล็ก เหล็กกล้า 732.15 6.43 142.31 อื่น ๆ 1,263.18 11.09 7.78 3. การส่งออก ประเทศไทยส่งออกไปเป็นสหรัฐอเมริกา อันดับที่ 1 มูลค่า 20,274.50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.42 สินค้าส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด
ล้านเหรียญสหรัฐฯ
มูลค่าการนำเข้ารวม 20,274.50 100.00 4.42 1. เครื่องคอมพิวเตอร์ 3,426.57 16.90 1.13 2. เสื้อผ้าสำเร็จรูป 1,408.65 6.95 -8.09 3. อาหารทะเลกระป๋อง 1,191.99 5.88 14.18 4. อัญมณี 1,075.88 5.31 4.78 5. ผลิตภัณฑ์ยาง 955.91 4.71 11.22 อื่น ๆ 3,931.79 19.39 -5.97 4. ข้อสังเกต 4.1 สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปสหรัฐอเมริกา ปี 2551 (มค.-ธค.) ได้แก่
เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ : สหรัฐอเมริกา เป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 2 ของไทยรองจากจีน และเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2547 - 2551 พบว่ามีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องร้อยละ 23.39 44.83 17.40 และ 1.13 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
เสื้อผ้าสำเร็จรูป : สหรัฐอเมริกา เป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของไทยและเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2547 - 2551 พบว่า ปี 2549-2551 มีอัตราการขยายตัวลดลงอย่างต่อเนื่องร้อยละ -2.26 -5.81 -8.09 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
อาหารทะเลกระป๋องฯ : สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของไทยและเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2547 - 2551 พบว่า ปี 2550 เป็นเพียงปีเดียวที่มีอัตราการขยายตัวลดลง (-6.04%) ในขณะที่ปี 2548 2549 2551 มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.47 24.25 และ 14.18 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลา เดียวกันของปีก่อน
อัญมณีและเครื่องประดับ : สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 4 ของไทยและเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2547 - 2551 พบว่า ปี 2549 เป็นเพียงปีเดียวที่มีอัตราการขยายตัวลดลง (-1.84%) ในขณะที่ปี 2548 2550 2551 มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.16 9.37 และ 33.16 ตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเวลา เดียวกันของปีก่อน
ผลิตภัณฑ์ยาง : สหรัฐอเมริกา เป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของไทยและเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2547 - 2551 พบว่ามีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องร้อยละ 29.61 23.36 11.87 และ 11.22 ตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
อันดับที่ / รายการ มูลค่า อัตราการขยายตัว หมายเหตุ ล้านเหรียญสหรัฐ % 10. ยางพารา 581.39 30.35 12. น้ำมันดิบ 507.41 69.22 15. ข้าว 328.72 49.11 23. เลนซ์ 230.34 38.72 4.3 ในบรรดาสินค้าส่งออกจากไทยไปสหรัฐอเมริกาปี 2551 (ม.ค.-ธ.ค.) 25 รายการแรก สินค้าที่มีอัตราลดลง รวม 7 รายการ คือ อันดับที่ / รายการ มูลค่า อัตราการขยายตัว ล้านเหรียญสหรัฐ % 2. เสื้อผ้าสำเร็จรูป 1,408.65 -8.09 7. แผงวงจรไฟฟ้า 699.83 -10.73 8. เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์ 699.56 -2.80 17. รถยนต์ อุปกรณ์ 313.24 -3.07 21. เฟอร์นิเจอร์ 245.25 -25.37 22. รองเท้า และชิ้นส่วน 236.67 -2.52 25. เครื่องปรับอากาศ 160.96 -14.19 4.4 ข้อมูลเพิ่มเติม
การค้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับในสหรัฐฯ สามารถทำได้อย่างเสรี และยังมีโอกาสสูง โดยกลุ่มผู้บริโภคที่น่าสนใจมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มผู้บริโภคชาวอเมริกันผิวขาว ที่ชอบเครื่องประดับ เพชรที่ทำด้วยทองคำ 18 กะรัตหรือโลหะมีค่าประเภทอื่ๆ เช่น แพลตตินัม และเงิน รองลงมาคือ กลุ่มชาวฮิสแปนิก ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในสหรัฐฯ ครอบคลุมเชื้อสายสเปน ละตินอเมริกา คิวบา เม็กซิโก และเปอร์โตริโก เป็นต้น และปัจจุบันมีจำนวนประชากรประมาณ 15% หรือ 46 ล้านคน ที่ชอบทองคำและเครื่องประดับที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ทั้งนี้ หากแยกตามกลุ่มอายุ พบว่า กลุ่มผู้บริโภคอายุระหว่าง 55-64 ปี ประมาณ 26 ล้านคน เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อมากที่สุด รองลงมา กลุ่มอายุระหว่าง 35-44 ปี ประมาณ 48 ล้านคน ซึ่งการทำตลาดต้องอาศัยกลยุทธ์ที่แตกต่างกันไปทั้งในด้านการกำหนดรูปแบบผลิตภัณฑ์ ช่องทางการจำหน่ายและการส่งเสริมการจำหน่ายอย่างไรก็ตาม จากวิกฤติการณ์ทางการเงินในสหรัฐฯ ได้ส่งผลให้ผู้นำเข้าสหรัฐฯ มีความเข้มงวดในการสั่งซื้อสินค้า และซื้อสินค้าน้อยลง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาสินค้าตกค้างในสต๊อกผู้ผลิต ผู้ค้าปลีกหลายรายต้องปิดกิจการไป ขณะที่ผู้บริโภคก็ชะลอการซื้อสินค้าและหันไปบริโภคเครื่องประดับเงิน และพลอยเนื้ออ่อนมากขึ้นแทนที่จะเป็นเครื่องปะดับทองและพลอยเนื้อแข็ง และยังมีการหันไปสั่งซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ตและช่องทางการขายตรงอื่นๆ มากขึ้น นอกจากนี้ ไทยยังมีคู่แข่งอีกเป็นจำนวนมาก ในตลาดสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นอินเดีย อิตาลี และจีน แม้ว่าจีนจะไม่ได้รุกเข้าไปตลาดสหรัฐฯ อย่างดุเดือดเช่นเดียวกับอินเดีย แต่สินค้าจากจีนสามารถครองส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ได้สูงกว่าไทย โดยจีนมีส่วนแบ่งร้อยละ 15 ไทยร้อยละ 12 และจีนเองยังคงพัฒนาคุณภาพสินค้าทั้งด้านการออกแบบ และสร้างตราสินค้า นอกเหนือจากการมุ่งแข่งขันในด้านราคาซึ่งจะกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของไทย แม้แนวโน้มตลาดสหรัฐฯ จะชะลอตัวลง และผู้บริโภคจะลดการใช้จ่ายเพื่อซื้อเครื่องประดับลง แต่หากผู้ผลิตส่งออกไทย สามารถปรับรูปแบบการผลิตและรู้เท่าทันพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ไทยก็จะสามารถยังคง รักษาส่วนแบ่งสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับในสหรัฐฯ ได้ โดยสินค้าที่มีโอกาส ก็คือ สินค้าที่มีราคาถูกลง แต่คุณภาพต้องใกล้เคียงของเดิม เช่น เครื่องประดับที่มีปริมาณเนื้อโลหะมีค่าต่ำลงจาก 14 กะรัต เหลือเพียง 10 กะรัต สินค้าที่ตัวเรือนทำด้วยโลหะสีขาวจะเปลี่ยนจากแพลตินั่ม ทองขาวไปสู่เครื่องประดับเงิน เครื่องประดับผู้ชายจากแพลตินัม เงินและทองขาว ไปสู่ สแตนเลส ไททาเนียม และทังสเตน สินค้าที่อิงกระแสอนุรักษ์ธรรมชาติและสภาพแวดล้อมจะมาแรง หากสามารถโฆษณาประชาสัมพันธ์ได้ว่า สินค้าที่ผลิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหรือ Green Jewelry ก็จะมีโอกาสขายได้สูง สินค้าที่มีจุดขายเน้นความรับผิดชอบต่อสังคมซึ่งหากสามารถแจกแจงแหล่งที่มาของวัตถุดิบและกระบวนการผลิตได้ทุขั้นตอนโดยผู้บริโภคสามารถสืบค้นหาแหล่งที่มาของการผลิตเครื่องประดับที่ซื้อได้ ก็จะทำให้โอกาสขายได้สูงขึ้น
ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2551 ไทยมีสินค้าที่มีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐตั้งแต่ 50% ขึ้นไป แต่มูลค่านำเข้ารวมไปสหรัฐจากทั่วโลกต่ำกว่ามูลค่าขั้นต่ำ(De Minimis Value) ซึ่งปี2551 สหรัฐกำหนดไว้ที่ 19 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 6 รายการ ได้แก่ ดอกกล้วยไม้สด ส่วนแบ่งตลาด 51.9% ทุเรียนสด ส่วนแบ่งตลาด 100% มะละกอตากแห้ง ส่วนแบ่งตลาด 86.93% มะขามตากแห้งส่วนแบ่งตลาด 71.49% มะละกอแปรรูป ส่วนแบ่งตลาด 68.18% และทองแดงบริสุทธิ์ ส่วนแบ่งตลาด 49.17% โดยกรมการค้าต่างประเทศจะยื่นคำร้องขอผ่อนผันไม่ให้ระงับสิทธิพิเศษ กรณี De Minimis Waiver ซึ่งเป็นหนึ่งในเงื่อนไขการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร(จีเอสพี) ให้สินค้าทั้ง 6 รายการประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2552 นอกจากนี้ในช่วงดังกล่าว สหรัฐให้สิทธิจีเอสพี แก่สินค้าไทย 3,400 รายการ โดยไทยใช้สิทธิจีเอสพี ส่งออกไปสหรัฐมูลค่า 2,690.28 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 87% ของมูลค่าส่งออกของสินค้าที่ได้สิทธิจีเอสพี ประกอบด้วยสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตรบางรายการ โดยสินค้าที่ได้รับสิทธิจีเอสพี จะได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าสหรัฐ เป็นการเพิ่มโอกาสของสินค้าไทยให้แข่งขันในตลาดสหรัฐได้
ที่มา: http://www.depthai.go.th