เมืองหลวง : Tokyo พื้นที่ : 377,899 ตารางกิโลเมตร ภาษาราชการ : Japanese ประชากร : 127.8 ล้านคน (October 2006) อัตราแลกเปลี่ยน : 100 เยน = 38.514 บาท (12//01/52) (1) เครื่องชี้วัดเศรษฐกิจ
ปี 2007 ปี 2008
Real GDP growth (%) 1.9 1.4 Consumer price inflation (av; %) 0.0 0.4 Budget balance (% of GDP) -2.6 -2.4 Current-account balance (% of GDP) 4.9 4.6 Commercial banks' prime rate (year-end; %) 1.8 2.1 Exchange rate ฅ:US$ (av) 117.4 105.0 โครงสร้างสินค้าออกของไทยกับญี่ปุ่น มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด
ล้านเหรียญสหรัฐฯ
สินค้าออกสำคัญทั้งสิ้น 18,787.21 100.00 14.12 สินค้าเกษตรกรรม 2,685.80 14.30 32.44 สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร 1,600.61 8.52 30.27 สินค้าอุตสาหกรรม 13,398.68 71.32 7.82 สินค้าแร่และเชื้อเพลิง 1,102.01 5.87 71.99 สินค้าอื่นๆ 0.12 0.0 -99.92 โครงสร้างสินค้าเข้าของไทยกับญี่ปุ่น มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด
ล้านเหรียญสหรัฐฯ
นำเข้าทั้งสิ้น 30,904.20 100.00 18.83 สินค้าเชื้อเพลิง 102.71 0.33 -11.16 สินค้าทุน 11,561.47 37.41 19.30 สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป 15,062.13 48.74 20.96 สินค้าบริโภค 1,415.21 4.58 12.66 สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง 2,758.40 8.93 14.32 สินค้าอื่นๆ 4.28 0.01 -94.65 1. มูลค่าการค้า มูลค่าการนำเข้า ส่งออก และดุลการค้าของไทย — ญี่ปุ่น 2550 2551 D/%
(ม.ค.-พ.ย.) ล้านเหรียญสหรัฐฯ
มูลค่าการค้ารวม 42,471.37 49,691.41 17.00 การนำเข้า 26,008.14 30,904.20 18.83 การส่งออก 16,463.23 18,787.21 14.12 ดุลการค้า -9,544.90 -12,116.98 26.95 2. การนำเข้า ประเทศไทยนำเข้าจากตลาดญี่ปุ่น เป็นอันดับที่ 1 มูลค่า 30,904.20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.83 สินค้านำเข้าสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด
ล้านเหรียญสหรัฐฯ
มูลค่าการนำเข้ารวม 30,904.20 100.00 18.83 1. เครื่องจักรกล 5,961.75 19.29 22.25 2. เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ 4,898.88 15.85 43.13 3. เครื่องจักรไฟฟ้า 2,781.53 9.00 10.53 4. เคมีภัณฑ์ 2,629.90 8.51 27.53 5. แผงวงจรไฟฟ้า 2,447.14 7.92 -9.57 อื่น ๆ 1,613.88 5.22 -1.38 3. การส่งออก ประเทศไทยส่งออกไปตลาดญี่ปุ่น เป็นอันดับที่ 2 มูลค่า 18,787.21 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.12 สินค้าส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด
ล้านเหรียญสหรัฐฯ
มูลค่าการนำเข้ารวม 18,787.21 100.00 14.12 1. แผงวงจรไฟฟ้า 1,018.39 5.42 -10.23 2. เครื่องคอมพิวเตอร์ฯ 1,009.60 5.37 -5.80 3. ยางพารา 951.85 5.07 20.43 4. รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนฯ 916.03 4.88 33.32 5. ไก่แปรรูป 602.60 3.21 94.43 อื่น ๆ 6,767.73 36.02 8.86 4. ข้อสังเกต 4.1 สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปญี่ปุ่น ปี 2551 (ม.ค.-พ.ย.) ได้แก่
แผงวงจรไฟฟ้า : ญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 2 ของไทยรองจากฮ่องกง โดยมีอัตราขยายตัวลดลงร้อยละ 10.23 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ : ญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 5 ของไทย โดยมีอัตราขยายตัวลดลงร้อยละ 0.36 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ยางพารา : ญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 3 ของไทยและเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2547 - 2551 พบว่า ปี 2550 เป็นเพียงปีเดียวที่มีอัตราการขยายตัวลดลง (-13.29%) ในขณะที่ปี 2548 2549 2551 มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.29 31.14 20.43 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ : ญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 4 ของไทยและเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2547 - 2551 พบว่ามีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องร้อยละ 4.88 25.16 13.38 33.32 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ไก่แปรรูป : ญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของไทยและเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2547 - 2551 พบว่ามีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องร้อยละ 29.93 0.63 4.10 และ 94.43 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
อันดับที่ / รายการ มูลค่า อัตราการขยายตัว หมายเหตุ ล้านเหรียญสหรัฐ % 4. รถยนต์ อุปกรณ์ฯ 916.03 33.32 5. ไก่แปรรูป 602.60 94.43 6. น้ำมันสำเร็จรูป 595.26 376.39 24. เนื้อปลาสดแช่แข็ง 256.35 60.62 11. ผลิตภัณฑ์พลาสติก 480.09 36.60 15. ผลิตภัณฑ์ยาง 372.86 37.43 4.3 ในบรรดาสินค้าส่งออกจากไทยไปตลาดญี่ปุ่น ปี 2551 (ม.ค.-พ.ย.) 25 รายการแรก สินค้าที่มีอัตราลดลง รวม 5 รายการ คือ อันดับที่ / รายการ มูลค่า อัตราการขยายตัว ล้านเหรียญสหรัฐ % 1. แผงวงจรไฟฟ้า 1,018.39 -10.23 2. เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ 1,009.60 -5.80 10. เครื่องจักรกล และส่วนประกอบ 480.73 -1.18 22. เครื่องรับวิทยุและส่วนประกอบ 269.45 -22.10 25. เตาไมโครเวฟ 244.47 -9.99 4.4 ข้อมูลเพิ่มเติม
ภายหลังการลงนามใน "ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจเวียดนาม-ญี่ปุ่น"(Vietnam-Japan Economic Partnership Agreement" หรือ VJEPA เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2551 ที่ผ่านมาซึ่ง VJEPA จะมีผลในกลางปี 2552 ภายหลังจากที่ทั้ง 2 ประเทศ ได้ผ่านกระบวนการให้สัตยาบัน(ratification) ในประเทศสมบูรณ์หลังการให้สัตยาบันแล้ว VJEPA จะมีผลให้ 90% ของการค้าระหว่างประเทศทั้งสองไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าและทั้ง 2 ประเทศต้องเริ่มดำเนินการปรับปรุงบรรยากาศทางกฎหมาย บรรยากาศทางธุรกิจและสิ่งอำนวยความสะดวกด้าน software ตามแผนการทันที เพื่อเป็นการวางรากฐานสำหรับการเพิ่มปริมาณการค้าระหว่าง 2 ประเทศ รวมถึงการเปิดเสรีและความร่วมมือทั้งด้านการเกษตร อุตสาหกรรม บริการ การค้าและการลงทุน การจัดการด้านทรัพยากรมนุษย์ สิ่งแวดล้อมและการขนส่ง ทั้งนี้ "กระทรวงพาณิชย์" ตั้งข้อสังเกตถึงความตกลงดังกล่าวไว้ ดังนี้
1. อัตราภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรของญี่ปุ่นไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงนักแต่มาตรการสุขอนามัย(SPS) ที่เข้มงวดเป็นอุปสรรคต่อการเข้าตลาด ดังนั้นการเปิดตลาดสินค้าเกษตรของญี่ปุ่น ยกเว้นข้าวและข้าวสาลี ซึ่งญี่ปุ่นจัดไว้ใน sensitive list จึงไม่ได้ทำให้เวียดนามได้รับประโยชน์จากอัตราภาษีเป็น 0% แต่ประโยชน์ที่เวียดนามได้รับมากกว่าการเปิดตลาด คือ ความร่วมมือจากญี่ปุ่นในการกำหนดมาตรฐานสินค้าเกษตรและที่สำคัญ คือ ผลทางจิตวิทยาที่รัฐบาลเวียดนามออกมากระตุ้นให้ผู้ประกอบการในประเทศได้ร่วมมือกันปรับปรุง corporate governance ความสามารถในการแข่งขันและคุณภาพของสินค้า
2. ปัจจุบันสินค้าเวียดนามหลายรายการ ยังไม่สามารถเข้าตลาดญี่ปุ่นได้ไม่เฉพาะสินค้าเกษตรเท่านั้น แม้แต่สินค้าอุตสาหกรรมก็เช่นกัน สินค้าอุตสาหกรรมที่สามารถนำเข้าญี่ปุ่นได้ ส่วนมากจะเป็นสินค้าจากโรงงานที่เป็นการลงทุนร่วมและบริหารโดยบริษัทญี่ปุ่น หรือเป็นบริษัทญี่ปุ่น 100%ดังนั้นเป้าหมายสำคัญของเวียดนาม จึงไม่เน้นเฉพาะการเติบโตของการส่งออกไปยังตลาดญี่ปุ่นเท่านั้นแต่ยังต้องการยกระดับความน่าเชื่อถือของสินค้าในตลาดโลกด้วย เพราะถ้าสินค้าเวียดนามสามารถบรรลุเงื่อนไขที่ญี่ปุ่นกำหนดไว้ได้ ก็ย่อมเป็นหลักประกันถึงคุณภาพของสินค้า
3. แม้ว่าขณะนี้จะมีสินค้าของไทยหลายรายการ ที่ต้องแข่งกับเวียดนามในตลาดญี่ปุ่น อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้าสำเร็จรูป อาหารทะเลแช่เย็นแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์ไม้ เฟอร์นิเจอร์ไม้ ผลิตภัณฑ์ยาง และอาหารทะเลสำเร็จรูป และมีบางรายการ เช่น เสื้อผ้าสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์ไม้ ที่เวียดนามมีส่วนแบ่งตลาดสูงกว่าไทย และมีอัตราขยายตัวของการนำเข้าของญี่ปุ่นจากเวียดนามเพิ่มขึ้นมาก ก็ตาม"กระทรวงพาณิชย์" มั่นใจว่าความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจเวียดนาม-ญี่ปุ่นดังกล่าว จะไม่ทำให้ฐานะการแข่งขันของสินค้าไทยกับเวียดนามในตลาดญี่ปุ่นลดลง เนื่องจากญี่ปุ่นได้เปิดตลาดให้ไทยภายใต้ JTEPA และ AJCEP แล้วในระดับหนึ่ง
จากข้อตจากลง JTEPA สินค้าทูน่ากระป๋องจะยกเลิกภาษีลงเป็น 0% ภายใน 5 ปี ทยอยลดปีละ 1.6% (อัตราภาษีนำเข้าปัจจุบันอยู่ที่ 9.6%) ทำให้ สินค้าทูน่ามีโอกาสขยายในตลาดญี่ปุ่นได้มาก โดยขณะนี้ได้เกิดความเคลื่อนไหวทยอยปิดกิจการของผู้ผลิตทูน่าในญี่ปุ่นแล้ว และเตรียมแผนที่จะมาใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตส่งกลับไปจำหน่ายในญี่ปุ่นแทน เนื่องจากต้นทุนการผลิตทูน่าในญี่ปุ่นค่อนข้างสูงโดยเฉพาะต้นทุนด้านแรงงาน การหันมานำเข้าจากไทยในอัตราภาษีที่ทยอยลดลงและยกเลิกในที่สุดน่าจะคุ้มกว่าปัจจุบันชาวญี่ปุ่นบริโภคทูน่ากระป๋อง 12 ล้านหีบ/ปี(1 หีบบรรจุ 48กระป๋อง)ในจำนวนนี้นำเข้าจากไทยประมาณ 3-4 ล้านหีบ/ปี คิดเป็นสัดส่วน 25-30% ของการนำเข้า ผลจาก JTEPA คาดไทยจะสามารถส่งออกทูน่าไปญี่ปุ่นได้เพิ่มขึ้น 10-12% ในปีแรกของการลดภาษี
นอกจากนี้ก็มีสินค้ากุ้งซึ่งจะยกเลิกภาษีทันทีที่ความตกลงมีผลบังคับใช้นั้น กลุ่มรูบิคอนกรุ๊ป ที่ดูแลอยู่ก็มั่นใจว่าจะสามารถเพิ่มสัดส่วนการส่งออกกุ้งไปญี่ปุ่นได้เป็น 30% จากปัจจุบันสัดส่วน 20% เนื่องจากมีฐานลูกค้าอยู่แล้วบริษัทไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่นโปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ทียูเอฟ กล่าวว่า บริษัทจะใช้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีจาก JTEPA อย่างเต็มที่โดยตั้งเป้าหมายจะส่งออกทูน่ากระป๋อง อาหารทะเลแช่แข็งทั้งกุ้ง ปลาหมึก และอาหารแมวไปญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอีก 10-20% ภายในปีแรกที่ข้อตกลงมีผลบังคับใช้ จากที่ญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกของบริษัทสัดส่วน 20% และคิดเป็นรายได้สัดส่วน 10% ของรายได้รวม โดยตั้งเป้ารายได้รวมในปีนี้ที่ 57,000 ล้านบาท จากปี 2549 มีรายได้ 55,000 ล้านบาท
ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท มาลีสามพราน จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า บริษัทได้รุกเข้าไปทำตลาดน้ำผลไม้ในญี่ปุ่นผ่านช่องทางซูเปอร์มาร์เก็ตและคอนวีเนี่ยนสโตร์รายใหญ่ในญี่ปุ่นโดยได้วางจำหน่ายน้ำฝรั่งและน้ำสับปะรดบรรจุกล่องยูเอชทีได้แล้ว 700-800 สาขา และอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อวางจำหน่ายน้ำผลไม้ในเซเว่น-อีเลฟเว่นของญี่ปุ่นอีกกว่า 10,000 สาขา หากความตกลง JTEPA มีผลบังคับใช้และสินค้าน้ำผลไม้ได้รับการลดภาษี(ภาษีนำเข้าปัจจุบัน 6-34%) จะทำให้บริษัทสามารถส่งออกไปญี่ปุ่นได้เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
ขณะที่เครือเบทาโกร กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า ล่าสุดพันธมิตรจากญี่ปุ่นได้มาร่วมทุนกับเครือฯ เพื่อลงทุนตั้งโรงงานแปรรูปเนื้อไก่ และเนื้อสุกรอีก2โรง จะแล้วเสร็จปลายปีนี้ มีเป้าหมายส่งออกไปยังตลาดญี่ปุ่น ตั้งโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมเครือเบทาโกรที่ จ.ลพบุรี(พันธมิตรของเครือเบทาโกรประกอบด้วย อายิโนะโมะโต๊ะ ซูมิโตโม และไดนิปปอนฯ)
ขณะเดียวกันในส่วนของกรมประมงจะเจรจากับรัฐบาลญี่ปุ่น กรณีการตรวจสินค้าหน้าด่านซึ่งปัจจุบันใช้เวลานานถึง 15-20 วันจะขอให้ผ่อนผันลง รวมถึงเจรจาให้การรับรองโรงงานกุ้งของไทยเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันทั้งหมด 280 โรง รับรองเพียง 13 โรง ซึ่งโรงงานที่ยังไม่ได้รับการรับรองจะไม่ค่อยได้รับความสะดวก ในเบื้องต้นอยากให้ได้รับรับรองเพิ่มขึ้นเป็น 30-40 โรง เพื่อให้ไทยได้ประโยชน์จากJTEPA อย่างเต็มที่
ขิง เป็นวัตถุดิบจากภาคการเกษตรของไทยที่ส่งออกตลาดญี่ปุ่นสร้างรายได้เข้าประเทศไม่น้อยกว่าปีละหลายร้อยล้านบาท โดยเฉพาะ ญี่ปุ่นถือเป็นตลาดรายใหญ่ของไทย เพราะการ รับประทานขิงดองถือเป็นวัฒนธรรมการกินของคนญี่ปุ่น แต่เนื่องจากญี่ปุ่นมีพื้นที่จำกัด ทำให้การเพาะปลูกขิงไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภคภายในประเทศ จึงต้องนำเข้าขิงดองจากต่างประเทศ 100% โดยมีการนำเข้าจากไทยมากที่สุด บริษัท ชวี่ เฉวียน ฟู้ดส์ ผู้ผลิตขิงดอง ขิงแปรรูป และมะเขือม่วงดองส่งออกรายใหญ่ของไทย ดำเนินธุรกิจในลักษณะร่วมทุนกับไต้หวัน เดิมตั้งอยู่ที่ไต้หวัน แต่ได้ย้ายกลับมาผลิตในไทยเมื่อปี 2536 ดำเนินธุรกิจผลิตขิงดองกึ่งสำเร็จรูปส่งออกตลาดญี่ปุ่นเมื่อปี 2541 ได้ทดลองผลิตขิงแปรรูปส่งจำหน่าย ซึ่งได้รับการยอมรับจากลูกค้า จากนั้นจึงผลิตมะเขือม่วงดองเพิ่มโดยผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่เป็นการผลิตภายใต้แบรนด์ของลูกค้า ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเป็นการผลิตเพื่อการส่งออก 100% ไม่มีจำหน่ายในประเทศ จับกลุ่มลูกค้าตลาดบนเป็นหลัก เนื่องจากไม่ต้องการแข่งขันด้านราคากับประเทศคู่แข่งจากเวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย โดยเฉพาะจีนที่มีราคาถูกกว่า แต่คุณภาพมั่นใจว่ายังสู้ไทยไม่ได้ ทำให้ผลิตภัณฑ์ขิงดองและขิงแปรรูปที่บริษัทผลิตขึ้นได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค สามารถครองส่วนแบ่งตลาดในญี่ปุ่นได้ 30-35% ปัจจุบัน ญี่ปุ่นถือเป็นตลาดส่งออกหลักของบริษัทถึง 98% ที่เหลือกระจายอยู่ในตลาดสหรัฐอเมริกา และยุโรป ซึ่งเป็นแหล่งที่มีคนญี่ปุ่น จีน และไต้หวันอาศัยอยู่ แต่ละปีสามารถสร้างรายได้ให้บริษัทกว่า 200—350 ล้านบาท ทั้งนี้ การตัดสินใจย้ายฐานการผลิตกลับมาไทย ทำให้ต้องหาพื้นที่สำหรับ การเพาะปลูกขิงสายพันธุ์จากญี่ปุ่นโดยเฉพาะขึ้น และพบว่าพื้นที่ทางภาคเหนือมีความเหมาะสม ประกอบด้วย เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง น่าน และพะเยา บริษัทจึงได้มาจัดตั้งโรงงานอยู่ที่ อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย เหตุที่ต้องใช้ขิงสายพันธุ์ญี่ปุ่นเป็นวัตถุดิบในการผลิต เนื่องจากขิงญี่ปุ่นมีกากไฟเบอร์น้อย รสชาติเผ็ดน้อยกว่าขิงไทย ปัจจุบันมีการเพาะปลูกขิงสายพันธุ์ญี่ปุ่นเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนประมาณ 2 หมื่นไร่ นอกจากนี้ยังเพาะปลูกกันมากที่ จ.เพชรบูรณ์ พิษณุโลก และเลย รวม พื้นที่เพาะปลูกขิงทั่วประเทศทั้งสิ้นกว่า 3 หมื่นไร่ ส่วนพื้นที่เพาะปลูกมะเขือม่วงประมาณ 300 ไร่ กระจายอยู่ในพื้นที่เชียงราย เชียงใหม่ และลำปาง
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 1 เม.ย.2551 ญี่ปุ่นได้ประกาศห้ามนำเข้าบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากไม้ หรือลังไม้ ที่ไม่ผ่านการรับรองมาตรฐาน IPPC เพื่อปกป้องความเสี่ยงจากการแพร่กระจายของแมลงที่ไม่พึงประสงค์ ที่อาจติดมากับบรรจุภัณฑ์ไม้ เข้าไปสร้างความเสียหายและเป็นอันตรายต่อด้านการเกษตรของประเทศ ความเข้มงวดดังกล่าว ทำให้ต้องหาวิธีแก้ไขปัญหาเพื่อไม่ให้กระทบต่อการส่งออก บริษัทจึงได้เข้ารับความช่วยเหลือจากโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (iTAP) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) การสร้างเตาอบวัสดุบรรจุภัณฑ์จากไม้เพื่อการ “Heat Treatment” สำหรับใช้บรรจุผลิตภัณฑ์ขิงดองส่งออก ผลที่ได้รับจากโครงการฯ นี้ ทำให้บริษัทส่งออกไปญี่ปุ่นได้ต่อเนื่อง เพราะลังและพาเลตไม้ที่ผ่านการอบจากเตาอบที่บริษัทสร้างขึ้นจะมีมาตรฐาน IPPC เป็นเครื่องหมายรับรองลงบนตัวลังและพาเลตไม้ทุกครั้ง
นอกจากได้เตาอบที่มีประสิทธิภาพแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนลงจากเดิมที่ต้องสั่งซื้อลังไม้ที่อบแล้วจากภายนอกโรงงานถึงปีละกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งในแต่ละปีบริษัทต้องใช้ลังไม้นับแสนใบ ขณะนี้บรรจุภัณฑ์ขนส่งสินค้าของบริษัทมีด้วยกัน 2 แบบ นอกจากบรรจุภัณฑ์ไม้ หรือพาเลตไม้แล้ว ยังมีพาเลตที่ทำจากสเตนเลสแบบน็อกดาวน์ เนื่องจากญี่ปุ่นมีกฎหมายเทศบาลที่กำหนดว่า หากเผาวัสดุใดๆ ก็ตาม จะคิดค่าเผาตามน้ำหนักเป็นกิโลกรัม ถือว่าแพงมาก ดังนั้น จึงจัดทำพาเลตจากสเตนเลสขึ้นใช้ซึ่งนิยมกันมากในเมืองใหญ่ เช่น โอซากา และโตเกียว แต่สำหรับเมืองเล็กๆ ยังคงใช้พาเลตจากไม้เป็นส่วนใหญ่ ขิงดองถือเป็นวัฒนธรรมการกินของชนชาติญี่ปุ่นโดยเฉพาะ ซึ่งประเทศอื่นไม่นิยมมากนัก และตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา บริษัทมีผลประกอบการเพิ่มขึ้นจากการส่งออกไปญี่ปุ่น เฉพาะผลิตภัณฑ์ขิงดองและ ขิงแปรรูปสร้างรายได้ให้กับบริษัทถึงปีละ 200-350 ล้านบาท และอีก 60 ล้านบาท จากผลิตภัณฑ์ มะเขือม่วงดอง ที่ได้รับการตอบรับจากตลาด ญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทยังเตรียมขยายผลิตภัณฑ์สินค้าทางด้านเกษตรอื่นๆ เพิ่มเข้าไปยังตลาดญี่ปุ่นมากขึ้น ไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม มีภูมิประเทศ ที่เหมาะสมกับการเพาะปลูก จึงอยากให้คนไทย หันมามองและให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ทาง การเกษตรกันมากขึ้น
ที่มา: http://www.depthai.go.th