เมืองหลวง : Riyadh พื้นที่ : 2.15 ล้านตารางกิโลเมตร ภาษาราชการ : Arabic ประชากร : 24.2 ล้านคน (2007) อัตราแลกเปลี่ยน : SAR 9.384 : US$1 (24/04/52) เครื่องชี้วัดเศรษฐกิจ
ปี 2008 ปี 2009
Real GDP growth (%) 4.20 0.40 Consumer price inflation (av; %) 9.50 1.30 Budget balance (% of GDP) 33.60 -11.80 Current-account balance (% of GDP) 26.20 -11.70 Exchange rate ฅ:US$ (av) 3.75 3.75 โครงสร้างสินค้าออกของไทยกับซาอุดิอาระเบีย มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด
ล้านเหรียญสหรัฐฯ
สินค้าออกสำคัญทั้งสิ้น 439.11 100.00 15.62 สินค้าเกษตรกรรม 41.66 9.49 137.28 สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร 23.06 5.25 -5.76 สินค้าอุตสาหกรรม 373.75 85.12 10.69 สินค้าแร่และเชื้อเพลิง 0.64 0.14 487.88 สินค้าอื่นๆ 0.0 0.0 โครงสร้างสินค้าเข้าของไทยกับซาอุดิอาระเบีย มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด
ล้านเหรียญสหรัฐฯ
นำเข้าทั้งสิ้น 713.23 -54.48 -54.48 สินค้าเชื้อเพลิง 595.32 -57.30 -57.30 สินค้าทุน 0.06 -83.05 -83.05 สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป 117.64 -31.51 -31.51 สินค้าบริโภค 0.22 -41.32 -41.32 สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง 0.0 -75.88 -75.88 สินค้าอื่นๆ 0.0 -150.00 -150.00 1. มูลค่าการค้า มูลค่าการนำเข้า ส่งออก และดุลการค้าของไทย - ซาอุดิอาระเบีย 2551 2552 D/%
(ม.ค.-มีค.) ล้านเหรียญสหรัฐฯ
มูลค่าการค้ารวม 1,946.55 1,152.34 -40.80 การส่งออก 379.79 439.11 15.62 การนำเข้า 1,566.77 713.23 -54.48 ดุลการค้า -1,186.98 -274.12 -76.91 2. การนำเข้า ประเทศไทยนำเข้าจากตลาดซาอุดิอาระเบีย เป็นอันดับที่ 12 มูลค่า 713.23 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 54.48 สินค้านำเข้าสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด
ล้านเหรียญสหรัฐฯ
มูลค่าการนำเข้ารวม 713.23 100.00 -54.48 1. น้ำมันดิบ 581.06 81.47 -58.32 2. ปุ๋ย และยากำจัดศัตรูพืชฯ 71.59 10.04 -5.59 3. เคมีภัณฑ์ 40.04 5.61 -52.05 4. น้ำมันสำเร็จรูป 14.07 1.97 5. เครื่องเพชรพลอย 1.77 0.25 -9.39 อื่น ๆ 0.01 0.0 -99.87 3. การส่งออก ประเทศไทยส่งออกไปตลาดซาอุดิอาระเบีย เป็นอันดับที่ 18 มูลค่า 439.11 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.62 สินค้าส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด
ล้านเหรียญสหรัฐฯ
มูลค่าการนำเข้ารวม 439.11 100.00 15.62 1. รถยนต์ อุปกรณ์และฯ 242.88 55.31 35.25 2. ข้าว 37.62 8.57 222.41 3. เครื่องปรับอากาศและฯ 15.39 3.51 -6.30 4. เหล็ก เหล็กกล้าและฯ 14.02 3.19 -21.14 5. เครื่องซักผ้าและเครื่องซักแห้งฯ 11.90 2.71 13.90 อื่น ๆ 25.71 5.86 -33.32 4. ข้อสังเกต 4.1 สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปซาอุดิอาระเบีย ปี 2552 (ม.ค.- มี.ค.) ได้แก่
รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ : ซาอุดิอาระเบีย เป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 2 ของไทยรองจากออสเตรเลีย เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2548 - 2552 (มค.-มีค.) พบว่ามีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องร้อยละ 31.04 5.69 24.34 และ 35.25 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลา เดียวกันของปีก่อน
ข้าว : ซาอุดิอาระเบีย เป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 10 ของไทยและเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2548 — 2552 (ม.ค.-มี.ค.) พบว่ามีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องร้อยละ 16.47 56.28 173.41 และ 222.41 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
เครื่องปรับอากาศและฯ : ซาอุดิอาระเบีย เป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 14 ของไทยและเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2548 — 2552 (มค.-มีค.) พบว่า ปี 2551 มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นเพียงปีเดียว (72.96%) ในขณะที่ปี 2549 2550 และ 2552 (มค.มีค.) มีอัตราขยายตัวลดลงร้อยละ 6.35 29.14 และ 6.30 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
เหล็ก เหล็กกล้าและฯ : ซาอุดิอาระเบีย เป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 19 ของไทย และเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2548 — 2552 (มค.-มีค.) พบว่า ปี 2552 (มค.-มีค.) มีอัตราการขยายตัวลดลง (-21.14%) ในขณะที่ปี 2549-2551 มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องร้อยละ 283.37 15.18 และ 165.28 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
เครื่องซักผ้าและเครื่องซักแห้ง : เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2548 — 2552 (มค.-มีค.) พบว่าปี 2550 มีอัตราการขยายตัวลดลงเพียงปีเดียว (-20.27%)ในขณะที่ปี 2549 2551 และ 2552 (มค.-มีค.) มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องร้อยละ 14.81 51.55 และ 13.90 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
4.2 ในบรรดาสินค้าส่งออกจากไทยไปตลาดซาอุดิอาระเบีย ปี 2552 (มค.-มีค.) 25 รายการแรกสินค้าที่มีอัตราเพิ่มสูง
โดยสูงกว่าร้อยละ 20 มีรวม 7 รายการ คือ
อันดับที่ / รายการ มูลค่าล้าน อัตราการขยายตัว หมายเหตุ เหรียญสหรัฐ % 1. รถยนต์อุปกรณ์ฯ 242.88 35.25 2. ข้าว 37.62 22.41 9. เครื่องจักรกลและส่วนประกอบฯ 8.26 59.65 12.น้ำตาลทราย 4.97 60,484 14.เสื้อผ้าสำเร็จรูป 4.34 23.04 23.สิ่งทออื่น ๆ 1.97 38.91 25.เครื่องคอมเพรสเซอร์ของเครื่องทำความเย็น 1.59 25.30 4.3 ในบรรดาสินค้าส่งออกจากไทยไปตลาด ซาอุดิอาระเบีย ปี 2552 (ม.ค.-มีค.) 25 รายการแรก สินค้าที่มีอัตราลดลง รวม 12 รายการ คือ อันดับที่ / รายการ มูลค่า อัตราการขยายตัว ล้านเหรียญสหรัฐ % 3. เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ 15.39 -6.30 4. เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ 14.02 -21.14 6. ตู้เย็น ตู้แช่แข็งและส่วนประกอบ 10.74 -32.98 8. เคมีภัณฑ์ 8.49 -23.12 10.อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป 7.81 -41.00 11.กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ 5.34 -22.71 16.ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ 3.39 -47.30 19.ผ้าผืน 2.65 -18.50 20.เม็ดพลาสติก 2.61 -69.15 21.อาหารสัตว์เลี้ยง 2.32 -28.39 22.เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 2.17 -4.89 24.อัญมณีและเครื่องประดับ 1.88 -2.56 4.4 ข้อมูลเพิ่มเติม
อุตสาหกรรมยานยนต์ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีสัญญาณที่ดีขึ้นบ้างเล็กน้อย เมื่อเทียบกับช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งตลาดรถยนต์ในประเทศและส่งออก ด้วยการเติบโต 20% สำหรับยอดขายในประเทศ และส่งออกต่างประเทศมีอัตราเพิ่มขึ้น 0.3% ในส่วนของปัญหาอุตสาหกรรมยานยนต์ ตลาดส่งออกคงไม่สามารถไปกำหนดอะไรได้มาก เพราะจะไปกำหนดการสั่งซื้อของคู่ค้าประเทศนั้นๆ ไม่ได้ ขึ้นอยู่สภาวะเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวได้เร็วแค่ไหน แต่จากสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่นิ่ง หรือประเทศจีนก็ดีขึ้น ทำให้น่าจะเป็น ในจำนวนการส่งออกรถยนต์ทั่วโลกจากไทย ทุกภูมิภาคติดลบหมดไม่ว่าจะเป็นตลาดใหญ่สุดออสเตรเลียลดลง 42% และโดยเฉพาะยุโรปลดลงถึง 60% มีเพียงตลาดตะวันออกกลางที่เติบโตเป็นบวก 36% ทำให้ขยับขึ้นมาเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทยแทนออสเตรเลีย ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยมีสัดส่วนการส่งออกปัจจุบันอยู่ที่ 34% ซึ่งน่าจะมาจากตะวันออกกลางได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกน้อยที่สุด จึงเป็นตลาดที่หลายสินค้าพยายามจะเข้าไปเจาะมากขึ้น
บริษัทอินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด ศูนย์รวมเฟอร์นิเจอร์ ของใช้และของตกแต่งบ้าน เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทจะรุกขยายตลาดต่างประเทศในรูปของการขายแฟรนไชส์มากขึ้น นำร่องที่ตลาดตะวันออกกลาง ดูไบ อาบูดาบี โอมาน บาห์เรน กาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย และอินเดียก่อน หลังพบว่ามีโอกาสในการทำตลาดสูง เพราะเป็นตลาดใหญ่ ประชากรมีกำลังซื้อสูงและมีชาวต่างชาติอาศัยอยู่ที่จำนวนมาก เฉพาะที่ดูไบมีต่างชาติอาศัยอยู่ประมาณ 60% เป็นคนท้องถิ่น 40% คาดว่าภายใน 3-5 ปีจะเปิดสาขาอินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์ไม่ต่ำกว่า 8-10 สาขา ใช้เงินลงทุน 1,200-2,000 ล้านบาท จากนั้นจะลุยเปิดสาขาแฟรนไชส์ไปประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ล่าสุดวันที่ 15 ก.ค. 52 นี้ มีแผนเปิด "อินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์" สาขาต้นแบบ ขนาดพื้นที่ 5,000 ตารางเมตร ใน "ดูไบมอลล์" ช็อปปิ้งเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ในดูไบ ใช้เงินลงทุน 150-200 ล้านบาท ซึ่งน่าจะประสบความสำเร็จในการทำตลาดเกินคาดแม้ทั่วโลกรวมถึงตะวันออกกลางจะประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจขาลง แต่กำลังซื้อของกลุ่มประเทศดังกล่าวยังมีอยู่มาก เพราะประชากรมีรายได้ต่อหัวสูง ขณะที่พันธมิตร คือ กิล แคปปิตอลที่เป็นแฟรนไชส์ของบริษัทมีความเชี่ยวชาญและแข็งแกร่งมาก
นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า มีแนวคิดที่จะผลักดันธุรกิจบริการรถยนต์ (คาร์แคร์) และธุรกิจบริการเครื่องปรับอากาศ (แอร์แคร์) ของไทยไปลงทุนในตะวันออกกลางให้มากขึ้น ภูมิภาคดังกล่าวเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพ ทั้งในด้านการลงทุนและกำลังซื้อ ที่สำคัญตลาดยังขยายตัวได้อีกมาก เพราะมีผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจทั้งสองธุรกิจค่อนข้างน้อยมาก อีกทั้งเป็นประเทศที่มีฝุ่นทรายมาก คาดว่าเมื่อธุรกิจไทยไปเปิดแล้วน่าจะได้รับความนิยม ผู้ประกอบการไทยจึงควรหันมาสนใจหาข้อมูลในตลาดภูมิภาคนี้ พร้อมกันนี้จะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทย เจ้าของผลิตภัณฑ์เครื่องกรองอากาศแบบเสียบจมูก ไปจดสิทธิบัตรในตะวันออกกลางด้วย ก่อนที่จะทำตลาดสินค้าดังกล่าวในตะวันออกกลาง เพื่อปกป้องสิทธิป้องกันการลอกเลียนแบบ หากเกิดกรณีสินค้าขายดี จะได้ไม่เกิดความเสียหาย โดยให้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมื่องดูไบ วิจัยตลาดธุรกิจคาร์แคร์และแอร์แคร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะตะวันออกกลางมีฝุ่นทรายมากเศษทรายเข้าไปติดตามห้องเครื่องรถยนต์และในเครื่องปรับอากาศมาก แต่คนทำธุรกิจนี้ยังมีไม่มากนัก น่าจะเป็นโอกาสที่ธุรกิจไทยจะขยายการลงทุนได้ โดยจะทำในลักษณะการขายแฟรนไชส์ สำหรับเครื่องกรองอากาศแบบเสียบจมูกก็น่าจะขายได้ดี นอกจากจะผลักดันให้ไปจดสิทธิบัตรในตะวันออกกลางแล้ว ยังจะให้ไปจดที่เมืองใหญ่ๆ ที่มีมลพิษสูง เช่น ญี่ปุ่น จีน สหรัฐ และประเทศที่มักมีไฟไหม้ป่า นอกจากนี้ ยังจะร่วมมือกับกลุ่มนาคิว ซึ่งก็คือกลุ่มดูไบเวิลด์ ทำไทยแลนด์ มอลล์ หรือศูนย์กระจายสินค้าไทยในดูไบ เพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการกระจายสินค้าไทยไปยังประเทศอื่นๆ ในตะวันออกกลาง รวมถึงในเอเชียใต้และยุโรปใต้ คาดว่าจะมีสินค้าประมาณ 1,000-2,000 รายการ รวมถึงกำลังศึกษาความเป็นไปได้ที่ไทยจะค้าขายสินค้าแบบแคช แอนด์ แคร์รี หรือร้านขายสินค้าขนาดเล็กในจุดที่เป็นท่าเรือของดูไบ เพราะมีเรือสินค้าขนส่งสินค้าจำนวนมาก เป็นอีกจุดหนึ่งที่จะกระจายสินค้าไทยได้มากขึ้น
ที่มา: http://www.depthai.go.th