เมืองหลวง : New Delhi พื้นที่ : 3,287,263 ตารางกิโลเมตร ภาษาราชการ : Tamil and hindi ประชากร : 1.13 พันล้านคน (mid-2007) อัตราแลกเปลี่ยน : INR 0.667 : BAHT1 (20/05/52) (1) เครื่องชี้วัดเศรษฐกิจ
ปี 2551 ปี 2552
Real GDP growth (%) 5.3 5.0 Consumer price inflation (av; %) 8.2 5.4 Budget balance (% of GDP) -6.0 -6.1 Current-account balance (% of GDP) -3.6 -3.9 Commercial banks' prime rate (year-end; %) 12.7 10.5 Exchange rate ฅ:US$ (av) 43.5 47.8 โครงสร้างสินค้าออกของไทยกับอินเดีย มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด
ล้านเหรียญสหรัฐฯ
สินค้าออกสำคัญทั้งสิ้น 857.03 100.00 -11.52 สินค้าเกษตรกรรม 35.31 4.12 -6.78 สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร 15.23 1.78 -48.02 สินค้าอุตสาหกรรม 747.58 87.23 -15.73 สินค้าแร่และเชื้อเพลิง 58.91 6.87 309.25 สินค้าอื่นๆ 0.0 0.0 0.0 โครงสร้างสินค้าเข้าของไทยกับอินเดีย มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด
ล้านเหรียญสหรัฐฯ
นำเข้าทั้งสิ้น 471.44 100.00 -46.57 สินค้าเชื้อเพลิง 1.51 0.32 -32.17 สินค้าทุน 57.08 12.11 -9.52 สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป 290.10 61.54 -56.52 สินค้าบริโภค 100.12 21.24 -18.71 สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ฯ 22.08 4.68 -17.30 สินค้าอื่นๆ 0.55 0.12 - 1. มูลค่าการค้า มูลค่าการนำเข้า ส่งออก และดุลการค้าของไทย - อินเดีย 2551 2552 D/%
(ม.ค.-เม.ย) ล้านเหรียญสหรัฐฯ
มูลค่าการค้ารวม 1,851.03 1,328.47 -28.23 การส่งออก 968.67 857.03 -11.52 การนำเข้า 882.36 471.44 -46.57 ดุลการค้า 86.31 385.59 346.76 2. การนำเข้า อินเดียเป็นตลาดนำเข้าของไทย อันดับที่ 20 มูลค่า 471.44 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 46.5 สินค้านำเข้าสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด
ล้านเหรียญสหรัฐฯ
มูลค่าการนำเข้ารวม 471.44 100.00 -46.50 1. เครื่องเพชรพลอย 82.81 17.56 82.81 2. พืช และผลิตภัณฑ์จากพืช 51.94 11.02 51.94 3. เคมีภัณฑ์ 49.70 10.54 49.70 4. เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน 42.81 9.08 42.81 5. เครื่องจักรกลและส่วนฯ 33.71 7.15 33.71 อื่น ๆ 21.87 4.64 -52.00 3. การส่งออก อินเดียเป็นตลาดส่งออกของไทย อันดับที่ 13 มูลค่า 857.03 ล้านเหรียญสหรัฐลดลงร้อยละ 11.52 สินค้าส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด
ล้านเหรียญสหรัฐฯ
มูลค่าการส่งออกรวม 857.03 100.00 -11.52 1.เม็ดพลาสติก 108.38 12.65 -8.60 2.เคมีภัณฑ์ 93.36 10.89 177.05 3.เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ฯ 49.73 5.80 -1.87 4.น้ำมันสำเร็จรูป 47.51 5.54 825.73 5.เครื่องจักรกลและส่วนประกอบฯ 35.75 4.17 -18.23 อื่น ๆ 165.38 19.30 -0.10 4. ข้อสังเกต 4.1 สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปอินเดีย ปี 2552 (มค.- เม.ย.) ได้แก่
เม็ดพลาสติก : อินเดียเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 3 ของไทย และเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2548 - 2552 พบว่า ปี 2549และ ปี 2552 (มค.-เม.ย.)มีอัตราการขยายตัวลดลง(ร้อยละ -28.17 และ 8.60 ) ในขณะที่ปี 2550 และ2551 มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 91.79 และ 17.90 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลา เดียวกันของปีก่อน
เคมีภัณฑ์ : อินเดียเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 3 ของไทยและเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2548 - 2552 พบว่ามีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องร้อยละ138.57 4.57 21.09 และ 177.05 ตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเวลา เดียวกันของปีก่อน
เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ : อินเดียเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 14 ของไทยเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2548 -2552 พบว่า ปี 2552 (มค.-เม.ย.) เป็นครั้งแรกที่มีอัตราการขยายตัวลดลง(ร้อยละ -1.87%) ในขณะที่ปี 2549 - 2551 มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.74 138.90 และ 61.59 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลา เดียวกันของปีก่อน
น้ำมันสำเร็จรูป : อินเดียเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 9 ของไทยเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2548 - 2552 พบว่าปี 2550 เป็นครั้งแรกที่มีอัตราการลดลง(ร้อยละ -84.36) ในขณะที่ปี 2549 2551 และ 2552 (มค.-เม.ย.) มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 199.79 1,698.8 และ 825.73 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลา เดียวกันของปีก่อน
เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ : อินเดียเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 7 ของไทยเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2548 - 2552 พบว่า ปี 2552 (มค.-เม.ย.) เป็นครั้งแรกที่มีอัตราการขยายตัวลดลง(ร้อยละ -18.23) ในขณะที่ปี 2549 - 2551 มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.78 22.99 และ 15.91 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลา เดียวกันของปีก่อน
4.2 ในบรรดาสินค้าส่งออกจากไทยไปตลาดอินเดีย ปี 2552 (ม.ค.-เม.ย.) 25 รายการแรก
สินค้าที่มีอัตราเพิ่มสูงโดยสูงกว่าร้อยละ 40 มีรวม 4 รายการ คือ
อันดับที่ / รายการ มูลค่า อัตราการขยายตัว หมายเหตุ ล้านเหรียญสหรัฐ % 2.เคมีภัณฑ์ 93.36 177.05 4.น้ำมันสำเร็จรูป 47.51 825.73 10.3.4.10 เครื่องทำสำเนา 24.64 198.17 16.สายไฟฟ้า สายเคเบิ้ล 19.07 55.69 4.3 ในบรรดาสินค้าส่งออกจากไทยไปตลาดอินเดีย ปี 2552 (ม.ค.-เม.ย.) 25 รายการแรก สินค้าที่มีอัตราลดลง รวม 21 รายการ คือ อันดับที่ / รายการ มูลค่า อัตราการขยายตัว ล้านเหรียญสหรัฐ % 1. เม็ดพลาสติก 108.38 -8.60 3.เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 49.73 -1.87 5.เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล 35.75 -18.23 6.อัญมณีและเครื่องประดับ 30.06 -2.78 7.เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ 27.62 -65.07 8.เครื่องยนต์สันดาปภายในฯ 25.70 -54.35 9.รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 24.96 -59.61 11.เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ 22.81 -22.52 12.ยางพารา 22.07 -8.86 13.เครื่องคอมเพรสเซอร์ของเครื่องทำความเย็น 21.54 -19.22 14.ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม 21.33 -54.52 15.แผงวงจรไฟฟ้า 21.16 -26.65 17.ผลิตภัณฑ์พลาสติก 16.20 -2.69 18.ผลิตภัณฑ์ยาง 12.82 -7.61 19.เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ 11.03 -72.23 20.สิ่งทออื่นๆ 10.94 -28.05 21.ทองแดงและของทำด้วยทองแดง 10.86 -35.61 22.เส้นใยประดิษฐ์ 9.97 -31.84 23.ตู้เย็น ตู้แช่แข็งและส่วนประกอบ 9.30 -15.19 24.เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ 7.82 -29.16 25.ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ 6.99 -8.89 4.4 ข้อมูลเพิ่มเติม
ปัจจุบันอินเดียเป็นประเทศหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ยังรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจในเกณฑ์ที่สูงโดยในปี 2551 มีการขยายตัวถึง 7% ประกอบกับมีประชากรที่มีกำลังซื้อสูงมีมากถึง 300 ล้านคน จึงทำให้ผู้ส่งออกไทยจำนวนมากหันมาให้ความสนใจที่จะเจาะตลาดอินเดียกันมากขึ้น ขณะที่ตลาดอื่น ๆ เริ่มซบเซาอันเนื่องมาจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก ในขณะที่ตลาดอินเดียเป็นตลาดที่มีโอกาสมากในสินค้าหลายชนิด เช่น สินค้าเกษตรแปรรูป เนื่องจากเทคโนโลยีการเกษตรของอินเดียยังไม่ทันสมัย ประกอบกับยังไม่มีคู่แข่งจากประเทศอื่นเข้าไปทำตลาดมากนัก และคนอินเดียยังนิยมใช้ของนอก จึงเป็นโอกาสให้กับสินค้าไทยในหมวดสินค้าอาหารที่จะเข้าไปทำตลาด ไม่ว่าจะเป็น เครื่องแกงสำเร็จรูป น้ำกะทิ ข้าวเกรียบชนิดยังไม่ทอด โปรตีนเกษตร (คนอินเดียบริโภคอาหารมังสวิรัติ 60%) อาหารมังสวิรัติต่าง ๆ ขนมประเภท snack ลำไย และมังคุด เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีโอกาสในด้านเครื่องจักรกลทางการเกษตรของไทยที่กำลังเป็นที่สนใจของคนอินเดียเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเครื่องสีข้าว เนื่องจากกำลังการผลิตมากกว่าเครื่องของอินเดียถึง 3 เท่าตัว แถมราคาก็ไม่แพง จึงมีผู้สั่งซื้อเข้าไปใช้ในอินเดียเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ส่วนสินค้าของตกแต่งบ้าน และเฟอร์นิเจอร์ชนิดผู้ซื้อประกอบเองก็กำลังเป็นที่ต้องการสูง เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กำลังมีความต้องการในอินเดีย การออกแบบของตกแต่งบ้านของไทยนั้นทันสมัยกว่าของอินเดีย แถมไม่แพงเป็นที่ต้องการของเศรษฐีใหม่ในอินเดียเป็นอย่างยิ่ง อีกสาขาหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย นั่นคือการบริการ ไม่ว่าจะเป็น สปา ร้านอาหารไทย และการรักษาพยาบาล สปาไทยกำลังเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในอินเดีย โดยโรงแรมรีสอร์ทและร้านเสริมสวยในอินเดียมักจะมี สปาไทยไว้บริการลูกค้า สำหรับร้านอาหารไทยควรสนับสนุนให้มีการร่วมทุนในลักษณะแฟรนไชส์ เช่น ร้านก๋วยเตี๋ยวแบบไทย ซึ่งจะมีส่วนสำคัญที่จะช่วยแก้ปัญหามันสำปะหลังล้นตลาดด้วย เนื่องจากหากมีร้านเฟรนไชส์ ร้านก๋วยเตี๋ยวในต่างประเทศมากขึ้น การส่งออกเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ทำจากมันสำปะหลังก็จะมีมากขึ้นตามไปด้วย สำหรับธุรกิจการรักษาพยาบาล ควรประชาสัมพันธ์ให้คนอินเดียได้ทราบว่าแม้แต่คนดูไบยังมารักษาพยาบาลในไทย เนื่องจากชาวอินเดียที่มีฐานะดีมักจะเดินทางไปพักผ่อน ไปชอปปิงที่ดูไบ และมักจะเลียนแบบรูปแบบการใช้ชีวิตของชาวดูไบ ซึ่งหากชี้ประเด็นนี้ก็จะมีคนอินเดียมาใช้บริการรักษาพยาบาลในไทยมากขึ้น นอกจากนั้นก็ควรโฆษณาร้าน duty free ของไทยด้วยว่าราคาเท่ากับหรือถูกกว่าที่ดูไบ เพื่อให้คนอินเดียหันมาชอปปิงและมาเที่ยวไทยมากขึ้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย วิเคราะห์ว่า นอกเหนือจากภาคการลงทุนแล้ว ภายหลังจากที่ประเทศอินเดียมีรัฐบาลชุดใหม่ ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยเองอาจจะได้ประโยชน์จากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะโครงการก่อสร้างของรัฐบาลอินเดียและการเพิ่มกำลังซื้อให้กับคนในชนบท โดยการกลับมาจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้งของพรรครัฐบาลเดิมจะมีประโยชน์ในแง่ของการสานต่อนโยบายเศรษฐกิจที่ได้ดำเนินการไปแล้วซึ่งจะก่อให้เกิดความต่อเนื่องของนโยบายจนสามารถประสบผลสำเร็จได้ สำหรับประเทศไทยเองนับเป็นโอกาสที่ดีของสาขาการลงทุนในภาคบริการ นับตั้งแต่การก่อสร้าง โรงภาพยนต์ สปา โรงแรม โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า ภัตตาคารและร้านอาหารไทย รวมถึงห้างค้าปลีกค้าส่ง นอกจากนี้การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเช่น การแปรรูปอาหาร การผลิตอาหารสัตว์ การผลิตชิ้นส่วนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ การผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์เคมี ก็จะได้รับอานิสงส์จากกฎหมายฉบับนี้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ผู้ส่งออกไทยจะได้ประโยชน์จากการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีภายใต้กรอบ FTA อาเซียน-อินเดียที่คาดว่าจะลงนามราวต้นปี 2553 รวมถึงความคืบหน้าในการเจรจา FTA ไทย-อินเดียรอบ 2 ที่จะขยายขอบเขตการลดภาษีสินค้าจากเดิม 82 รายการเพิ่มขื้นเป็นกว่า 3 พันรายการ โดยหลังจาก FTA ไทย-อินเดีย มีผลบังคับใช้ในเดือนกันยายน 2547 ไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้ากับอินเดียมาโดยตลอดและในปี 2551 ที่ผ่านมาทั้งนี้จากสถิติพบว่า ไทยใช้สิทธิส่งออกสินค้า 82 รายการถึงร้อยละ 96.1 ทั้งนี้เนื่องจากอินเดียจัดเป็นประเทศหนึ่งในโลกที่มีอัตราภาษีนำเข้าสูงและค่อนข้างซับซ้อน การลดภาษีภายใต้กรอบ FTA ส่งผลให้สินค้าไทยมีภาระต้นทุนทางภาษีต่ำกว่าประเทศคู่แข่งที่ยังไม่มี FTA กับอินเดียโดยเฉพาะคู่แข่งจากประเทศอาเซียนที่ถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราค่อนข้างสูงสินค้าที่ไทยใช้สิทธิมากได้แก่ โทรทัศน์สี เครื่องเพชรพลอยทำด้วยโลหะมีค่า อย่างไรก็ตาม สินค้าเพียง 82 รายการที่ไทยเปิดเสรีกับอินเดียนั้นคิดเป็นร้อยละ 1.6 ของสินค้าทั้งหมดกว่า 5,000 รายการ จึงทำให้สินค้าหลายรายการที่ไทยมีความสามารถแข่งขันในตลาดอินเดียสูงยังไม่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีเช่น น้ำผลไม้และผลไม้แปรรูป สิ่งปรุงรสอาหาร ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์พลาสติก กระดาษ ของเล่นและไฟเบอร์บอร์ด ทั้งนี้การเร่งเจรจาในกรอบทวิภาคีเพื่อเปิดตลาดสินค้าเพิ่มเติมอีกกว่า 3 พันรายการน่าจะช่วยให้สินค้าส่งออกไทยเข้าสู่ตลาดอินเดียได้มากขึ้น นอกจากนี้หาก FTA อาเซียน-อินเดียมีผลบังคับใช้ ผู้ส่งออกไทยจะได้ประโยชน์จากกฎแหล่งกำเนิดสินค้าที่สามารถใช้วัตถุดิบจากประเทศอาเซียนอื่นใน การผลิตสินค้าได้รวมถึงการเปิดตลาดสินค้าเพิ่มเติมจากกรอบทวิภาคีเช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เหล็กและเหล็กกล้า อัญมณีและเครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์และส่วนประกอบเป็นต้น
ห้างสรรพสินค้าชั้นนำของอินเดีย “อินดี้ชอปปี้” สนใจสินค้าของพรานทะเล พร้อมสนับสนุนการทำตลาดอย่างเต็มที่ โดยรู้สึกประทับใจสินค้าอาหารทะเลแช่แข็งของพรานทะเลเป็นอย่างมาก ซึ่งได้รับการตอบรับดีเกินความคาดหมาย มีลูกค้าสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก ปัจจุบัน คนอินเดียมีกำลังซื้อสูงขึ้นเนื่องจากการขยายตัวของธุรกิจซ๊อฟแวร์ ประกอบกับเมืองเจนไนเป็นที่ตั้งของบริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่เป็นจำนวนมาก เช่น โนเกีย ฮุนได นิสสัน บีเอ็มดับบลิว ไอบีเอ็ม อินโฟสิส ทาทา และเลแลนด์ ส่งผลให้ความต้องการสินค้าอาหารทะเลมีสูงมาก ดังนั้น พรานทะเลจึงเป็นคำตอบที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายโดยเฉพาะ นอกจากนั้น สินค้าอาหารทะเลของไทยมีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น กุ้ง, ปลาหมึก ชนิดต่างๆ อาหารทะเลเสียบไม้ (บาบีคิว), อาหารทะเลรวมมิตร, สินค้าชุบเกล็ดขนมปัง, ห่อเกี๊ยว, ห่อปอเปี๊ยะ และ กุ้งค็อกเทล โดยเฉพาะพรานทะเล ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างสูง จึงนับเป็นโอกาสดีของผู้ผลิตอาหารไทยรายอื่นๆ ในการเปิดตลาดอินเดียต่อไป
ที่มา: http://www.depthai.go.th