อาร์เจนตินาเคยเป็นประเทศหนึ่งที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมากในช่วงต้นคริสตศตวรรษที่ผ่านมาในอเมริกาใต้ หากแต่ในช่วงปี 2544 ด้วยนโยบายทางการเงินที่ผิดพลาดและการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและสาธารณูปโภคทำให้อาร์เจนตินาต้องประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจอย่างรุนแรงจนต้องประกาศลดค่าค่าเงินถึงกว่าร้อยละ 30 และเข้ารับความช่วยเหลือจาก IMFอย่างไรก็ตามอาร์เจนตินาก็ได้ต่อสู้กับช่วงเวลาที่โหดร้ายที่สุดมาแล้วจนสามารถฟื้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้นอย่างมาก
เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้นสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือธุรกิจค้าปลีกอาร์เจนตินามียอดขายเพิ่มขึ้นและแนวโน้มที่ดีขึ้นตรงข้ามกับสถานการณ์โลกในปัจจุบันที่ประเทศในโลกตะวันตกมีสภาพทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ แต่อาร์เจนตินามีการปรับตัวที่ดี โดยเฉพาะการเติบโตทาง GDP อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตลาดค้าปลีกเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ซื้อเกิดความมั่นใจในสถานภาพทางเศรษฐกิจ จนทำให้สามารถซื้อสินค้าที่มีความคงทน เช่น เครื่องไฟฟ้า เสื้อผ้า รองเท้า ผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและความงาม รวมไปถึงอาหารด้านสุขภาพ
กลยุทธทางการตลาดที่ได้ผลอย่างมากคืออีกการจับมือกันระหว่างผู้ค้าปลีกและสถาบันทางการเงิน อย่างเช่นข้อตกลงระหว่างห้าง Garbarino และ Carrefour กับ ธนาคาร Banco Santander Rio หรือ Disco Fravega และ El Mundo del Juquete กับธนาคาร BBVA เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ยอดขายเพิ่มมากขึ้น ผู้ถือบัตรเครดิตของสถาบันการเงินเหล่านี้ จะได้ส่วนลด 10% และสามารถชำระได้ถึง 24 งวดโดยไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่เพิ่มยอดขายได้เป็นอย่างมาก
ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ เช่น Carrefour และ Wal Martมีส่วนแบ่งการตลาดที่ด่อนข้างสูง เนื่องจากได้ขยายตลาดอย่างมากและรุกด้านการโฆษณา และ การจัดโปรโมชั่นให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจที่เติบโต ผู้บริโภคประหยัดเวลาด้วยการเลือกซื้อของจากห้างค้าปลีกขนาดใหญ่เหล่านี้ที่มีสินค้าทั้งซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งสามารถซื้อได้ในที่เดียวกัน อย่างไรก็ตามอาร์เจนตินาเป็นตัวอย่างของประเทศที่การค้าแบบไม่ได้ผ่านห้าง ( Non —Store Retailer ) มียอดขายแซงหน้าการค้าแบบผ่านห้าง (Store-Based Retailer)
การค้าแบบไม่ผ่านห้างซึ่งได้แก่ การขายแบบผ่าน Internet การขายตรง โฮมช้อปปิ้งและการขายผ่านเครื่องขายสินค้าหยอดเงิน การขายแบบแรกมีอัตราเติบโตที่รวดเร็วกว่าผ่านห้างนับแต่ปี 2550 เพราะการที่คนระดับกลางเข้าถึง Internet แพร่หลายขึ้น และการค้าแบบนี้กลายเป็นแฟชั่นที่กำลังฮิตมากในกลุ่มคนรุ่นใหม่
เศรษฐกิจของอาร์เจนตินาจะยังคงเป็นที่น่าพอใจ แม้ว่าในอนาคตอันใกล้อาจจะได้รับผลกระทบจากการลงทุน โดยเฉพาะกระแสไฟฟ้าที่ราคาสูงขึ้น(อาร์เจนตินาเป็นประเทศที่ชาวต่างชาติเข้ามาผูกขาดสาธารณูปโภคและทำให้เป็นผู้กำหนดราคาได้เอง ราคาไฟฟ้าที่ซึ่งผลผลิตน้อยลง จะทำให้ต้นทุนต่อหน่วยจะสูงขึ้น) เมื่อค่าใช้จ่ายในส่วนนี้สูงขึ้น จะทำให้การจ้างงานถูกจำกัด และทำให้อุตสาหกรรมชะลอตัวลงและจะมีผลกระทบต่อไปถึงยอดการขายปลีกในอนาคตด้วย
รัฐบาลอาร์เจนตินามีกฎระเบียบเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจค้าปลีกโดยเฉพาะในเรื่องราคาห้างค้าปลีกขนาดใหญ่เช่น Carrefour และ Wal Mart ต้องรายงานรัฐบาลเมื่อได้ราคาใหม่จากผู้ผลิต เพื่อที่รัฐจะสามารถควบคุมการขึ้นราคาได้
ปัญหาในเรื่องเงินเฟ้อทำให้การขึ้นราคาสินค้ากลายเป็นเรื่องสำคัญ ประธานาธิบดีจะเป็นผู้ออกมาขอความร่วมมือจากซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าต่างๆไม่ให้ขึ้นราคา รวมไปถึงกลุ่มผู้ผลิตอาหารนมเนยและเนื้อให้คงราคาไว้ เนื่องจากนับแต่ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจเป็นมาเงินเฟ้อกลายเป็นจุดอ่อนในการพัฒนาเศรษฐกิจของอาร์เจนตินา
- ผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศมีสิทธิเท่ากันในการดำเนินธุรกิจค้าปลีกข้ามชาติ ส่วนภาษีและกฎหมายก็ใช้เหมือนกันทั้งคนอาร์เจนตินาและคนต่างชาติ
- การลงทุนที่มีมูลค่าต่ำกว่า 200 ล้านเปโซไม่จำเป็นต้องขออนุญาตในการดำเนินการก่อน
- ในธุรกิจค้าปลีกในตลาดอาร์เจนตินา มีผู้ลงทุนรายใหญ่อยู่แล้ว เช่น .Casino , Carrefour และ Wal Mart ซึ่งเป็นต่างชาติ เช่นเดียวกับFalabella, Cencosud, Coto, La Anonima.ซึ่งเป็นบริษัทในประเทศจึงทำให้ผู้ลงทุนรายใหม่ๆ มีช่องทางไม่มากนัก
ธุรกิจค้าปลีกในอาร์เจนตินา มีกฎหมายที่แตกต่างกันไปตามเมืองต่างๆ แต่จะมีกฎหมายที่เข้มงวด มากสำหรับร้านขายยา และร้านอาหารที่จะควบคุมโดยกระทรวงสาธารณสุข และ องค์การอาหารและยา (ANMAT)
กฎหมายไม่ได้ระบุแค่หัวข้อการดำเนินธุรกิจแต่ครอบคลุมไปถึงเวลา เปิด — ปิด และภาษีด้วย
มีความพยายามที่จะออกกฎหมายเพื่อกำหนดให้ร้านค้าปิดในวันอาทิตย์โดยนักการเมืองท้องถิ่น เมื่อปี 2548 แต่ถูกตีตกไปเพราะถูกคัดค้านมาก
การปิดในวันอาทิตย์จะเป็นประโยชน์ต่อค้าปลีกรายย่อยเนื่องจากเป็นวันทำรายได้ของค้าปลีกขนาดใหญ่ จุดมุ่งหมายของกฏหมายนี้ก็เพื่อ
1. ให้ร้านค้าปลีกนอกระบบที่เป็นธุรกิจครอบครัวได้พักผ่อนและไม่สร้างความเสียหายให้การจำหน่าย
2. ให้ร้านอาหารและร้านค้าขนาดเล็ก ที่ได้รับความเสียหายจากค้าปลีกขนาดใหญ่ได้มีโอกาสขายสินค้าบ้าง
ไม่มีตัวเลขอย่างเป็นทางการว่ามีค้าปลีกนอกระบบอยู่มากเพียงใด แต่เมื่อปี 2549 ยอดจำหน่ายเครื่องเลียงและ DVD มีอยู่ถึง 125 ล้านเปโซ หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 42 แม้ว่าจะมีความเสี่ยงในเรื่องของคุณภาพแต่ราคาก็เป็นจุดดึงดูดลูกค้า
จากการสำรวจของสภาหอการค้าอาร์เจนตินา ถึง 564 แห่งในบัวโนสไอเรสมีค้าปลีกนอกระบบ ที่ขายสินค้าข้างถนนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 85 เพิ่มจาก 649 เข้ามาเป็น 1,202 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านอกจากนี้ยังมีร้านขายของในตลาดที่ขายเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งพวกนี้ไม่ต้องจ่ายภาษีค่าลิขสิทธิ์รวมไปถึงซีดี ต่างๆ จึงขายได้ในราคาถูก และกลุ่มเป้าหมายคือผู้ที่มีรายได้น้อย ที่ไม่สามารถซื้อสินค้าแบบมีลิขสิทธิ์ที่มีราคาสูงได้
เวลาเปิด-ปิดขึ้นอยู่กับชนิดของธุรกิจค้าปลีก เมือง และภาคของประทศ
ร้านในศูนย์การค้าจะเปิดระหว่าง 10.00-22.00 น.
ซูเปอร์มาร์เก็ต 8.00-22.00 น.
ร้านที่ขายสินค้าอาหารจะต้องปรับเวลาเพื่อให้แข่งขันกับซูเปอร์มาร์เก็ตได้
ร้านในเมืองใหญ่เช่นบัวโนส ไอเรส จะปิดพักกลางวันระหว่าง 13.00-15.30 หรือ 16.00 น. (เวลาพักทานอาหารกลางวันหรือ Siesta)
ร้านจำนวนมากจะเปิดขายในวันอาทิตย์ บางร้านจะเปิดแค่เพียงช่วงเช้า แม้ว่าจะไม่มีกฎหมายระบุว่าร้านจะเปิดกี่วันหากแต่ตามสหภาพแรงงานกำหนดวันหยุดของทุกร้าน 3 วันคือ
1 มค. วันปีใหม่
1 พค. วันแรงงาน
25 ธค. วันคริสต์มาส
ร้านขายยาจะมีเวลาเปิดที่ต่างไปจากร้านค้าทั่วไปคือจะต้องเปิด 24 ชั่วโมงหนึ่งวันต่อสัปดาห์ ในวันที่ร้านยาร้านใดไม่ใช่เวรที่จะต้องเปิดพิเศษจะต้องติดป้ายให้ทราบว่าร้านใดใกล้เคียงที่เปิดให้บริการ ส่วนร้านขายยาที่มีเครือข่ายทั่วประเทศ เช่น Farmacity จะเปิด 24 ชม.ตลอด 7 วันในสัปดาห์
ส่วนในชนบทจะไม่มีร้านที่เปิดตลอด 24 ชม. และจะไม่เปิดในวันอาทิตย์
ปี 2552 การจ้างงานในธุรกิจค้าปลีกเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 แสดงถึงการเติบโตที่ดีของตลาดและความคาดหวังในอนาคต จำนวนการจ้างงานเพิ่มขึ้นกว่าการเพิ่มของห้างค้าปลีก และศูนย์การค้าที่เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1 การจ้างงานที่เพิ่มขึ้นจะเน้นไปที่ห้างขนาดใหญ่ เช่นห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ และซูเปอร์มาร์เก็ต
กฎหมายแรงงานในอาร์เจนตินาไม่ได้มีผลใดๆต่อค้าปลีก และจำนวนคนว่างงานในอาร์เจนตินาก็ไม่สูงมากนัก
เมื่อฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น คนอาร์เจนตินาจะจับจ่ายใช้สอยในเรื่องบันเทิงมกขึ้น เช่น การชมการแสดง ภาพยนตร์ การแสดงทางวัฒนธรรม และการอ่านหนังสือ
เมื่อปี 2550 จำนวนคนเข้าร่วมงาน Book Fair ในกรุงบัวโนสไอเรส ที่มีถึง 1.3 ล้านคน พอจะบอกได้ถึงความสนใจซื้อหนังสือและกิจกรรมทางวัฒนธรรมของคนอาร์เจนตินาเป็นอย่างมาก ขณะที่ยอดเข้าชมภาพยนตร์ของคนอาร์เจนตินาสูงถึง 47.8 ล้าน ในปี 2549 และ 51.1 ล้านในปี 2550
โดยทั่วไปคนอาร์เจนตินาหาเวลาว่างได้ยากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากบริษัทใหญ่ๆ มักจะต้องการคนที่มีประสบการณ์มากกว่าในอดีต การฝึกงานและการอบรมเพิ่มเติมจึงเป็นสิ่งจำเป็น และ คนทั่วไปจึงใช้เวลาว่างที่มีน้อยนิดให้เป็นประโยชน์มากที่สุด
ร้านหนังสือที่มีกาแฟและเครื่องดื่มและพื้นที่ให้คนเลือกอ่านและดูหนังสือกลายเป็นจุดขายที่ได้รับความนิยม นอกจากนี้ร้านหนังสือที่จัดสัมมนาให้ผู้เขียนมีกิจกรรมให้ลูกค้าเข้าถึงผู้เขียน เช่น ได้พบปะ พูดจา กับผู้อ่านรวมถึงการแจกลายเซ็น
ห้างค้าปลีก เช่น La Boutique del libro (หนังสือ) ,Cheeky ( เสื้อผ้าเด็ก ) Wanama ( เสื้อผ้าสตรี ) ได้ จัดทำมุมกาแฟในห้างเพื่อเพิ่มยอดขาย สร้าง Brand Loyalty ให้ลูกค้าดึงดูดลูกค้าเพิ่มรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เข้าไปในกลยุทธการขาย ส่วนร้านกาแฟดังๆ เช่น Luna cornia , El arbol และ Las Tres Marias ก็พยายามจะดึงลูกค้าด้วยการจัดกิจกรรม เช่น เวิร์คชอป นักเขียน และ การฝึกภาษาต่างประเทศเช่น อังกฤษ โปรตุเกส อิตาเลียน และเยอรมัน
คนอาร์เจนตินาชอบกิจกรรมทางวัฒนธรรม เช่น อ่านหนังสือ ดูหนัง ชมการแสดงบนเวที เพื่อพักผ่อนจากชีวิตที่ยุ่งเหยิง โดยไม่เกี่ยวข้องกับงานประจำ การแข่งขันทางด้านการงานก็นับวันจะเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากบริษัทจะเป็นสากลมากขึ้น จึงทำให้การแข่งขันในระดับนานาชาติสูงขึ้น
ราคาเช่าที่ที่สูงขึ้นร้อยละ 300 นับแต่การลดค่าเงินเปโซ เมื่อปี 2545 เนื่องจากกิจกรรมที่เพิ่มขึ้นทำให้ความต้องการมีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะค้าปลีก ตลาดสินค้าอาหาร เป็นผลสืบเนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและรายได้ที่สูงขึ้น
ทั้งค่าเช่าที่ และค่าจ้างในอัตราที่สูงขึ้นมีผลกระทบต่อการเติบโตของธุรกิจค้าปลีก เนื่องจากร้านค้าปลีกขนาดเล็ก เช่นร้านขายยา ค่าเช่าและเงินเดือนจะแสดงถึงต้นทุนทำให้ร้านที่มียอดจำหน่ายไม่สูงนักอยู่ได้ยาก ต้องปิดตัวลงเป็นจำนวนมาก
ขนาดห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ เช่น Carrefour และ Wal Mart เองก็ยังต้องเผชิญกับปัญหานี้ และเลือกที่จะขยายร้านขนาด 4,000 ตารางเมตร ในหลายที่ ที่เดิมมีขนาด 10,000ตารางเมตร ข้อได้เปรียบของพื้นที่ที่เล็กลงคือความคล่องตัวที่จะกระจายสาขาไปได้มากขึ้น และอยู่ใกล้กับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
ในขณะเดียวกันหลายบริษัทก็หาทางออกด้วยการลงทุนด้านการจำหน่ายสินค้าทางอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ทำให้พึ่งพาร้านค้าน้อยลงไปเช่น Fravega และ Garbaino ซูเปอร์มาร์เก็ตท้องถิ่น เป็นต้น
ร้านที่ยังคงอยู่ได้คือพวกร้านขายยาขนาดใหญ่ และสินค้าเครื่องไฟฟ้าที่มียอดขายดีๆ สามารถจ่ายค่าเช่าในอัตราสูงได้
เนื่องจากลู่ทางทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มจะเติบโตไปในทางที่ดี ค่าเช่ายังคงจะสูงอยู่ต่อไป อีกทั้งพื้นที่เช่าในทำเลทองของเมืองเช่น Santa Fe Avenue, Recoleta, Belgrano, Palermo มีผู้จับจองอยู่เกือบหมดแล้วผู้ต้องการประกอบธุรกิจจึงไม่มีทางเลือกมากนัก และต้องปรับตัวให้ได้กับค่าเช่าที่สูงขึ้น ด้วยการเพิ่มทุนการจำหน่ายสินค้าทางอินเทอร์เน็ต การลดขนาดคือพื้นที่หน้าร้าน ลดพนักงานขาย เพื่อลดค่าเช่าให้ขนาดกระทัดรัด และสามารถทำกำไรได้มากขึ้น สามารถกระจายไปอยู่ตามชุมชนต่างๆ ได้มากขึ้น
เนื่องจากคนรายได้ดีขึ้น ความต้องการบริโภคสินค้าที่มีคุณภาพก็มีมากขึ้น ร้านค้าปลีกสินค้าอาหารแบบกูร์เมต์ อาหารสุขภาพ ไวน์ชั้นดีก็เป็นที่ต้องการของลูกค้า เนื่องจากร้านเหล่านี้จะมีพนักงานที่เชี่ยวชาญและมีความรู้ในสินค้าของตัวเองเป็นอย่างดี เหมาะกับลุกค้าที่ต้องการคำแนะนำดีๆ
เนื่องจากร้านค้าชนิดนี้ได้รับความนิยมค่อนข้างมาก ทำให้ห้างค้าปลีกทั้งขนาดใหญ่และซูเปอร์มาร์เก็ตก็เริ่มจะหันมาให้ความสำคัญ เพราะเสียลูกค้าสำคัญๆที่มีกำลังซื้อให้กลุ่มนี้ไปหมด จึงต้องหันมาเพิ่มมุมสินค้าอาหารมีระดับพร้อมผู้เชี่ยวชาญเพื่อหวังเพิ่มยอดขายสินค้าที่แม้ว่าจะมีกลุ่มลูกค้าไม่มากนักแต่มีมูลค่าสูงกว่าอาหารปกติทั่วไป
ปรากฏว่าในช่วงที่ผ่านมาสินค้ากลุ่มนี้สามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างรวดเร็วนับแต่ปี 2550 เป็นต้นมา โดยเฉพาะร้านแฮม เนยแข็ง รวมไปถึงร้านไวน์ มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 35 เช่นเดียวกับอาหารและเครื่องดื่มจากต่างประเทศที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
วัฒนธรรมการบริโภคสินค้ามีระดับเป็นแนวโน้มใหม่ของคนอาร์เจนตินาและเป็นการแสดงฐานะทางสังคมและความทันสมัย การชิมไวน์ การเรียนทำอาหาร รวมไปถึงจากการสอนทำอาหารทางโทรทัศน์ก็สร้างความนิยมแบบใหม่ให้กับคนในสังคม เช่นกัน
ค้าปลีกทั้งเล็กและใหญ่ นับแต่ปี 2550 มีส่วนแบ่งตลาดมากขึ้นหลังจาก 4 ปีที่ยอดขายตก เพราะเศรษฐกิจตกต่ำ ผู้ซื้อยังเชื่อว่าราคาสินค้าในค้าปลีกทั้งขนาดเล็กและใหญ่ยังสูงกว่าร้านโชว์ห่วย อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมาการซื้อที่ห้างค้าปลีกมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้น รายได้ที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ลูกค้าไม่ใส่ใจในเรื่องราคาที่สูงขึ้นมากนักเอาความสะดวก เช่น ในเรื่องการประหยัดเวลาและสถานที่จอดรถเป็นเกณฑ์ นอกจากนี้การที่คนมีงานประจำทำ ทำให้สามารถวางแผนในเรื่องการจับจ่ายซื้อของได้ ขณะที่เมื่อก่อนไม่มีหลักประกันในเรื่องงาน บางคนได้รับการจ้างงานเป็นช่วงสั้นๆ และ อาจจะไม่มีความแน่นอน ซึ่งบ่งถึงพฤติกรรมการซื้อของคนกลุ่มนี้ที่ต้องซื้อของเป็นถุงหรือกล่องเล็กๆ ซึ่งราคาไม่สูงนัก เนื่องจากไม่มีกำลังซื้อ
อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ เช่น Carrefour ฟื้นก็เพราะการโฆษณาให้ลูกค้าเชื่อว่าราคาในห้างของตนถูกกว่า โดยการลงนามกับตัวแทนภาครัฐในเรื่องราคา นอกจากนี้ยังเพิ่มเงื่อนไขในการซื้อสินค้าผ่อน และสินค้าหลากหลายจึงทำให้ได้รับความนิยมอีกครั้งแถมยังเชื่อว่าจะสามารถดึงดูดลูกค้าให้กลับมาเป็นลูกค้าประจำได้อีกครั้ง
เนื่องจากการเติบโตของค้าปลีกทำให้ผู้ผลิตได้รับผลกระทบจากการต่อรองที่ค้าปลีกจะเอาตัวเลขการจำหน่ายมาเป็นเครื่องต่อรอง และรัฐบาลจะให้แหล่งนั้นเป็นเครื่องวัดการขึ้นราคาสินค้าในตลาด เพื่อเจรจากับผู้ผลิตในการขึ้นราคาสินค้า
ผู้ผลิตจะต้องคิดถึงกลยุทธในการกระจายสินค้าใหม่โดยเฉพาะกับค้าปลีกข้ามชาติ เพราะอำนาจในการต่อรอง ซึ่งจะมีผลอย่างมากต่อราคาสินค้าอาหารและทำให้ผู้ผลิตมุ่งเน้นไปยังโชว์ห่วยโดยไม่เพิ่มช่องว่างของราคาระหว่างโชว์ห่วยกับค้าปลีกข้ามชาติ
หลายบริษัทท้องถิ่นได้กำไรจากการเพิ่มยอดจำหน่ายในค้าปลีกย่อยๆ โดยผลิตเป็นยี่ห้อของห้างเพื่อหวังผลจากการเพิ่มยอดขายเนื่องจากมีราคถูกกว่าสินค้าปกติ
ในส่วนการค้าแบบอื่น เช่น ขายตรง การรักษาสุขภาพและความงาม สินค้าที่มีความคงทนคาดว่าจะได้เพิ่มยอดขายจากค้าปลีกขนาดย่อยและขนาดใหญ่ ขายตรงเพิ่มขึ้นร้อยละ 16 สินค้าคงทน ( เครื่องไฟฟ้า ) เพิ่มร้อยละ 8 สุขภาพและความงามจะลดลง ขณะที่ค้าปลีกมีโอกาสเติบโตถึง ร้อยละ40
บริษัทขายตรง เช่น Avon และ Tsu ร้านสุขภาพและความงาม เช่น.Farmacity และ Better Farm จะแข่งกับค้าปลีกในส่วนที่เป็นเครื่องสำอาง และ เครื่องใช้ในห้องน้ำ ขณะที่เครื่องใช้ไฟฟ้า Fravega และGarbarino.จะแข่งในด้านสินค้าคงทน ซึ่งการแข่งขันยังสามารถจะเติบโตได้มากเท่าที่ควร เนื่องจากลูกค้าไม่ค่อยมีเวลาจะซื้อของทุกอย่างในที่เดียวกันแทนที่ไปตามร้านต่างๆ
ซูเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่งให้ความสำคัญกับสินค้าอาหารแบบมีระดับ โดยเฉพาะสินค้านำเข้า เช่น ไวน์ราคาสูง แฮม ซัลมอนรมควัน คาเวียร์
คาดว่าอัตราเติบโตของซูเปอร์มาร์เก็ตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 ระหว่าง 2550-55 ขณะที่ยอดขายซูเปอร์มาร์เก็ต และค้าปลีกขนาดใหญ่ จะโตถึงร้อยละ11 และ 40 ( อัตราเปโซคงที่ ) ส่วนร้านค้าปลีก Premium Specialty เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 ร้านเหล่านี้จะอยู่ในย่านหรูๆ ใน กรุงบัวโนสไอเรส เช่น Recoleta Belgrano Palermo และ...เมืองใหญ่อื่นๆ เช่น คอร์โดบา โรซาริโอ และเมนโดซา
เพราะการแข่งขันกับเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาทำให้คนอาร์เจนตินาต้องเข้าคอร์สฝึกฝนมากกว่าในอดีต ตำแหน่งสำคัญๆถูกบังคับว่าต้องพูดภาษาได้มากกว่า 1 ภาษา และยิ่งมีประสบการณ์ดีๆก็จะมีโอกาสในการสมัครงานมากขึ้น
นอกจากนี้วิธีการซื้อที่สามารถประหยัดเวลาได้กลายเป็นหนทางใหม่ที่จะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่( ยอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 32 ใน ปี 2550 ) ซูเปอร์มาร์เก็ต ( ร้อยละ 24 ) สั่งสินค้าทางอินเตอร์เน็ต( ร้อยละ 85) และ โฮมชอบปิ้ง( ร้อยละ 36 ) เมื่อสามารถประหยัดเวลาในการจับจ่ายซื้อของทำให้พวกเขามีเวลาที่มองหาสิ่งบันเทิงให้ตนเองได้มากขึ้น
บริษัท เช่น COTO (ซูเปอร์มาร์เก็ตท้องถิ่น)..และ..Fravega Garbarino จะลงทุนในการขยายตลาด เช่น ให้มีสินค้าอุปโภคมากขึ้นร้านค้าจะมีขนาดเล็กลง และผู้เช่าห้างจะเลือกเนื้อที่ 4,000 ตรม. มากกว่า 10,000 ตรม.อย่างแต่ก่อน และ ซูเปอร์มาร์เก็ต เหลือ 700 ตรม. ( แทนที่จะเป็น 1,100 ) โดยกลุ่มเป้าหมาย คือ คนที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง ซึ่งจะทำให้จัดวางสินค้าได้ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย ใช้พื้นที่ให้เป็นประโยชน์ และ ราคาถูกกว่าร้านโชว์ห่วยเนื่องจากของใดที่ขายไม่ดีจะไม่วางขาย ยอดการเติบโตของ ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ และ ซูเปอร์มาร์เก็ตจะโต 40% และ 11% ขณะที่ร้านโชว์ห่วยมีอัตราเติบโตแค่ 3% ส่วนห้างที่ยังไม่มีระบบสั่งสินค้าทางอินเตอร์เน็ต เช่นวอลมาร์ท และคาร์ฟู จะเร่งพัฒนาการค้าลักษณะนี้เพิ่มขึ้น ส่วนการสั่งอาหารและเครื่องดื่มทางเน็ตเติบโตร้อยละ 126.7 ระหว่าง ปี 2550-2555 การสั่งสินค้าทางเน็ตทำให้ประหยัดเวลามากกว่าต้องไปซื้อสินค้าด้วยตนเอง
ส่วนโชห่วย จะได้รับผลกระทบจากการแข่งขันของร้านค้าปลีกทั้งขนาดเล็กและใหญ่ เนื่องจากต้องเสียเวลามาก โชห่วยอาจปรับตัวด้วยการให้บริการส่งถึงบ้านหรือบริการโทรสั่งสินค้าซึ่งทำให้เกิดความสะดวกแก่ผู้ซื้อมากขึ้น
เงินเฟ้อเป็นการปัญหาระดับชาติในอาร์เจนตินาแม้ว่าเงินเฟ้อจะลดลงอย่างมากนับแต่การลดค่าเงินเมื่อปี2545 เป็นต้นมา เมื่อปี 2550 ตัวเลขเงินเฟ้อยังอยู่ที่ 10 -15% ซึ่งก็สูงกว่าเมื่อปีก่อน และทำให้คนอาร์เจนตินารู้สึกอ่อนไหวกับอัตราเงินเฟ้อ และใช้นโยบายต่างๆ ซึ่งบางครั้งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง เช่น การแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนเปโซ ต่อ ดอลลาร์ กำหนดอัตราเงินขึ้น 20 % สูงกว่าบริษัทเอกชน โดยเฉพาะที่ที่ต้องการแรงงานจำนวนมาก เหตุผลอื่นๆ สำหรับเงินเฟ้อ คือ รัฐบาลไม่สามารถควบคุม รวมถึงราคาที่สูงขึ้นของน้ำมันและอาหาร ซึ่งมีผลต่อการขนส่งและวัตถุดิบ เช่นเดียวกับการขึ้นของแก๊สธรรมชาติ เนื่องจากการเปลี่ยนรัฐบาลโบลีเวีย
รัฐบาลจึงใช้ความพยายามจะควบคุมตัวเลขไม่ให้สูงเกินร้อยละ 10 -15 ด้วยการทำความตกลงกับบริษัทชั้นนำที่ให้ความร่วมมือในการควบคุมราคาสิ้นค้าห้างดังกล่าว เช่น Carrefour Wal Mart และ Cencosud เช่นผู้ผลิตอย่าง Johnson & Johnson, Molinos Rio de la Plata, Nestle และ Uniliver ได้ลงนามข้อตกลงกับรัฐบาลในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ แต่ข้อตกลงดังกล่าวก็ทำให้บริษัทเหล่านี้มีกำไรลดลงเนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้น เช่น เงินเดือน ค่าขนส่ง ซึ่งบริษัทที่ไม่ได้ลงนามก็ต้องพยายามแข่งขันให้ได้ แต่ก็มีช่องโหว่เนื่องจากบริษัทที่มีข้อตกลง ลงนามจะควบคุมราคาเฉพาะสินค้าบางรายการ จึงจะสามารถที่จะขึ้นราคาสินค้าอื่นได้
อย่างไรก็ตามการควบคุมราคาไม่ใช่นโยบายที่ยั่งยืน หากแต่ต้องการให้เห็นผลในระยะสั้นเท่านั้น
ที่มา: http://www.depthai.go.th