กระทรวงพาณิชย์รับลูกผู้ประกอบการโลจิสติกส์ไทยร้องขาดสภาพคล่อง จับมือธนาคารพัฒนาวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(SME BANK) ออกมาตรการเร่งด่วน หวังการแก้ปัญหาส่งผลดีถึงการส่งออกและช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในภาคธุรกิจนี้เกือบ 100,000 คน
(24 มิ.ย.52) นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธานคณะกรรมการโลจิสติกส์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้กล่าวถึงการร่วมมือกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME BANK) ในการออกมาตรการเร่งด่วนในการช่วยเหลือผู้ประกอบการโลจิสติกส์ไทยว่า เนื่องจากเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาการส่งออกลดลงถึงร้อยละ 26.6 ส่งผลให้เฉลี่ย 5 เดือนแรกของปีลดลงร้อยละ 22.9 ซึ่งต่ำสุดในรอบ 17 ปี และจากการประชุมโลจิสติกส์การค้าสัญจรของกระทรวงพาณิชย์ทั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมาทั้งที่ ICD ที่ลาดกระบัง และที่ท่าเรือแหลมฉบังพบว่าผู้ประกอบการโลจิสติกส์กว่า 15,000 บริษัท ที่ประกอบไปด้วย ธุรกิจขนส่งสินค้าทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ ธุรกิจชิปปิ้ง ธุรกิจตัวแทนดำเนินการด้านพิธีการศุลกากร ธุรกิจรับจัดเก็บดูแลสินค้า และธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ได้รับผลกระทบจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่ทำให้บริษัทต่างๆ มีรายได้และปริมาณงานลดลงมากกว่าร้อยละ 30 ถึง 50 ในขณะที่ต้นทุนของการให้บริการสูงขึ้นหลายๆบริษัทเริ่มปิดกิจการลงจึงมีความจำเป็นต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนจำนวนมากทำให้เกิดปัญหาขาดสภาพคล่อง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบริษัทเหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน หรือขอสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ หรือ ธนาคารของรัฐได้ ทั้งนี้เนื่องจากมีข้อจำกัดในเรื่อง หลักทรัพย์ค้ำประกัน ภาระอัตราดอกเบี้ยที่สูง และในบางรายยังประสบปัญหาในเรื่อง เครดิตบูโรและหากปัญหายืดเยื้อจะส่งผลต่อการจ้างงานซึ่งมีผู้เกี่ยวข้องถึงเกือบ 80,000 — 100,000 คน
ดังนั้นเพื่อช่วยเหลือธุรกิจนี้อย่างทันท่วงที รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายอลงกรณ์ พลบุตร ในฐานะของประธานคณะกรรมการโลจิสติกส์การค้า กระทรวงพาณิชย์ จึงได้เชิญผู้บริหารระดับสูงของ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ SME Bank เข้าร่วมหารือกับทางกระทรวงพาณิชย์ เพื่อจัดทำข้อตกลง “สินเชื่อ SME Power เพื่อธุรกิจโลจิสติกส์ไทย ภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์ กับ SME Bank” โดยวัตถุประสงค์ของข้อตกลง ก็เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจโลจิสติกส์ ซึ่งรับผลกระทบจากภาวการณ์การส่งออกและการค้าที่ตกต่ำลง ให้มีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งคาดว่าจะมีวงเงินสินเชื่อรวมเบื้องต้นของโครงการจำนวน 1000 ถึง 1500 ล้านบาท และวงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกินรายละ 2 ถึง 5 ล้านบาท มีระยะเวลากู้ยืมสูงสุดไม่เกิน 3 ปี ระยะเวลาปลอดชำระคืนเงินต้น (Grace Period) 1 ปี อัตราดอกเบี้ยถ้าเป็นไปได้น่าจะเท่ากับ ธุรกิจท่องเที่ยวที่ทางธนาคารมีโครงการอยู่ ในอัตรา MLR ลบ 3 ต่อปี ส่วนหลักประกันสามารถใช้การค้ำประกันไขว้ (Cross Guarantee) โดยผู้ขอสินเชื่อตั้งแต่ 2 รายขึ้นไปต้องยื่นขอสินเชื่อพร้อมกันและค้ำประกันให้กันและกัน
โดยในเบื้องต้นทางกระทรวงพาณิชย์ และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย จะตั้งคณะทำงานเพื่อกำหนดรายละเอียดของข้อตกลง และรายละเอียดของโครงการ และเร่งลงนามภายในเดือนกรกฎาคม 2552
ที่มา: http://www.depthai.go.th