เมืองหลวง : Beijing พื้นที่ : 9,561,000 ตารางกิโลเมตร ภาษาราชการ : Putonghua, or Standard Chinese ประชากร : 1.31 พันล้านคน (end-2006) อัตราแลกเปลี่ยน : CNY : Baht 4.9482 (13/07/52) (1) เครื่องชี้วัดเศรษฐกิจ
ปี 2551 ปี 2552
Real GDP growth (%) 9.0 6.0 Consumer price inflation (av; %) 5.9 -0.2 Budget balance (% of GDP) -0.1 -3.6 Current-account balance (% of GDP) 10.2 6.1 Commercial banks' prime rate (year-end; %) 5.6 5.4 Exchange rate ฅ:US$ (av) 6.95 6.84 โครงสร้างสินค้าออกของไทยกับจีน มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด
ล้านเหรียญสหรัฐฯ
สินค้าออกสำคัญทั้งสิ้น 5,467.21 100.0 -21.31 สินค้าเกษตรกรรม 863.65 15.8 -25.14 สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร 100.56 1.84 6.06 สินค้าอุตสาหกรรม 4,045.11 73.99 -15.88 สินค้าแร่และเชื้อเพลิง 457.89 8.38 -48.59 สินค้าอื่นๆ 0.0 0.0 -100 โครงสร้างสินค้าเข้าของไทยกับจีน มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด
ล้านเหรียญสหรัฐฯ
นำเข้าทั้งสิ้น 5,830.61 100.00 -28.24 สินค้าเชื้อเพลิง 64.09 1.10 -46.67 สินค้าทุน 2,553.84 43.80 -19.47 สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป 1,827.74 31.35 -42.32 สินค้าบริโภค 1,254.99 21.52 -18.66 สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง 83.23 1.43 -31.11 สินค้าอื่นๆ 46.71 0.80 4,914.06 ข้อสังเกต : (สำหรับสินค้าอื่น ๆ ในปี 2552 (มค.-พค.) มีมูลค่าการนำเข้า 46.71 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับ ช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน มีมูลค่าการนำเข้าเพียง 0.93 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 4,914.06) 1. มูลค่าการค้า มูลค่าการนำเข้า ส่งออก และดุลการค้าของไทย - จีน 2551 2552 %
(ม.ค.—พ.ค.) ล้านเหรียญสหรัฐฯ
มูลค่าการค้ารวม 15,072.92 11,297.82 -25.05 การส่งออก 6,947.83 5,467.21 -21.31 การนำเข้า 8,125.08 5,830.61 -28.24 ดุลการค้า -1,177.25 -363.41 -69.13 2. การนำเข้า จีนเป็นตลาดนำเข้าอันดับที่ 2 ของไทย มูลค่า 5,830.61 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 28.24 สินค้านำเข้าสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด
ล้านเหรียญสหรัฐฯ
มูลค่าการนำเข้ารวม 5,830.61 100.00 -28.24 1.เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ฯ 912.22 15.65 -19.21 2.เครื่องจักรไฟฟ้าฯ 801.94 13.75 -17.06 3.เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน 549.67 9.43 -27.01 4.เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 530.02 9.09 -17.13 5.เคมีภัณฑ์ 400.46 6.87 -30.50 อื่น ๆ 713.12 12.23 -28.55 3. การส่งออก จีนเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 3 ของไทย มูลค่า 5,467.21 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 21.31 สินค้าส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด
ล้านเหรียญสหรัฐฯ
มูลค่าการส่งออกรวม 5,467.21 100.00 -21.31 1.เครื่องคอมพิวเตอร์ 1,456.99 26.65 -27.83 2.ยางพารา 512.32 9.37 -35.23 3..เคมีภัณฑ์ 453.25 8.29 29.47 4.เม็ดพลาสติก 413.72 7.57 -16.13 5.แผงวงจรไฟฟ้า 264.67 4.84 -18.17 อื่น ๆ 670.60 12.27 -21.22 4. ข้อสังเกต 4.1 สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปจีน ปี 2552 (มค.- พค.) ได้แก่
เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ : จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของไทยและเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2548 - 2552 พบว่ามีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องร้อยละ 0.79 59.89 และ 21.91 ตามลำดับ ในขณะที่ ปี 2552 (มค.- พค.) เป็นครั้งแรกที่มีอัตราขยายตัวลดลงร้อยละ 27.83 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ยางพารา : จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของไทย และเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2548 - 2552 พบว่ามีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องร้อยละ 66.11 17.51 และ 21.91 ตามลำดับ ในขณะที่ ปี 2552 (มค.- พค.) เป็นครั้งแรกที่มีอัตราขยายตัวลดลงร้อยละ 35.23 เมื่อเทียบกับ ช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
เคมีภัณฑ์ : จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของไทย และเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2548 - 2552 พบว่าปี 2551 เป็นครั้งแรกที่มีอัตราการขยายตัวลดลง ร้อยละ 36.83 ในขณะที่ปี 2549 25550 และ 2552 (มค.-พค.) มีอัตราการขยายตัว เพิ่มขึ้น 126.08 9.49 และ 29.47 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับ ช่วงเวลาเดียวกันของ ปีก่อน
เม็ดพลาสติก : จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของไทย และเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2548 - 2552 พบว่ามีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องร้อยละ 18.95 9.33 และ 8.08 ตามลำดับ ในขณะที่ ปี 2552 (มค.- พค.) เป็นครั้งแรกที่มีอัตราขยายตัวลดลงร้อยละ 13.98 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
แผงวงจรไฟฟ้า : จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 4 ของไทย รองจากญี่ปุ่น และเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2548 - 2552 พบว่า ปี 2551 และ 2552 (มค.- พค.) มีอัตราการขยายตัวลดลงร้อยละ 10.26 และ 18.17ในขณะที่ปี 2549 และ2550 มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 56.64 และ 33.11 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
4.2 ในบรรดาสินค้าส่งออกจากไทยไปตลาดจีนปี 2552 (ม.ค. - พค.) 25 รายการแรก สินค้าที่มีอัตราเพิ่ม
สูงโดยสูงกว่าร้อยละ 20 มีรวม 6 รายการ คือ
อันดับที่ / รายการ 2551 2552 อัตราการขยายตัว หมายเหตุ (ม.ค.-พ.ค.) %
มูลค่าล้านเหรียญสหรัฐ
3.เคมีภัณฑ์ 350.08 453.25 29.47 6.ผลิตภัณฑ์ยาง 183.36 240.52 31.17 8.ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง 148.35 188.11 26.80 15.เครื่องโทรศัพท์/ตอบรับ 17.72 55.26 211.92 17.เครื่องตัดต่อและป้องกันวงจรไฟฟ้า 41.95 51.01 21.59 23.น้ำตาลทราย 10.04 33.75 236.14
เครื่องโทรศัพท์/ตอบรับ : จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 3 ของไทยและเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2548 - 2552 พบว่า ปี 2551 เป็นครั้งแรกที่มีอัตราการขยายตัวลดลง ร้อยละ 11.06 ในขณะที่ปี 2549 25550 และ 2552 (มค.- พค.) มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น 10.16 125.34 และ 211.92 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับ ช่วงเวลาเดียวกันของ ปีก่อน
น้ำตาลทราย : จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 7 ของไทย รองจากญี่ปุ่น และเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2548 - 2552 พบว่า ปี 2550 และ 2551 มีอัตราการขยายตัวลดลงร้อยละ 27.85 และ 37.57ในขณะที่ปี 2549 และ2552 (มค.-พค.) อัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 120.14 และ 236.14 ลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
4.3 ในบรรดาสินค้าส่งออกจากไทยไปตลาดจีนปี 2552 (ม.ค. - พค.) 25 รายการแรก สินค้าที่มีอัตราลดลง รวม 16 รายการ คือ
อันดับที่ / รายการ มูลค่า อัตราการขยายตัว ล้านเหรียญสหรัฐ % 1.เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ 1,456.99 -27.83 2.ยางพารา 512.32 -35.23 4.เม็ดพลาสติก 413.72 -16.13 5.แผงวงจรไฟฟ้า 264.67 -18.17 6.น้ำมันสำเร็จรูป 240.36 -48.83 9.น้ำมันดิบ 130.05 -64.96 12.มอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 68.68 -7.33 13.วงจรพิมพ์ 67.62 -13.25 14.ข้าว 58.45 -33.22 16.ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็งและแห้ง 54.79 -6.88 19.เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ 43.13 -43.39 20.เครื่องคอมเพรสเซอร์ของเครื่องทำความเย็น 39.47 -6.79 21.เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 37.17 -28.71 22.ผลิตภัณฑ์พลาสติก 36.87 -26.80 24.เครื่องทำสำเนา 32.37 -44.17 25.แผงสวิทซ์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า 27.84 -3.25 4.4 ข้อมูลเพิ่มเติม
หลังจากร่วมคณะโรดโชว์ประเทศจีนกับนายกรัฐมนตรีเมื่อเร็วๆ นี้ การร่วมคณะครั้งนั้นทำให้หลายๆ ธุรกิจสามารถเจรจาหาพันธมิตรร่วมธุรกิจได้หลายราย เช่นเดียวกับ บริษัทไทยฮั้ว ยางพารา จำกัด (มหาชน) รายงานว่าจากร่วมคณะทางไทยฮั้วได้มีการเจรจาทางธุรกิจ และพร้อมที่จะร่วมลงทุนกับบริษัทจีน ซึ่งเป็น 1 ใน 5 อันดับของจีน เพื่อลงทุนผลิตยางรถบรรทุกในไทย การที่บริษัทต้องหาพันธมิตรร่วมทุน เนื่องจากเห็นว่า ขณะนี้เศรษฐกิจโลกเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เมื่อโรงงานเดินสายการผลิตได้แล้วก็จะอยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัวพอดี การลงทุนครั้งนี้คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 5,000 ล้านบาท โดยไทยฮั้วจะลงทุนในสัดส่วน 30% ส่วนบริษัทร่วมทุนจากจีนลงทุน 70% บริษัทร่วมทุนจากจีนเป็นบริษัทที่มีความชำนาญและมีเทคโนโลยีในการผลิตยางรถสูง ส่วนไทยฮั้วไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เพราะถือเป็นการลงทุนครั้งแรกที่ผลิตยางรถบรรทุก การตัดสินใจร่วมทุนเพื่อผลิตยางรถบรรทุก เนื่องจากการผลิตยางรถบรรทุกต้องใช้ปริมาณยางธรรมชาติจำนวนมาก โดยยางรถบรรทุกต้องใช้ยางธรรมชาติถึง 90% แต่ใช้ยางสังเคราะห์เพียง 10% การผลิตยางรถบรรทุกเป็นการเพิ่มมูลค่าของยางพาราที่ไทยฮั้วผลิตได้มากขึ้น ซึ่งวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตจะใช้ยางพาราของไทยฮั้วทั้งหมด การลงทุนครั้งนี้คาดว่าจะได้
ข้อสรุปภายในปี 2552 คาดว่าในปี 2553 น่าจะเริ่มผลิตยางรถบรรทุกได้ โดยมีเป้าหมายที่จะส่งออกยางรถบรรทุกที่ผลิตได้ไปยังตลาดอาเซียน เนื่องจากได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า ขณะเดียวกันยังมองตลาดตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย และสหภาพยุโรป (อียู) เป็นกลุ่มเป้าหมายด้วย เชื่อว่าการลงทุนครั้งนี้จะได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่มีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่กิจการแปรรูปสินค้าเกษตร ที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนภายในปี 2552 จีนเป็นตลาดใหญ่มีความต้องการยางพาราจำนวนมาก กลายเป็นตลาดหลักในการส่งออก ไทยฮั้วจึงตั้งสำนักงานที่จีน ทำการตลาดโดยเฉพาะ พร้อมส่งทีมงานจากไทยเข้าไปติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจจีนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงเร็ว อย่างไรก็ตาม การผลิตยางคอมปาวด์เป็นการแปรรูปขั้นต้น เพื่อนำไปผลิตผลิตภัณฑ์ต่อไป โดยภาษีนำเข้ายางคอมปาวด์ของจีนยังเป็น 0 ส่วนภาษีนำเข้ายางดิบจะอยู่ที่ 20% บริษัทจึงเลือกที่จะส่งออกยางคอมปาวด์ไปประเทศจีนเพิ่มขึ้น ในส่วนของจีนสนใจที่จะเข้ามาลงทุนแปรรูปยางพาราในไทยมาก เชื่อว่าในอนาคตจะทำให้ยางพาราของไทยมีการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่ามากขึ้น ระหว่างที่ร่วมคณะไปโรดโชว์กับนายกรัฐมนตรีปลายเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา มีบริษัทแปรรูปยางพาราของจีนที่มีขนาดใหญ่ 5 บริษัทสนใจที่จะเข้ามาลงทุนแปรรูปยางพาราในไทย โดยใช้ไทยเป็นศูนย์กลางผลิต เพื่อส่งกลับไปใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ของจีน และส่งออกจำหน่ายทั่วโลก สาเหตุที่นักลงทุนจีนตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทย เนื่องจากไทยมีการผลิตยางจำนวนมาก ขณะที่จีนเป็นตลาดสำคัญของไทย โดยเฉพาะนครฉงชิ่ง ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมรถของจีน ทั้งรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ และส่วนประกอบรถยนต์
จีน-อินเดีย เตรียมขึ้นเป็นผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์โลกแทนสหรัฐอเมริกาในอนาคต เตือนผู้ประกอบการไทยรับมือการเปลี่ยนแปลง สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าหลังจากเกิดวิกฤตทางการเงินในประเทศสหรัฐอเมริกา เชื่อว่าจะส่งผลให้อุตสาหกรรมยานยนต์ได้รับผลกระทบไปด้วย และทำให้ตลาดอื่นๆ ในโลกมีโอกาสเติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดใหญ่ในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นตลาดจีนหรืออินเดีย ที่จะก้าวเข้ามาเป็นฐานผลิตหลักของอุตสาหกรรมยานยนต์โลกในอนาคต ทั้งนี้ สิ่งที่ผู้ประกอบการชาวไทยจะ ต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ก็คือหาทางเข้าสู่ตลาดเหล่านี้ให้ได้ เมื่อ มีการเปลี่ยนฐานเกิดขึ้นจริง เนื่องจาก ที่ผ่านมาผู้ประกอบการชาวไทยมองตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรปเป็นหลักมาโดยตลอด หากเกิดการเปลี่ยนแปลงกับอุตสาหกรรมยานยนต์โลกจริง ก็ต้องปรับตัวตามให้ได้อย่างรวดเร็ว โดยในอนาคตกว่า 45% ของกำลังการผลิตรถยนต์จะอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งผู้ประกอบการไทยเองก็ต้องติดตามสถานการณ์ในเรื่องนี้ให้มาก นอกจากนี้ ก็จะต้องพัฒนาในเรื่องของเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อให้ก้าวขึ้นเป็นฐานผลิตที่สำคัญเช่นกัน สำหรับสถานการณ์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยนั้น เชื่อว่าจุดต่ำสุดจะอยู่ที่ช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ขณะที่สัญญาณการฟื้นตัวจะเริ่มในช่วงไตรมาส 3 และ จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวอย่างจริงจังในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ แต่ทั้งนี้ต้องดูสถานการณ์อื่นๆ ประกอบ เช่น ในเรื่องของ ราคาน้ำมันที่เริ่มปรับตัวขึ้นอีกครั้ง ว่าจะ ส่งผลกระทบหรือไม่ ขณะที่ผลกระทบ จากไฟแนนซ์เชื่อว่าไม่มีปัญหาในส่วนของรถยนต์นั่ง แต่รถปิกอัพอาจจะยังยากอยู่ตามภาวะของตลาด
เป็นเวลากว่า 5 ปี (29 มิถุนายน 2547) ที่มีการลงนามความตกลงร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่กับฮ่องกง (Closer Economic Partnership Arrangement: CEPA ) ซึ่งความตกลงดังกล่าวถือเป็นการเปิดเสรีทางการค้าครั้งแรกระหว่างฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่ ยังประโยชน์ให้ฮ่องกงเป็นอย่างมาก อาทิทำให้มูลค่าการส่งออกฮ่องกงไปจีนแผ่นดินใหญ่ ในปี 2551 (539 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้นเป็น 5 เท่า เมื่อเทียบกับมูลค่าการส่งออกในปี 2547 สร้างงานให้คนฮ่องกงเพิ่มขึ้นประมาณ 43,200 ตำแหน่ง และจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่มาเยือนฮ่องกงสร้างรายได้ให้กับธุรกิจในฮ่องกงเพิ่มขึ้น เป็นเงินกว่า 58,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และจากการลงนามร่วมมือเพิ่มเติมครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 9 พค.ที่ผ่านมา ทำให้เปิดเสรีทางการค้าในธุรกิจบริการ ครอบคลุมเพิ่มขึ้นอีก 20 ธุรกิจบริการ (รวมครอบคลุมสินค้าและบริการทั้งสิ้น 42 กลุ่มธุรกิจ) จึงคาดได้ว่าการค้าขายระหว่างกันของจีนและฮ่องกงจะขยายเพิ่มขึ้นอีกมากในอนาคต อย่างไรก็ตาม ขณะที่ CEPA ช่วยในการขยายโอกาสทางธุรกิจให้ ฮ่องกงเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันฮ่องกงก็มองว่าเป็นภัยคุกคามเช่นกัน และจำเป็นที่จะต้องมีการปรับตัวทางเศรษฐกิจและนโยบายภาครัฐให้เท่าทัน เพราะปัจจุบันความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่มีเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ความจำเป็นของฮ่องกงในการเป็นหน้าต่างหรือสะพานเชื่อมสู่จีนก็จะลดน้อยลง ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อ CEPA ขยายออกไป บริษัทที่มีคุณภาพและเป็นมืออาชีพที่เกี่ยวข้องกับภาคบริการในฮ่องกงก็จะหันไปที่จีนมากขึ้น ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อการพัฒนาของฮ่องกงในระยะยาวและปัจจุบัน ฮ่องกงได้ผลักดันให้รัฐบาลจีนส่งเสริมบทบาทของฮ่องกง โดยเสนอให้จีนบรรจุแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมการบริการ 6 สาขา ได้แก่ การตรวจสอบและออกใบรับรอง การแพทย์และสาธารณสุข การศึกษา สิ่งแวดล้อม การบริการเชิงความคิดสร้างสรรค์ และนวตกรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งฮ่องกงถือว่าเป็นจุดแข็งของตนไว้ในแผนพัฒนาแห่งชาติของจีน ระยะ 5 ปี ฉบับที่ 12 (2554-2558) ด้วยรวมทั้งการส่งเสริมให้ฮ่องกงมีบทบาทหลักในการพัฒนาเขตสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเพิร์ล
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์จีน ออกมาเปิดเผยเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า นโยบายเชิญชวนให้บริษัทต่างชาติเข้าไปจดทะเบียนเพื่อจำหน่ายหุ้น IPO ภายในประเทศจีนนี้เกี่ยวโยงกับความพยายามของรัฐบาลที่จะหยุดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงของต่างชาติ(เอฟดีไอ) ไหลเข้าจีนลดลงติดต่อกันมา 8 เดือนจนน่าเป็นห่วง และคาดหวังว่ารัฐบาลจีนจะมีการประกาศนโยบายสร้างเสถียรภาพด้านการลงทุนในเร็วๆนี้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเป็นลู่ทางส่งเสริมให้เอฟดีไอไหลเข้าประเทศ การเชิญชวนบริษัทต่างชาติในจีนให้เข้าจดทะเบียนในตลาดทุนจีน จะช่วยเพิ่มโอกาสในการระดมทุนได้มากขึ้น ซึ่งตอนนี้มีธนาคารต่างชาติเริ่มมองถึงโอกาส หนึ่งในนี้คือ ธนาคารขนาดใหญ่สุดในยุโรป หรือ เอชเอสบีซี โฮลดิ้ง ที่คาดหมายกันว่าจะเป็นรายแรกที่เข้าไปร่วมสนับสนุนแผนก้าวไปสู่ไฟแนนเชียลฮับของจีนโดยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา นายไมเคิล จอร์จ เฮแกน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอชเอสบีซี กล่าวว่าทางธนาคารกำลังรอที่จะเข้าไปจดทะเบียนกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้เมื่อมีประกาศอนุญาตทันที
ทั้งนี้ จีนเจรจาที่จะเปิดให้ต่างชาตินำบริษัทเข้าจดทะเบียนเพื่อกระจายหุ้นในตลาดหุ้นจีนมานานเป็น 10 ปี แต่ไม่มีความคืบหน้าเกิดขึ้น ขณะที่ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เอฟดีไอไหลเข้าจีนเพิ่มสูงขึ้นกว่าเท่าตัว โดยเฉพาะนับตั้งแต่จีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก(ดับบลิวทีโอ) เมื่อปี 2544 โดยตัวเลขในปี 2551 เอฟดีไอไหลเข้าจีนพุ่งขึ้นถึง 92,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ในปีนี้เอฟดีไอกลับลดลงชัดเจนสืบเนื่องมาจากวิกฤติการเงิน นอกจากจีนแล้ว เกือบทุกประเทศในเอเชีย พยายามผ่อนปรนกฎเกณฑ์ข้อกำหนดเพื่อดึงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น โดยล่าสุดมาเลเซียได้ประกาศยกเลิกข้อกำหนดที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต้องจัดสรรหุ้นให้กับคนมาเลย์ ถือ 30% เพื่อเปิดทางให้ต่างชาติเข้าไปลงทุนถือหุ้นในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น ถือเป็นการเคลื่อนไหวอีกทางหนึ่งของหลายประเทศในเอเชียที่ต้องการดึงเอฟดีไอไหลเข้าประเทศเพื่อช่วยฟื้นเศรษฐกิจท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่มีใครให้ความมั่นใจได้ว่าจะผ่านจุดตกต่ำสุดหรือจะเริ่มฟื้นตัวได้เมื่อใด
ที่มา: http://www.depthai.go.th