จากที่ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) ได้มีการประกาศยกเลิกการใช้หลอดไฟ incandescent กำลัง 100 วัตต์ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2552 ที่ผ่านมา โดยห้ามผู้ผลิตและผู้นำเข้าจำหน่ายหลอดไฟดังกล่าว อย่างไรก็ดี ร้านค้าสามารถจำหน่ายหลอดไฟจนกว่าจะหมดสต็อก โดยการต่อต้านดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนหันมาประหยัดพลังงานเพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อน ขณะนี้พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในการให้แสงสว่างมีอัตรา 19%ของพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดทั่วโลก นอกจากนี้ ภายในปี 2553 และ 2554 จะยกเลิกการใช้หลอดไฟ incandescent กำลัง 75 วัตต์ และ 60 วัตต์ตามลำดับจนถึงปี 2559
จากข้อมูลของบริษัท Philips ได้คาดการณ์ถ้าทั่วโลกหันมาใช้หลอดประหยัดพลังงานและไดโอดเปล่งแสง(LED) จะประหยัดค่าไฟฟ้าถึง 46 พันล้านยูโร ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 239 ล้านตัน ศูนย์ผลิตกระแสไฟฟ้าจำนวน 228 แห่งและจะประหยัดการใช้น้ำมัน 685 ล้านบาร์เร็ลต่อปี ในส่วนประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป จะประหยัดค่าไฟฟ้าถึง 10 พันล้านยูโรและสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 38 ล้านตัน ศูนย์ผลิตกระแสไฟฟ้าจำนวน 52 แห่งและจะประหยัดการใช้น้ำมัน 156 ล้านบาร์เร็ลต่อปี
จากการสำรวจของ European Companies Federation ได้คาดการณ์ว่าถ้าประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปหันมาใช้หลอดประหยัดพลังงานและหลอดฟลูออเรสเซนแทนหลอดไฟ incandescent ภายในปี 2558 จะสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 23 ล้านตันต่อปีและประหยัดค่าไฟฟ้าถึง 7 พันล้านยูโร
ประอิตาลีมีประชากรทั้งหมดประมาณ 60 ล้านคน โดยแต่ละครัวเรือนยังคงบริโภคหลอดไฟแบบเก่าที่มีไส้ลวด จากการประกาศยกเลิกการใช้หลอดไฟฯ ส่งผลให้แต่ละประเทศหันมาจำหน่าย/บริโภคหลอดไฟแบบประหยัดพลังงานและหลอดฟลูออเรสเซนแทนซึ่งก็รวมถึงประเทศอิตาลี
ประเทศอิตาลีเป็นประเทศแรกที่ต่อต้านการจำหน่ายหลอดไฟ incandescent อันเนื่องมาจากปัญหาของภาวะโลกร้อนและการใช้พลังงานอย่างฟุ่มเฟือยของประชาชน จากการสำรวจของ European Companies Federation ได้คาดการณ์ถึงการหันมาใช้หลอดประหยัดพลังงานและหลอดฟลูออเรสเซนแทนหลอดไฟ incandescent ภายในปี 2558 อิตาลีจะสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 3 ล้านตันต่อปี
จากข้อมูลของ World Trade Atlas ได้รายงานการนำเข้าหลอดฟลูออเรสเซนทั่วโลกของอิตาลีปี 2009 ระหว่างเดือนมกราคม — มิถุนายน มีมูลค่ารวม 57,440 ล้านยูโร (-22.2%) เทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยประเทศที่อิตาลีทำการนำเข้าเป็นอันดับต้น ๆ ได้แก่ ฝรั่งเศส 31,049 ล้านยูโร จีน 17,357 ล้านยูโร และเยอรมัน 2,923 ล้านยูโร เป็นต้น
ไทยเป็นประเทศที่อิตาลีนำเข้าเป็นอันดับ 8 ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้า 485 ล้านยูโร (+49.5%) เทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
หลอดไฟที่ใช้ในอิตาลีมีทั้งหมดประมาณ 400 ล้านหลอด ภายในระยะเวลา 6 ปีที่ผ่าน อิตาลีได้จำหน่ายหลอดฟลูออเรสเซน 10%ของหลอดไฟที่ใช้ในอิตาลี ซึ่งการเจริญเติบโตของตลาดเกี่ยวกับแสงสว่าง/ไฟในอิตาลีเป็นไปอย่างช้า ๆ โดยมีอัตราเจริญเติบโต 1.5% ต่อปี
การจำหน่ายหลอดไฟ incandescent ของอิตาลีจะจัดจำหน่ายในศูนย์การค้าขนาดใหญ่ โดยจำหน่ายหลอดไฟ incandescent กำลัง 100 วัตต์ จำนวนมากกว่า 3,000,000 หลอด และหลอดประหยัดพลังงานกำลัง 18 และ 20 วัตต์จำนวน 1,500,000 แต่ในขณะนี้มีศูนย์การค้าขนาดใหญ่หลายแห่งที่ไม่มีการวางจำหน่ายหลอดไฟ incandescent แล้ว ส่วนหลอดไดโอดเปล่งแสง (LED) ยังมีว่างจำหน่ายไม่มากนักในตลาดอิตาลี เนื่องจากราคาที่สูงมากและให้แสงสว่างน้อย ในส่วนของราคาสามารถแบ่งได้ ดังนี้
1. หลอด incandescent ราคาประมาณ 1 ยูโร/หลอด โดยมีระยะเวลาการใช้งานประมาณ 1,000 — 2,000 ชั่วโมง/หลอด ซึ่งรวมเป็นค่าใช้จ่ายประมาณ 100 ยูโร/ปี
2. หลอดฟลูออเรสเซนและหลอด halogen ที่ใช้พลังงานต่ำ ราคาประมาณ 8-16 ยูโร/หลอด โดยมีระยะเวลาการใช้งานประมาณ 8,000 — 10,000 ชั่วโมง/หลอด รวมเป็นค่าใช้จ่ายประมาณ 18 — 22 ยูโร/ปี
3. หลอด LED กำลัง 7 วัตต์แต่ให้พลังงานเหมือนกำลัง 35 วัตต์ ราคาประมาณ 30 — 35 ยูโร/หลอด ระยะเวลาการใช้งานประมาณ 45,000 ชั่วโมง
บริษัท Osram โดยนาย Roberto Barbieri ได้เปิดเผยว่าทางบริษัทฯมียอดขายจำนวน 310 ล้านยูโร สำหรับการเปลี่ยนแปลงของการหันมาใช้หลอดไฟแบบประหยัดพลังงานแทนหลอดไฟ incandescent ทางบริษัทฯเตรียมพร้อมรับมือ
สำหรับนาย Fabio Pedrazzi ผู้อำนวยการบริษัท Beghelli ได้เปิดเผยว่าทางบริษัทฯคาดหวังว่าหลอดไฟประหยัดพลังงานจะที่มีการพัฒนาคุณภาพที่ดีขึ้น ถึงแม้ว่าจะช่วยประหยัดพลังงานถึง 70-80 % เปรียบเทียบกับหลอดไฟ incandescent ซึ่งก่อนหน้านี้ทางบริษัทฯได้เคยประสบกับปัญหาเกี่ยวกับหลอดไฟแบบประหยัดพลังงานคือ หลอดไฟจะค่อย ๆ สว่างขึ้นอย่างช้า ๆ และให้แสงสว่างน้อย
นาย Paolo Targetti ประธานของบริษัท Beghelli ได้เปิดเผยถึงยอดขายทั้งหมดของปี 2551 จำนวน 300 ล้านยูโร และการหันมาใช้หลอดไฟประหยัดพลังงานเป็นการช่วยลดการปล่อยสารพิษ แต่อย่างไรก็ดี การผลิตหลอดไฟแบบประหยัดพลังงานมีการใช้ส่วนผสมที่เป็นพิษที่เรียกว่า สารปรอท ดังนั้น ทางบริษัทฯ มีความคิดว่าในอนาคตหลอดไฟที่เหมาะสมในการบริโภคของประชาชน คือ หลอดไดโอดเปล่งแสง (LED) เพราะปราศจากสารปรอทและคลื่นไฟฟ้าที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้ใช้
ข้อดี
1. มีอายุการใช้งานยาวนานและกินไฟน้อย
2. ลดการปล่อยพลังงานความร้อนในการใช้
3. เหมาะสำหรับบริเวณที่ต้องใช้งานตลอดเวลา เช่น ระเบียงทางเดิน บันได ห้องเก็บของและโรงรถ เป็นต้น เนื่องจากการเปิด-ปิดที่น้อยครั้งส่งผลให้สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าและพลังงาน
4. ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน
ข้อเสีย
1. มีราคาแพงและมีรูปทรง/แบบไม่สวยงาม
2. ให้แสงสว่างน้อย ไม่เหมาะสำหรับบริเวณที่ต้องการแสงสว่าง ได้แก่ ถนน ทางเดินข้าง ทาง สนามเด็กเล่น ห้องครัวและห้องน้ำ เป็นต้น
3. สารปรอทที่ใช้เป็นส่วนประกอบอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพผู้ใช้
4. การกำจัด/ทำลาย
ข้อดี
1. ราคาถูกและรูปทรง/แบบสวยงาม
2. ให้แสงสว่างและหาซื้อง่าย
ข้อเสีย
1. มีอายุการใช้งานน้อยและกินไฟมาก
2. ปล่อยพลังงานความร้อนและก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ในปริมาณมาก
3. การกำจัด/ทำลาย
จากการประกาศยกเลิกการใช้หลอดไฟ incandescent กำลัง 100 วัตต์ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2552 ที่ผ่านมาทาง สคต. มิลาน เห็นว่าเป็นโอกาสดีที่ควรให้การสนับสนุนผู้ส่งออกไทยที่สนใจส่งออกผลิตภัณฑ์หลอดไฟแบบประหยัดพลังงานมายังอิตาลี เนื่องจากสินค้าดังกล่าวเป็นที่ต้องการของตลาดอิตาลีเป็นอย่างมาก มองได้จากการที่ตลาดอิตาลีมีการจำหน่ายหลอดฟลูออเรสเซนเพียง 10 %ของหลอดไฟที่ใช้ทั้งหมด
ดังนั้น ผู้ส่งออกไทยควรเน้นในเรื่องของคุณภาพ มาตราฐานที่ดี และราคาที่เหมาะสม อันเนื่องมาจากไทยมีประเทศคู่แข็งที่สำคัญได้แก่ จีนและอินเดียนอกจากนี้ ผู้ส่งออกไทยควรศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลอด LED เพราะในอนาคตหลอดไฟชนิดนี้จะเป็นที่ต้องการทั้งในตลาดอิตาลีและตลาดทั่วโลก
การประกาศยกเลิกดังกล่าวถือเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประเทศไทยในการหันมารณรงค์ให้แต่ละครัวเรือนหันมาใช้หลอดไฟแบบประหยัดพลังงานเพื่อเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับตลาดต่างประเทศต่อสินค้าไทย
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมิลาน
ที่มา: http://www.depthai.go.th