เมืองหลวง : Tokyo พื้นที่ : 377,899 ตารางกิโลเมตร ภาษาราชการ : Japanese ประชากร : 127.8 ล้านคน (October 2006) อัตราแลกเปลี่ยน : 100 เยน = 34.372 บาท (15//06/52) (1) เครื่องชี้วัดเศรษฐกิจ
ปี 2551 ปี 2552
Real GDP growth (%) 1.9 1.4 Consumer price inflation (av; %) 0.0 0.4 Budget balance (% of GDP) -2.6 -2.4 Current-account balance (% of GDP) 4.9 4.6 Commercial banks' prime rate (year-end; %) 1.8 2.1 Exchange rate ฅ:US$ (av) 117.4 105.0 โครงสร้างสินค้าออกของไทยกับญี่ปุ่น มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด
ล้านเหรียญสหรัฐฯ
สินค้าออกสำคัญทั้งสิ้น 9,811.74 100.00 -28.42 สินค้าเกษตรกรรม 1,471.75 15.00 -21.54 สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร 1,050.42 10.71 -6.55 สินค้าอุตสาหกรรม 7,127.01 72.64 -27.00 สินค้าแร่และเชื้อเพลิง 162.56 1.66 -82.79 สินค้าอื่นๆ 0.0 0.0 -100.00 โครงสร้างสินค้าเข้าของไทยกับญี่ปุ่น มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด
ล้านเหรียญสหรัฐฯ
นำเข้าทั้งสิ้น 14,441.02 100.0 -35.83 สินค้าเชื้อเพลิง 103.71 0.72 36.18 สินค้าทุน 5,809.02 40.23 -31.63 สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป 6,311.01 43.70 -41.79 สินค้าบริโภค 861.48 5.97 -17.12 สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ 1,354.95 9.38 -33.80 สินค้าอื่นๆ 0.85 0.01 -72.25 1. มูลค่าการค้า มูลค่าการนำเข้า ส่งออก และดุลการค้าของไทย — ญี่ปุ่น 2551 2552 %
(ม.ค.—ส.ค.) ล้านเหรียญสหรัฐฯ
มูลค่าการค้ารวม 36,209.72 24,252.76 -33.02 การส่งออก 13,707.12 9,811.74 -28.42 การนำเข้า 22,502.60 14,441.02 -35.83 ดุลการค้า -8,795.47 -4,629.28 -47.37 2. การนำเข้า ญี่ปุ่นเป็นตลาดนำเข้าอันดับที่ 1 ของไทย มูลค่า 14,441.02 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 35.83 สินค้านำเข้าสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด
ล้านเหรียญสหรัฐฯ
มูลค่าการนำเข้ารวม 14,441.02 100.00 -35.83 1.เครื่องจักรกล 2,962.09 20.51 -31.45 2.เหล็ก เหล็กกล้า 1,565.51 10.84 -52.75 3.แผงวงจรไฟฟ้า 1,435.08 9.94 -21.98 4. เครื่องจักรไฟฟ้า 1,393.63 9.65 -33.24 5. เคมีภัณฑ์ 1,081.53 7.49 -44.19 อื่น ๆ 937.72 6.49 -25.22 3. การส่งออก ญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 2 ของไทย มูลค่า 9,811.74 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 28.42 สินค้าส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด
ล้านเหรียญสหรัฐฯ
มูลค่าการส่งออกรวม 9,811.74 100.00 -28.42 1.เครื่องคอมพิวเตอร์ ฯ 576.95 5.88 -18.70 2.แผงวงจรไฟฟ้า 530.91 5.41 -28.60 3.ไก่แปรรูป 437.08 4.45 15.92 4.อาหารทะเลกระป๋องฯ 350.36 3.57 -2.59 5.รถยนต์ อุปกรณ์ฯ 304.93 3.11 -58.41 อื่น ๆ 3,690.67 37.61 -36.52 4. ข้อสังเกต 4.1 สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปญี่ปุ่น ปี 2552 (ม.ค.—ส.ค.) ได้แก่
เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ : ญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 5 ของไทย และเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2549 - 2552 พบว่าปี 2551 และ 2552 (มค.- สค.) มีอัตราการขยายตัว ลดลงร้อยละ 6.98 และ 18.70ในขณะที่ปี 2549 และ 2550 มีอัตราขยายตัว เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.40 และ 14.34 ตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
แผงวงจรไฟฟ้า : ญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 2 ของไทยรองจากฮ่องกง และเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2549 — 2552 พบว่า ปี 2551 และ 2552 (มค.- สค.) มีอัตราการขยายตัวลดลงร้อยละ 12.64 และ 28.60 ในขณะที่ปี 2549 และ 2550 มีอัตราขยายตัว เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.49 และ 10.27 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ไก่แปรรูป : ญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของไทยและเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2549 - 2552 พบว่ามีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องร้อยละ 0.63 4.10 94.11 และ 15.92 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลา เดียวกันของปีก่อน
อาหารทะเลกระป๋องฯ : ญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 2 ของไทย รองจากสหรัฐฯ และเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2549 — 2552 พบว่า ปี 2549 และ 2552 (มค.- สค.) มีอัตราการขยายตัวลดลงร้อยละ 2.15 และ 2.59 ในขณะที่ปี 2550 และ 2551 มีอัตราขยายตัว เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.58 และ 24.19 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
รถยนต์ อุปกรณ์ฯ : ญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 6 ของไทย และเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2549 — 2552 พบว่า ปี 2552 (มค.- สค.) มีอัตราการขยายตัวลดลงร้อยละ 58.41 ในขณะที่ปี 2549 - 2551 มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.16 19.81 และ 19.28 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
อันดับที่ / รายการ มูลค่า อัตราการขยายตัว หมายเหตุ ล้านเหรียญสหรัฐ % 3. ไก่แปรรูป 437.08 15.92 15. เตาอบไมโครเวฟและเครื่องใช้ไฟฟ้า 179.85 7.22 16. กุ้งสดแช่เย็น แช่แข็ง 174.41 26.26 8. ส่วนประกอบอากาศยานฯ 169.95 62.98 21. อาหารสัตว์เลี้ยง 158.67 2.78 22. เครื่องสำอาง สบู่ 145.62 39.59 4.3 ในบรรดาสินค้าส่งออกจากไทยไปตลาดญี่ปุ่น ปี 2552 (ม.ค.- สค.) 25 รายการแรก สินค้าที่มีอัตราลดลง รวม 19 รายการ คือ อันดับที่ / รายการ มูลค่า อัตราการขยายตัว ล้านเหรียญสหรัฐ % 1.เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ 576.95 -18.70 3.แผงวงจรไฟฟ้า 530.91 -28.60 4.อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป 304.93 -58.41 5.รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 278.49 -19.41 6.ผลิตภัณฑ์พลาสติก 276.68 -21.44 7.เลนซ์ 276.00 -15.25 8.เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ 271.07 -9.07 9.ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม 252.83 -61.09 10.ยางพารา 232.16 -20.84 11.เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ 207.68 -40.87 12.เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล 199.10 -26.78 13.ผลิตภัณฑ์ยาง 190.85 -9.46 14.ตู้เย็น ตู้แช่แข็งและส่วนประกอบ 304.93 -58.41 17.เม็ดพลาสติก 171.55 -22.03 19.เคมีภัณฑ์ 166.74 -15.69 20.เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ 160.17 -20.46 23.เนื้อปลาสดแช่เย็น แช่แข็ง 139.40 -28.93 24.เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน 138.02 -17.08 25.เครื่องพิมพ์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ 131.60 -40.46 4.4 ข้อมูลเพิ่มเติม
จากความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 และความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น (AJCEP) ในส่วนของประเทศไทยที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2552 โดยทั้งสองกรอบความตกลงได้ลดภาษีนำเข้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มระหว่างกันลงเป็น 0% แล้วในเวลานี้ ได้ส่งผลดีต่อการส่งออกสิ่งทอของไทยอย่างมาก โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้การส่งออกสินค้าเครื่องนุ่งห่มของไทยซึ่งเป็นปลายน้ำของอุตสาหกรรมสิ่งทอไปยังญี่ปุ่นมีมูลค่า 157.49 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มีการส่งออก 147.11 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือขยายตัวเพิ่มขึ้น 14.54% ถือเป็นตลาดส่งออกหลักเพียงตลาดเดียวของไทยที่ยังขยายตัวเป็นบวก ขณะที่ตลาดหลักอื่นๆ คือ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป (อียู) และอาเซียนยังขยายตัวติดลบตามภาวะเศรษฐกิจโลก ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การส่งออกเครื่องนุ่งห่มของไทยไปญี่ปุ่นยังขยายตัวสวนกระแสตลาดอื่นๆ สืบเนื่องจากภาษีที่ลดลงเป็น 0% จูงใจให้คู่ค้าจากญี่ปุ่นได้เข้ามาพัฒนาสินค้าร่วมกับผู้ผลิตของไทยเพื่อส่งออกไปญี่ปุ่นมากขึ้น ประกอบกับญี่ปุ่นต้องการที่จะลดการพึ่งพาการนำเข้าเครื่องนุ่งห่มจากจีนเพื่อลดความเสี่ยงเรื่องคุณภาพและการส่งมอบสินค้า โดยจากมูลค่าการนำเข้าสินค้าเครื่องนุ่งห่มของญี่ปุ่นประมาณ 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี ในอดีตต้องพึ่งพาการนำเข้าจากจีนสัดส่วนกว่า 91% แต่ในปีนี้จะลดสัดส่วนลงเหลือ 83% ญี่ปุ่นได้เริ่มย้ายฐานการผลิตและการสั่งซื้อมาที่อาเซียน เช่น ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย พม่า และลาวมากขึ้น บางส่วนไปบังกลาเทศโดยให้สิทธิภาษีนำเข้าอัตรา 0% เช่นกัน อย่างไรก็ดีปัจจุบันสัดส่วนการส่งออกเครื่องนุ่งห่มของไทยไปญี่ปุ่นยังน้อย โดยช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ส่งออกไปสัดส่วนประมาณ 8% ของการส่งออกในภาพรวม ส่วนตลาดที่ไทยส่งออกมีสัดส่วนมากที่สุดคือสหรัฐฯและอียู มีสัดส่วน 40 และ 33% ตามลำดับ ขณะที่เดียวกัน จากความตกลง JTEPA และ AJCEP ที่มีผลให้สินค้าผ้าผืนส่งออกไปญี่ปุ่นลดภาษีจาก 11-13% ลงเป็น 0% แล้วในเวลานี้ มีผลให้ไทยส่งออกผ้าผืนไปญี่ปุ่นได้เพิ่มขึ้นเช่นผ้าดิบเพื่อเอาไปฟอกย้อมจากปกติญี่ปุ่นจะซื้อจากจีนเป็นหลัก นอกจากนี้เป็นผลจากโครงการความร่วมมือด้านสิ่งทอภายใต้ความตกลงทั้งสองกรอบ โดยญี่ปุ่นได้สนับสนุนเงินช่วยเหลือจำนวน 11 ล้านเยน หรือประมาณ 3 ล้านบาทในการจ้างผู้เชี่ยวชาญจากญี่ปุ่นมาช่วยพัฒนาด้านสิ่งทอของไทย แยกเป็นโรงงานทอผ้า 6 โรง โรงฟอกย้อม 4 โรง และโรงงานเครื่องนุ่งห่ม 4 โรง ซึ่งในอนาคตโรงงานเหล่านี้จะช่วยเพิ่มยอดส่งออกของไทยไปญี่ปุ่นรวมถึงตลาดอื่นๆ ได้เพิ่มขึ้น สำหรับความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตรของไทย เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น และตลาดญี่ปุ่น สินค้าไทยที่เด่นกว่า ได้แก่ สตาร์ชและอินูลิน น้ำตาลและกากน้ำตาล เครื่องเทศ เนื้อสัตว์ปรุงแต่ง ข้าว ปลา/ปูกระป๋อง ไส้กรอก/ผลิตภัณฑ์ ปลา/ผลิตภัณฑ์แปรรูป เนื้อปลาฟิเล่สดแช่แย็นแช่แข็ง ส่วนสินค้าที่ไทยเป็นรอง ได้แก่ พริกไท กุ้ง/ปูสด แช่เย็นแช่แข็ง อบเชย แป้งและสาคู น้ำมันถั่วเหลือง กล้วยสด ไขมัน/น้ำมันสัตว์ น้ำแร่และน้ำอัดลม สุราและไวน์ น้ำมันปาล์ม อย่างไรก็ตาม เนื้อสัตว์ปรุงแต่งเป็นสินค้าอ่อนไหว ที่ไม่นำมาลดภาษีในกรอบไทย-ญี่ปุ่น และอาเซียน-ญี่ปุ่น
สำหรับทิศทางการค้าระหว่างไทย-ญี่ปุ่นในช่วงในช่วงที่เหลือของปี 2552 คาดว่าการค้าระหว่างไทย-ญี่ปุ่นน่าจะกระเตื้องขึ้นตามภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ส่งสัญญาณการปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากความตกลง FTA อาเซียน-ญี่ปุ่นในการเปิดเสรีการค้าสินค้าซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2552 น่าจะช่วยให้การส่งออกของไทยไปญี่ปุ่นมีขีดความสามารถทางการแข่งขันที่ดีขึ้นในตลาดญี่ปุ่น และขณะเดียวกันญี่ปุ่นจะได้รับประโยชน์จากการที่ต้องลดภาษีนำเข้าให้อาเซียนทำให้ต้นทุนนำเข้าสินค้าวัตถุดิบ/ขั้นกลางลดลง โดยญี่ปุ่นต้องลดภาษีนำเข้าสินค้าจากอาเซียน ซึ่งสินค้าร้อยละ 96.7 ของมูลค่านำเข้าจากอาเซียนจะถูกนำมาลด/ยกเลิกภาษีนำเข้า โดยร้อยละ 90 ของมูลค่าสินค้านำเข้าจะลดเป็น 0 ทันทีที่ความตกลงมีผลใช้บังคับ โดยสินค้าส่งออกจากไทยไปญี่ปุ่นที่คาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นได้แก่ สินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปโดยเฉพาะไก่แปรรูป และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปซึ่งบริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งนำเข้าสินค้าจากไทย รวมถึงการเข้ามาจัดตั้งฐานการผลิตในไทยของนักลงทุนญี่ปุ่นเพื่อป้อนกลับสู่ตลาดญี่ปุ่นหลังจากที่ประสบปัญหาด้านความปลอดภัยของอาหารในประเทศจีน ส่วนสินค้าส่งออกของไทยในกลุ่มอุตสาหกรรมได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และสินค้ายานยนต์และส่วนประกอบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามอุปสงค์ที่คาดว่าจะมีแนวโน้มการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากนโยบายสนับสนุนของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ผลักดันให้ผู้บริโภคหันมาสนใจเลือกซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
สถานการณ์การส่งออกกุ้งปีนี้ตลาดกุ้งของไทยเติบโตทั้งปริมาณและมูลค่า ซึ่งเป็นเซ็กเตอร์เดียวที่มีการส่งออกเพิ่มขึ้น ในขณะที่สินค้าส่งออกอื่น ๆ มีปัญหาตัวเลขในปี 2551 ไทยส่งออกกุ้งมูลค่าประมาณ 86,000 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% ซึ่งถ้าไม่มีปัญหาใหม่ ๆ เข้ามาในช่วงนี้จะได้เห็นกุ้งไทยส่งออกถึง 100,000 ล้านบาท โดยในไตรมาสแรกของปี 2552 นี้ส่งออกไปแล้วถึง 40,000 ล้านบาท และในช่วงปลายปี ซึ่งมีงานเฉลิมฉลองจะทำให้ตัวเลขการส่งออกเพิ่มขึ้นอีก สาเหตุหนึ่งที่ทำให้กุ้งไทยมีปริมาณการส่งออกที่สูงขึ้นในปีนี้ เป็นผลมาจากประเทศคู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนามและอินโดนีเซีย ประสบปัญหา โดยเวียดนามได้รับผลกระทบจากพายุกิสนาทำให้ผลผลิตลดลงประมาณ 10% ในขณะที่อินโดนีเซียเจอปัญหาโรคระบาดในกุ้ง ทำให้ผลผลิตลดลง 20% ประเทศไทยจึงได้รับอานิสงส์ แต่ถ้าคู่แข่งของไทยไม่มีปัญหาดังกล่าว ปีนี้กุ้งไทยจะประสบปัญหาอย่างหนัก เนื่องจากผลผลิตกุ้งมากกว่าปีที่ผ่านถึง 1 แสนตัน นอกจากนั้นพฤติกรรมการบริโภคกุ้งที่เปลี่ยนแปลงไป เดิมเราตั้งสมมติฐานว่า กุ้งแพงคนจะหันไปกินทูน่าแทน แต่ในความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะคนมีเงินไปกินกุ้งที่ภัตตาคารในราคาจานละ 10 เหรียญ จึงเปลี่ยนไปซื้อกุ้งในซูเปอร์มาร์เก็ต 2 กิโลกรัม 10 เหรียญไปทำกินที่บ้าน ซึ่งตรงนี้ทำให้กุ้งไทยเติบโตมากขึ้น ตลาดส่งออกกุ้งยังเป็นตลาดอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่นเป็นหลัก
สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย เปิดเผยถึงคำสั่งซื้อเครื่องนุ่งห่มในช่วงไตรมาส 4 ปี 2552 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงต่าง โดยปีนี้คาดว่าการส่งออกเครื่องนุ่งห่มจะอยู่ที่ 3,300 ล้านดอลลาร์ ลดลงจากปีที่แล้ว 10% โดยในไตรมาส 1 ปี 2553 ได้มีลูกค้าแจ้งว่าจะสั่งซื้อสินค้ากับผู้ส่งออกไทยเต็มกำลังการผลิตแล้ว คาดว่าการส่งออกปีหน้าจะขยายตัว 5% การส่งออกตลาดหลักดีขึ้นทุกตลาด คือสหรัฐ ยุโรปและญี่ปุ่น โดยจะทำให้การส่งออกปี 2553 กลับมาเท่ากับปี 2551 ซึ่งเป็นช่วงก่อนวิกฤติเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การส่งออกเครื่องนุ่งห่มในปี 2553 เพิ่มขึ้นทุกประเภท โดยเสื้อเด็ก ปรับตัวดีขึ้นเพราะผู้ผลิตไทยสามารถผลิตตามมาตรฐานเสื้อผ้าเด็กของสหรัฐที่ควบคุมเรื่องสารตกค้างได้ ส่วนเสื้อผ้ากีฬา มีคำสั่งซื้อเข้ามาจำนวนมาก เพื่อรองรับการแข่งขันฟุตบอลโลก ที่จะมีขึ้นในกลางปี 2553 ซึ่งผู้นำเข้าต้องการสั่งสินค้ามาเตรียมไว้ตั้งแต่ต้นปี ปี 2553 สมาคมมีเป้าหมายที่จะขยายตลาดส่งออกญี่ปุ่นมากขึ้น เพื่อใช้สิทธิประโยชน์จากข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (เจเทปา) โดยรัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้เงินช่วยเหลือ 11.5 ล้านเยน เพื่อพัฒนาคุณภาพการผลิตผ้าผืนและเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งวันที่ 20 ต.ค.นี้ ทางรัฐบาลญี่ปุ่นจะส่งผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบมาช่วยเหลือผู้ประกอบการสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม 14 ราย ทำให้ผู้ประกอบการไทยผลิตสินค้าที่ตรงกับความต้องการของตลาดญี่ปุ่นมากขึ้น
ที่มา: http://www.depthai.go.th