ช่องทางการตลาดและการจัดจำหน่ายสินค้าภาพยนตร์

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday November 12, 2009 11:55 —กรมส่งเสริมการส่งออก

การนำเสนอภาพยนตร์ให้ผู้จัดจำหน่ายภาพยนต์พิจารณา

อุตสาหกรรมภาพยนตร์และโทรทัศน์ของสหรัฐฯ มีมูลค่าปีละประมาณ 80 พันล้านเหรียญฯ บริษัทผู้ผลิตภาพยนตร์รายใหญ่จำนวนหนึ่งถือครองตลาดส่วนใหญ่ไว้ในมือ บริษัทเหล่านี้นอกจากจะเป็นผู้ผลิตภาพยนตร์แล้วยังมีบริษัทจัดจำหน่ายภาพยนตร์ของตนเองเพื่อนำภาพยนต์เหล่านี้ออกฉายสู่สาธารณชน การที่บริษัทโรงถ่ายภาพยนต์ใหญ่ๆ มีบริษัทจัดจำหน่ายภาพยนตร์ของตนเองถือเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งของการทำธุรกิจเพราะเมื่อภาพยนตร์เรื่องใดไม่ทำเงิน โรงถ่ายจะต้องรับผิดชอบการขาดทุนที่เกิดขึ้นทั้งหมดไว้คนเดียว ดังนั้นโรงถ่ายภาพยนตร์ในสหรัฐฯในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะใช้บริษัทจัดจำหน่ายภาพยนตร์ที่ไม่ใช่ของตนเองเพิ่มมากขึ้นและบริษัทจัดจำหน่ายภาพยนตร์ในสหรัฐฯ หลายรายนอกจากจะทำหน้าที่จัดจำหน่ายภาพยนตร์แล้วยังทำธุรกิจให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่ผู้สร้างเพื่อนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์และแบ่งปันรายได้จากภาพยนตร์นั้นตามสัดส่วนที่ได้มีการตกลงกันไว้

บริษัทผู้สร้างภาพยนตร์รายอื่นๆรวมถึงผู้สร้างภาพยนตร์อิสระที่ไม่มีบริษัทจัดจำหน่ายภาพยนตร์ของตนเองจะนำเสนอภาพยนตร์ของตนให้ผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์พิจารณาซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย กล่าวกันว่าการสร้างภาพยนตร์หนึ่งเรื่องง่ายกว่าการหาผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์เรื่องนั้นออกสู่ตลาด ความสำเร็จในการเข้าถึงผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับ (1) การวางแผนการประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์ที่ตนสร้างขึ้นมาให้เป็นที่รู้จักและกล่าวขวัญกันอย่างแพร่หลายในหมู่สื่อและประชาชนทั่วไป(การสร้าง “buzz”) เพื่อให้เป็นที่สนใจและกล่าวขวัญถึงในวงการ (2) เลือกติดต่อบริษัทผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ที่ตรงเป้า โดยการศึกษาและทำความเข้าใจถึงการทำธุรกิจและประวัติการทำธุรกิจของบริษัทผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ต่างๆ ว่ามีความเชี่ยวชาญหรือเน้นการทำธุรกิจไปที่ภาพยนตร์ประเภทใด และเชี่ยวชาญหรือถือครอง niche market ใด (3) มีภาพยนตร์ที่เสร็จสมบูรณ์อยู่ในมือพร้อมที่จะให้บริษัทผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์พิจารณา (4) ศึกษาและทำความเข้าใจตลาดการบริโภคที่เป็นตลาดเดียวกันหรือใกล้เคียงกันกับภาพยนตร์ที่ต้องการเสนอขาย (5) รู้ความต้องการของตนเองว่าต้องการเข้าสู่ตลาดผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายภาพยนตร์ประเภทใด

ประเภทของช่องทางในการจัดจำหน่ายสินค้าภาพยนตร์เข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ

การจัดจำหน่ายภาพยนตร์เข้าสู่ช่องทางประเภทต่างๆ ที่นิยมปฏิบัติกันในสหรัฐฯปกติแล้วจะอยู่บนพื้นฐานของกลยุทธในการกำหนดเวลาและลำดับของการจัดจำหน่ายภาพยนตร์เข้าสู่ตลาดการบริโภค- sequential distribution ที่จะช่วยรักษาความสนใจของผู้บริโภคให้ต่อเนื่องและนานพอที่จะทำรายได้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ทำการตลาดจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อตัดสินว่าจะเริ่มต้นที่ช่องทางใดที่จะสามารถสร้างโอกาสทำรายได้ให้แก่ภาพยนตร์เรื่องนั้นได้มากที่สุด

กลยุทธ์ในการกำหนดเวลาและลำดับของการจัดจำหน่ายสินค้าภาพยนตร์เข้าสู่ตลาดที่นิยมใช้กันทั่วไปมาเป็นเวลานานคือ เริ่มต้นที่ช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าหลักคือโรงภาพยนตร์ ตามติดมาด้วยการปล่อยออกสู่ตลาดค้าปลีกในรูปของการขายหรือการให้เช่า DVD หลังจากนั้นจะเป็นการนำออกเสนอฉายทางสถานีโทรทัศนที่เป็นช่องเคเบิ้ลหรือส่งผ่านสัญญาณดาวเทียมที่เป็นสำหรับตลาดระดับบน และท้ายสุดเป็นการฉายออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ธรรมดา

ปัจจุบันช่องทางการจัดจำหน่ายภาพยนตร์ออกสู่ตลาดค้าปลีกและสู่ผู้บริโภคในวงกว้างในเวลาที่รวดเร็วมีจำนวนเพิ่มมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี่ชั้นสูง และขนาดของกลุ่มผู้บริโภคที่มีความคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยี่ชั้นสูงเหล่านี้ในชีวิตประจำวันที่ขยายตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน สิ่งเหล่านี้ส่งผลทำให้วิธีการจัดจำหน่ายภาพยนต์เข้าสู่ตลาดผู้บริโภคทั่วไปจำเป็นต้องเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม เกิดกลยุทธการตลาดแบบใหม่ที่เป็นการย่นระยะเวลาและ/หรือเปลี่ยนลำดับการจัดจำหน่ายจากระบบหนึ่งเข้าสู่อีกระบบหนึ่ง โรงภาพยนต์อาจจะไม่ใช่ช่องทางหลักของการจัดจำหน่ายอีกต่อไป แม้ว่าขณะนี้การจัดจำหน่ายภาพยนตร์ส่วนใหญ่ยังคงเริ่มต้นที่โรงภาพยนต์ แต่มีภาพยนตร์หลายๆเรื่องที่เริ่มต้นการจัดจำหน่ายที่ช่องทางการจัดจำหน่ายอื่นก่อนการออกฉายในโรงภาพยนต์หรือในบางกรณีกระทำพร้อมๆไปกับการออกฉายในโรงภาพยนต์ อย่างไรก็ดี กลยุทธการจัดจำหน่ายภาพยนตร์ในรูปแบบใหม่นี้เพิ่งจะถูกนำมาใช้ในตลาดสหรัฐฯได้ไม่นานและยังไม่มีงานวิจัยศึกษาว่าเป็นกลยุทธการตลาดที่ประสบผลสำเร็จมากที่สุดในการสร้างรายได้ให้แก่ผู้ผลิตหนังและสามารถเข้าไปแทนที่ระบบการจัดจำหน่ายแบบดั่งเดิมได้อย่างเต็มที่

ช่องทางการจัดจำหน่ายภาพยนตร์ไปยังผู้บริโภคในปัจจุบันได้แก่

(1) โรงภาพยนตร์ ทั้งที่เป็นโรงภาพยนตร์ชั้นหนึ่งและโรงภาพยนต์ชั้นสอง โดยปกติแล้วการฉายภาพยนตร์เรื่องใหม่ๆ ที่เป็นภาพยนตร์ชั้นดีจะเริ่มที่โรงภาพยนตร์ชั้นหนึ่งเท่านั้น

(2) ร้านจำหน่ายและ/หรือให้เช่าวิดิโอ

(3) สถานีโทรทัศน์ปกติและสถานีโทรทัศน์ที่ให้บริการผ่านทางเคเบิ้ลหรือสัญญาณดาวเทียม

(4) สถานีโทรทัศน์เคเบิ้ลที่ต้องชำระเงินค่าดู (Pay Per View, Movie Channel, Movieon Demand)

(5) การเช่าหนังผ่านทางระบบ Internet (Netflix-มีภาพยนตร์ต่างประเทศให้เช่าจำนวนมาก)

(6) การฉายผ่านทางคอมพิวเตอร์ (ระบบ Internet, You Tube, Hulu)

(7) การหยอดเงินเช่าจากตู้ที่ติดตั้งตามหน้าร้านค้าปลีกและตลาด (ปัจจุบันมีตู้หยอดเหรียญฯให้เช่าภาพยนตร์เพียงครั้งละ 1 เหรียญฯ ต่อหนึ่งเรื่อง ตั้งอยู่ทั่วไป)

(8) โทรศัพท์มือถือ

ขณะนี้การตลาดและการจัดจำหน่ายสินค้าในรูปแบบที่ (5) ถึง (8) กำลังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริโภครุ่นใหม่ในวัยหนุ่มสาว ปัจจุบันมีเว็บไซด์ในสหรัฐฯเกินกว่า 50 เว็บไซด์ที่มีภาพยนต์และรายการโทรทัศน์ให้ผู้บริโภคดู เช่า หรือ ดาว์นโลดเว็บไซด์เหล่านี้มีทั้งที่เป็นของสถานีโทรทัศน์เครือข่ายเช่น สถานีโทรทัศน์ ABC ผู้ประกอบธุรกิจขายรายการให้ดู (pay televisions) เช่นสถานีโทรทัศน์ช่อง HBO เว็บไซด์ที่เป็นเครือข่ายการสมาคมเฉพาะกลุ่ม (social networking) เช่น MySpace ธุรกิจค้าปลีกเช่น AMAZON.Com ธุรกิจให้เช่าภาพยนต์เช่น NETFLIX แม้กระทั่งในระบบเครื่องเล่นเกมส์ต่างๆเช่น PlayStation, Xbox และธุรกิจรูปแบบใหม่ๆที่ให้บริการด้านนี้โดยเฉพาะเช่น Hulu และ TV.com

ระบบการจัดจำหน่ายภาพยนต์เข้าสู่โรงภาพยนตร์

ขั้นตอนที่ 1 การหาสินค้า

เมื่อบริษัทผู้จัดจำหน่ายสินค้าสนใจภาพยนตร์เรื่องใดจะต่อรองและทำข้อตกลงกับโรงถ่ายเจ้าของภาพยนตร์เพื่อให้ได้สินค้ามากระจายเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ทางเลือกในการทำข้อตกลงโดยปกติแล้วมีอยู่สองรูปแบบด้วยกันคือ

1. การเช่า - leasing ที่ผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ตกลงจ่ายชำระเงินจำนวนหนึ่งเพื่อซื้อลิขสิทธิ์นำหนังออกฉาย โดยปกติแล้วการทำสัญญาซื้อลิขสิทธิ์จะรวมถึงการยินยอมให้ผู้จัดจำหน่ายภาพยนต์กระจายภาพยนต์เหล่านั้นออกทางสื่อประเภทอื่นๆที่รวมถึงแผ่น ดีวีดี การฉายผ่านทางสถานีโทรทัศน์เครือข่ายหรือสถานีโทรทัศน์เคเบิ้ลหรือแม้กระทั่งการนำเสียงไปบันทึกลงในซีดี การทำโปสเตอร์ เกมส์ ของเล่น หรือสินค้า เป็นต้น

หรือ

2. การแบ่งปันผลประโยชน์- profit-sharing ระหว่างผู้จัดจำหน่ายและโรงถ่าย โดยแบ่งปันเปอร์เซ็นต์กำไรสุทธิจากรายได้ของหนัง โดยปกติผู้จัดจำหน่ยจะได้ส่วนแบ่งระหว่าง 10- 50 เปอร์เซ็นต์

ขั้นตอนที่ 2 การวางกลยุทธ์ด้านการตลาด

เมื่อบริษัทผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ได้ลิขสิทธิ์ภาพยนต์เรื่องใดแล้วจะเริ่มวางกลยุทธการตลาดที่จะนำภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวเข้าสู่ตลาดโดยอยู่บนพื้นฐานของการพิจารณาเงื่อนไขต่างๆ ดังนี้คือ

1. ความมีชื่อเสียงของโรงถ่ายเจ้าของหนัง

2. ความมีชื่อเสียงของดารา

3. ความ”ดัง-buzz”ของภาพยนต์ (ข่าว คำวิจารณ์ และความคาดหวังที่ถูกสร้างให้เกิดขึ้นก่อนที่ภาพยนตร์เรื่องนั้นจะออกสู่สายตา)

4. กลุ่มผู้ดูเป้าหมาย

5. ฤดูกาล (ช่วงเวลาที่เหมาะสมกับเนื้อหาของภาพยนต์เรื่องนั้นๆ)

ภาพยนตร์ที่มีศักยภาพสูงคือภาพยนต์ที่สร้างโดยโรงถ่ายที่มีชื่อเสียง มีเนื้อเรื่องที่ดี และมีดารานำแสดงที่มีชื่อเสียง ผู้จัดจำหน่ยภาพยนตร์จะนำเงื่อนไขต่างๆเหล่านี้มาพิจารณาตัดสินจำนวนสำเนาของภาพยนตร์เรื่องนั้นที่จะกระทำขึ้นเพื่อแจกจ่ายไปฉายในที่ต่างๆ การทำสำเนาภาพยนตร์หนึ่งเรื่องสำหรับฉายในโรงภาพยนตร์จะมีค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 1,500.00 เหรียญฯต่อหนึ่งสำเนา

ขั้นตอนที่ 3 การขายต่อภาพยนตร์

บริษัทผู้จัดจำหน่ายภาพยนต์จะต่อรองขายสินค้าให้แก่ผู้ซื้อ -buyers ที่ทำหน้าที่แสวงหาภาพยนตร์และต่อรองกับบริษัทผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ โรงภาพยนต์ส่วนใหญ่จะใช้ผู้ซื้อ-buyers เป็นตัวกลางต่อรองกับบริษัทผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ โรงภาพยนตร์เครือข่ายขนาดใหญ่จะจ้าง buyers เป็นลูกจ้างประจำในขณะที่โรงภาพยนต์ขนาดเล็กจะใช้การทำสัญญาจ้างเป็นครั้งๆไป ในการตัดสินใจซื้อภาพยนต์ ผู้ซื้อภาพยนต์ไม่ได้คำนึงถึงศักยภาพในการทำรายได้ของหนังเรื่องนั้นๆ แต่เพียงอย่างเดียวแต่ยังคำนึงถึงโอกาสในอนาคตที่จะได้ภาพยนตร์ดีๆ จากผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ดังนั้นบางครั้งผู้ซื้อภาพยนตร์จะซื้อภาพยนตร์ที่โรงภาพยนตร์อาจจะไม่สนใจแต่ผู้ซื้อต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้จัดจำหน่ยภาพยนตร์ และภาพยนตร์ที่มีศักยะภาพสูงก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะประสบความสำเร็จและทำรายได้ให้แก่ผู้สร้าง

ขั้นตอนที่ 4 การซื้อภาพยนตร์ไปฉาย

วิธีการที่โรงภาพยนตร์จะซื้อภาพยนต์ไปฉายมีอยู่ด้วยกัน 2 วิธีคือ

(1) การประมูล โรงภาพยนต์จ่ายเงินจำนวนหนึ่งเพื่อซื้อลิขสิทธิ์นำหนังออกฉาย กำไรหรือขาดทุนขึ้นอยู่กับรายได้ที่โรงภาพยนต์ได้รับจากการฉายหนังเรื่องนั้นๆ

(2) การคิดเปอร์เซ็นต์และแบ่งจากรายได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชมภาพยนตร์ระหว่างเจ้าของโรงภาพยนตร์และผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ ตามแต่จะตกลงกันในรายละเอียด

ขั้นตอนที่ 5 การจ่ายชำระเงินและการคืนภาพยนตร์

เมื่อสิ้นสุดการฉายภาพยนตร์ โรงภาพยนตร์จะจ่ายเงินในส่วนที่ได้มีการตกลงกันว่าจะเป็นของผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์และคืนสำเนาภาพยนต์ที่นำมาฉาย

ช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ๆสำหรับผู้สร้างหนังรายย่อยหรือผู้สร้างหนังอิสระ

การเข้าถึงช่องทางกระจายภาพยนตร์ในระบบปกติเพื่อเข้าสู่โอกาสการฉายภาพยนต์ในโรงภาพยนต์เป็นเรื่องค่อนข้างยากลำบากสำหรับผู้สร้างภาพยนตร์รายย่อยๆ หรือผู้สร้างอิสระส่วนใหญ่ที่ไม่มีเงินทุนและอิทธิพลมากพอ ช่องทางกระจายภาพยนตร์หรือการนำภาพยนตร์ออกสู่สายตาของสาธารณะชนที่เป็นทางเลือกอื่นของผู้สร้างภาพยนตร์กลุ่มนี้ ได้แก่

1. พิพิธภัณฑ์

2. สวนสาธารณะ

3. ห้องประชุมมหาวิทยาลัย

4. ห้องประชุม/โรงยิม โรงเรียนมัธยมปลาย

5. ร้านค้าปลีกเครื่องมือและอุปกรณ์การถ่ายภาพยนตร์

6. ร้านขายคอมพิวเตอร์ที่มีจอขนาดใหญ่ที่ปกติไว้ใช้ในการฝึกการใช้คอมพิวเตอร์ที่ร้านขายเช่น ร้านขายคอมพิวเตอร์ยี่ห้อ Apple ที่มียี่ห้อเป็นที่รู้จักกันดี มีสินค้าที่ดึงดูดความสนใจของคนรุ่นใหม่ มีลูกค้าเข้าร้านจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีซอฟแวร์สำหรับใช้ในการตัดแต่งหนังพร้อม จึงเป็นสถานที่หนึ่งที่มีความพร้อมสูง ที่จะเป็นช่องทางกระจายสินค้าแบบไม่เป็นทางการของผู้สร้างหนังสมัครเล่นหรือผู้สร้างหนังอิสระต่างๆ

7. ร้านอาหารที่มีห้องพิเศษสำหรับเลี้ยงแขกจำนวนมาก

8. สถานที่ทางศาสนา (สำหรับภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง)

9. องค์กรไม่หวังผลกำไร (สำหรับภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง)

10. ร้านขายเสื้อผ้าสำหรับวัยรุ่นโดยเฉพาะ ที่เป็นร้านที่มีนโยบายการตลาดแบบล้ำหน้าและที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง

11. สุสาน (สุสานในเมืองใหญ่ๆในสหรัฐฯส่วนใหญ่จะมีเนื้อที่กว้างขวางและมีการจัดตกแต่งสถานที่สวยงาม สุสานบางแห่งอาจจะมีเนื้อที่ไม่มากนักแต่อยู่ในทำเลที่ดีเช่น สุสานด้านหลังของโรงถ่ายภาพยนตร์ Paramount ในนครลอสแอนเจลิสที่มีการจัดปิกนิกและฉายภาพยนตร์เก่าๆ ทุกๆ เย็นวันศุกร์ เป็นต้น)

12. โรงภาพยนตร์/โรงละครขนาดเล็กในคอมมูนิตี้

13. country clubs

14. ห้องสมุดสาธารณะ

ผู้สร้างภาพยนต์อิสระสามารถใช้ช่องทางต่างๆข้างต้นเป็นจุดเริ่มต้นในการแนะนำสินค้าและการเริ่มต้นการจัดจำหน่ายภาพยนตร์ของตน ทั้งนี้จำเป็นต้องเลือกสถานที่ที่เหมาะสมและเข้ากับเนื้อหาและประเภทของภาพยนต์ และกลุ่มผู้ดูเป้าหมาย กลยุทธทางการตลาดที่นำมาใช้เมื่อนำภาพยนต์ออกฉายในสถานที่เหล่านี้อาจจะรวมถึง

1. การส่งคำเชิญผ่านทางระบบอิเลคโทรนิกส์ เช่น e-mail และโปสการ์ด ไปยังกลุ่มนักธุรกิจ/สื่อมวลชน/ผู้บริโภคเป้าหมาย

2. การขอการสนับสนุนจากธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจเครื่องดื่มนำมาบริการผู้เข้าชม

3. เตรียมความพร้อมที่จะให้ข้อมูลเบื้องหลังการถ่ายโดยนำทีมงานครบชุดรวมถึงผู้ผลิต ผู้กำกับ และดารา ไปให้ข้อมูลและตอบคำถามแก่ผู้เข้าชมงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อมวลชน

4. เตรียมความพร้อมที่จะแจกสิ่งของสำหรับใช้ในการส่งเสริมการขาย เช่น ภาพโปสเตอร์หนัง นามบัตร เป็นต้น

5. ทำการประชาสัมพันธ์การฉายภาพยนตร์ไปยังสื่อต่างๆในท้องถิ่น

พฤติกรรมผู้บริโภคสหรัฐฯในการเลือกช่องทางกระจายภาพยนตร์

สิ่งที่มีอิทธิพลสูงสุดต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคในการเลือกช่องทางกระจายภาพยนต์คือ คุณภาพของภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ โรงภาพยนต์ชั้นหนึ่งยังคงเป็นทางเลือกอันดับแรกสำหรับภาพยนตร์ที่ผู้บริโภคมีความคาดหวังสูง

ประเภทของภาพยนตร์ที่ผู้บริโภคสหรัฐฯนิยมในปัจจุบันพิจารณาจากส่วนแบ่งตลาดของภาพยนตร์ประเภทต่างๆในปี 2008 (Nash Information Service LLC) เรียงตามลำดับได้ดังนี้คือ หนังตลก (comedy) หนังแอ๊คชั่น (action) หนังผจญภัย (adventure) หนังชีวิต (drama) หนังตื่นเต้น (thriller/suspense) หนังรักแบบตลก (romantic comedy) หนังสยองขวัญ (horror) หนังเพลง (music) หนังสารคดี (documentary) การแสดงคอนเสิร์ตต่างๆ (concert/performance)

บริษัทผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์

กลุ่มที่ 1 บริษัทผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์รายใหญ่

บริษัทผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์รายใหญ่เรียงตามส่วนแบ่งตลาดของปี 2008 ได้แก่ Warner Brothers, Paramount Pictures, Sony Pictures, Universal Studios, 20th Century Fox, Buena Vista, Lionsgate, Fox Searchlight, Summit Entertainment และ Focus Features บริษัทอื่นๆในกลุ่มนี้ ได้แก่ Viacom, Miramax,

กลุ่มที่ 2 บริษัทผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ขนาดกลาง

บริษัทผู้กระจายสินค้าภาพยนต์รายย่อยเช่น First Look, Focus Features, Freestyle Releasing, IDP, IFC Films, Magnolia Pictures, Piturehouse, SPC, ThinkFilm, Weinstein Co.

กลุ่มที่ 3 บริษัทผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์เข้าสู่ช่องทางใหม่ๆเช่น

(1) CineMuse (www.cinemuse.com)

(2) The Filmmakers Channel-On Line Pay-Per View Distribution www.thefilmmakerschannel.com

(3) Break.com

(4) YouTube

(5) Revver — www.revver.us

(6) First Showing LLC - www.firstshowing.net

การส่งเสริมภาพยนตร์ของต่างประเทศในสหรัฐฯ

ประเทศที่มีการส่งเสริมภาพยนตร์ของตนในสหรัฐฯ (รัฐแคลิฟอร์เนีย) อย่างเข้มแข็ง ได้แก่

1. อินเดียเป็นประเทศที่ให้ความสนใจอย่างจริงจังในการส่งเสริมภาพยนตร์ของตนเองในตลาดสหรัฐฯ หน่วยงาน Indian Film Festival of Los Angeles (www.indianfilmfestival.org) เป็นองค์กรไม่หวังผลกำไรที่จัดเทศกาลภาพยนตร์อินเดียขึ้นในนครลอสแอนเจลิสเรียกว่า Indian Film Festival of Los Angeles (IFFLA) ที่ ArcLight Hollywood ในเดือนเมษายนของทุกๆปี การจัดงานในปี 2008 มีการนำภาพยนตร์ออกมาฉายรวมทั้งสิ้น 30 เรื่อง (ภาพยนตร์ที่นำออกมาฉายต้องผ่านการสมัครเพื่อเข้ารับการคัดเลือกจากกรรมการ) ในปี 2009 มีการจัดประกวดภาพยนตร์อินเดีย และกำหนดจัดงานครั้งต่อไปในระหว่างวันที่ 20-25 เมษายน 2010

การดำเนินงานของ Indian Film Festival of Los Angeles ไม่ได้มุ่งไปที่การฉายภาพยนต์อย่างเดียวแต่หากรวมถึงการดำเนินการอื่นๆที่จะเป็นการส่งเสริมภาพยนตร์อินเดียในตลาดสหรัฐฯเช่น การจัดประกวดภาพยนตร์ และการจัดหาเงินทุนให้แก่ผู้สร้างภาพยนตร์รายใหม่ๆเป็นต้น

2. เกาหลี จัดฉายภาพยนตร์เกาหลีสำหรับชุมชนเกาหลีอยู่เป็นประจำ โดยฉายในโรงภาพยนตร์ที่เป็นของนักธุรกิจเกาหลี และที่ Korean Cultural Center Los Angeles

3. ญี่ปุ่น (Japan Film Festival-www.jffla.org) กำหนดจัดงานครั้งต่อไป (ครั้งที่ 3) ในเดือนเมษายน 2010

4. ลาตินอเมริกาโดย Latino International Film Institute — www.latinofilm.org องค์กรไม่หวังผลกำไรเจ้าของงาน Los Angeles Latino International Film Festival

5. เม็กซิโก (Hola Mexico Film Festival-www.holamexicoff.com) เริ่มจัดเทศกาลภาพยนตร์เม็กซิโกในสหรัฐฯเป็นครั้งแรกในปี 2008 การจัดงานจะกระทำในฤดูร้อนในเมืองใหญ่ๆทั่วสหรัฐฯเช่น ลอสแอนเจลิส นิวยอร์ค และชิคาโก

6. โปแลนด์ Polish Film Festival (www.polishfilmla.org) จัดงานครั้งสุดท้ายวันที่ 22 เมษายน— 3 พฤษภาคม 2009 กำหนดจัดงานครั้งต่อไปซึ่งเป็นครั้งที่ 11 ระหว่าง วันที่ 20 เมษายน -2 พฤษภาคม 2010

สถานที่สำหรับฉายภาพยนตร์ต่างประเทศ

แหล่งฉายภาพยนตร์ต่างประเทศในนครลอสแอนเจลิสที่สำคัญที่สุดคือโรงภาพยนตร์ ArcLight Hollywood (www.archlightcinemas.com), 6360 W. Sunset Blvd., Los Angeles, CA 90028 นอกจากนี้ยังมีโรงภาพยนตร์หรือองค์กรไม่หวังผลกำไรที่ให้บริการชนกลุ่มน้อยเช่น

1. Korean Cultural Center Los Angeles

2. Naz 8 (www.naz8.com)

เทศกาลภาพยนตร์ (Film Festival) หรือตลาดภาพยนตร์ (Film Market)

เทศกาลภาพยนตร์ที่เรียกว่า “Film Festival” เป็นงานเน้นการส่งเสริมภาพยนตร์ในหมู่ผู้บริโภคเฉพาะตลาด (niche market) ในขณะที่ “Film Market” เป็นงานสำหรับนักธุรกิจในวงการภาพยนตร์ เพื่อขายภาพยนต์เข้าสู่ช่องทางต่างๆของการจัดจำหน่ายภาพยนต์ Film Festival และ Film Market ที่สำคัญในสหรัฐฯเรียงตามลำดับเวลาจัดงานได้แก่

เดือนมกราคม

1. Sundance Film Festival (www.sundance.org), Park City, UT

2. Palm Springs International Film Festival (www.psfilmfest.org) , Palm Springs, CA

เดือนมิถุนายน

3. Los Angeles Film Festival (www.lafilmfest.com) , Los Angeles, CA

เดือนกรกฏาคม

4. Comic-Con International (www.comic-con.org), San Diego, CA

เดือนกันยายน

5. Telluride Film Festival (www.telluridefilmfestival.com), Telluride, CO

เดือนพฤศจิกายน

6. American Film Market (www.afma.com), Santa Monica, CA

ฤดูใบไม้ร่วง

7. New York International Independent Film and Video Festival (www.nyfilmvideo.com), New York City, NY

เทศกาลภาพยนตร์ในสหรัฐฯมีอยู่หลายเทศกาลด้วยกัน แต่ละเทศกาลเหมาะสำหรับภาพยนตร์ที่แตกต่างกัน เทศกาลภาพยนต์ในสหรัฐฯที่ผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์สหรัฐฯให้ความสนใจมากที่สุดคือ Sundance ซึ่งถือว่าเป็นเทศกาลที่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับผู้สร้างหนังอิสระหรือนักแสดงหน้าใหม่ที่จะผลักดันตนเองเข้าสู่วงการ และ AFM-American Film Market สำหรับการขายภาพยนตร์ให้แก่ผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ของสหรัฐฯ นอกจากนี้เทศกาลภาพยนตร์ในเมืองอื่นๆ ในสหรัฐฯเช่นที่ Seattle, Atlanta, San Francisco และ Southwest สามารถเป็นแหล่งนำเสนอสินค้าที่ดีมากเช่นกัน

เทศกาลภาพยนตร์อื่นๆ ในสหรัฐฯเช่น

1. USA Film Festival (www.usafilmfestival.com)

2. U.S. International Film & Video Festival (www.filmfestawards.com)

3. Tribeca Film Festival (www.tribecafilm.com)

4. Miami International Film Festival (www.miamifilmfestival.com)

5. Arizona International Film Festival (www.filmfestivalarizona.com)

6. Aspen Filmfest (www.aspenfilm.org)

7. Ann Arbor Film Festival (www.aafilmfest.org)

8. Boulder International Film Festival (www.biff1.com)

9. Beverly Hills Film Festival (www.beverlyhillsfilmfestival.com)

10. California Next Gen Film Festival (www.nextgenfilmfest.org)

11. California Independent Film Festival (www.caindiefilmfest.org)

12. Chicago International Film Festival (www.chicagofilmfest.com)

13. Eerie Horror Film Fest (www.eeriehorrorfest.com)

14. Great Lakes Independent Film Festival (www.greatlakesfilmfest.com)

15. Fort Lauderdale International Film Festival (www.fliff.com)

16. Long Beach International Film Festival (www.longbeachfilmfestival.com)

ที่มา

1. How Movie Distribution Works by Jeff Tyson

2. The Last Picture Show? Timing and Order of Movie Distribution Channels, Thorsten Henning-Thurau, Victor Henning, Henrik Sattler, Felix Eggers & Mark B. Houston

3. Movie Industry Marketing

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ นครลอสแอนเจลิส

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ