เครื่องเทศที่เป็นวัตถุดิบสำหรับทำผงแกงมีราคาสูงขึ้น นอกจากขมิ้นจะมีราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์แล้ว ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา พริกไทยก็มีราคาแพงขึ้นเกือบร้อยละ 30 เมล็ดยี่หร่าและเมล็ดผักชีก็เช่นเดียวกัน อากาศแปรปรวนในประเทศผู้ผลิต เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ปริมาณการผลิตลดลง ประกอบกับการบริโภคภายในครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ ส่งผลให้มีผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง
ขมิ้น วัตถุดิบที่ให้สีเหลืองแก่แกงกระหรี่ ในประเทศอินเดียซึ่งเป็นแหล่งผลิตที่สำคัญนั้น มีราคาอยู่ที่ประ-มาณตันละ 3,300 เหรียญสหรัฐ (รวมค่าขนส่งแล้ว) ซึ่งเป็นราคาสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยช่วงก่อนฤดูใบไม้ผลิมีราคาอยู่ที่ประมาณ 1,500 เหรียญสหรัฐ นอกจากความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นเนื่องมาจากความใส่ใจในสุขภาพแล้ว การผลิตยังได้ลดลงทุกๆ ปีอีกด้วย สำหรับผลผลิตในฤดูใบไม้ผลิหน้านั้น การผลิตไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ เนื่องจากปริมาณฝนน้อยในฤดูร้อน สต็อกของผลผลิตในโกดังน้อยลง ทำให้ความกังวลว่า หากการลดปริมาณการผลิตแพร่ออกไป ราคาจึงเริ่มถีบตัวสูงขึ้นตั้งแต่เดือนสิงหาคม ในประเทศอินเดียซึ่งเครื่องเทศเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในวัฒนธรรมการบริโภคอาหาร จึงมีการซื้อขายกันในราคาสูงอย่างเข้มข้น ซึ่งหลังจากราคาขึ้นไปอยู่ที่ตันละ 3,000 เหรียญสหรัฐ เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ก็มีแนวโน้มที่ราคาจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่วนเมล็ดยี่หร่าที่ใช้เพื่อเสริมกลิ่นของแกงนั้น ผลผลิตจากประเทศอิหร่านราคาตันละเกือบ 4,000 เหรียญสหรัฐ เทียบกับเมื่อเดือนมิถุนายนแล้ว เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 พริกไทยดำจากประเทศมาเลเซียซึ่งใช้เป็นดัชนีวัด ก็มีราคาอยู่ที่ตันละประมาณ 4,400 เหรียญสหรัฐ ซึ่งเมื่อเทียบกับราคาซื้อขายที่ใกล้ต่ำสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์แล้ว สูงขึ้นมากกว่าร้อยละ 30
โดยทั่วไป เครื่องเทศจะสามารถผลิตได้ในภูมิภาคที่มีอากาศแห้งและดินเสื่อม จากสาเหตุที่ภูมิอากาศแปรปรวนหรือการเปลี่ยนเป็นภาวะทะเลทราย ทำให้ภูมิภาคที่เหมาะสมต่อการผลิตน้อยลงไปด้วย จึงเริ่มมีความวิตกกันว่า ราคาเครื่องเทศจะมีแนวโน้มสูงขึ้นในระยะยาว
แกงสำเร็จรูปบรรจุซองหรือผงแกงมียอดขายเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงที่แล้ว เนื่องจากการหันมานิยมรับประทานอาหารกันภายในครัวเรือน คาดว่าขมิ้นที่มีราคาสูงขึ้นนี้ จะออกสู่ตลาดในประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า สมมุติว่า นำเข้าวัตถุดิบในราคาตันละ 3,000 เหรียญสหรัฐ ก็จะมีราคาอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 300 เยน ซึ่งคิดเป็น 1.5 เท่าของราคาขายส่งในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม ปริมาณการบริโภคเครื่องเทศต่อครั้งนั้น ยังเป็นปริมาณน้อยอยู่ ผู้ประกอบการญี่ปุ่นส่วนใหญ่มีการรองรับวิกฤตการณ์เครื่องเทศที่มีราคาผันผวนรุนแรง ด้วยการทำสัญญาซื้อขายระยะยาวเพื่อป้องกันความเสี่ยง แต่ House Foods Corp. ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อาหารรายใหญ่ กล่าวว่า “ณ ขณะนี้ ยังมีผลกระทบน้อย” อย่างไรก็ตาม ยังคงจะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครโอซากา
ที่มา: http://www.depthai.go.th