เกาหลีเหนือ เป็นคู่ค้าอันดับ 135 ของฮ่องกง ในปี 2551 การค้าระหว่างกันมีมูลค่า 1,091 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นการที่เกาหลีเหนือส่งออกมาฮ่องกงเป็นมูลค่า 898.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ฮ่องกงเป็นฝ่ายได้ดุลการค้าเป็นมูลค่า 704.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สินค้าที่เกาหลีเหนือนำเข้าส่วนใหญ่ได้แก่ ยาและอุปกรณ์การแพทย์ เครื่องมือวิเคราะห์ อุปกรณ์โทรคมนาคม เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเลคทรอนิกส์ อุปกรณ์ขับเคลื่อนทางถนน ในขณะที่เกาหนีเหนือส่งออกสินค้าประเภทวัตถุดิบ ประเภทโลหะผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เป็นส่วนใหญ่ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ ฮ่องกงส่งออกสินค้าไปเกาหลีเหนือเพิ่มขึ้นถึง 2.6 เท่า ตามรายละเอียด ดังนี้
สินค้า มูลค่า (ล้านUSD) %Share %Change ยอดรวม 2,411.3 100 263.1 1. Medicinal & Pharmaceutical Prd. 1,203.0 49.9 .... 2. Professional, Scientific & Controlling 272.4 11.3 438.2 Instruments/apparatus 3. Telecommunication, Audio&Video 238.6 9.9 52.5 4. Electrical Machinery, Apparatus & 226.5 9.4 338.6 Appliances and Part 5. Coffee, Tea, Cocoa, Spices 124.5 5.2 ....
หากพิจารณาตามข้อมูลที่มีอยู่จะเห็นว่า เกาหลีมิใช่เป็นประเทศ คู่ค้าสำคัญในเวทีการค้าระหว่างประเทศ ทั้งในด้านการเป็นผู้ผลิตหรือเป็นผู้ซื้อ การนำเข้าสินค้าส่วนใหญ่ก็จะเป็นสินค้าที่จำเป็นเชิงยุทธศาสตร์ทั้งสิ้น การส่งออกกก็จะเป็นสินค้าพื้นฐานเท่านั้น อาจด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ ซึ่งเป็นที่ทราบกันอยู่ทั่วไปดังนั้น การปรับค่าเงินในประเทศของเกาหลีเหนือ น่าจะเป็นไปเพื่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นหลัก เพราะแม้อัตราแลกเปลี่ยนใหม่จะทำให้ค่าเงินเกาหลีสูงขึ้นเป็นอย่างมาก ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าส่งออกเกาหลีเหนือมีราคาแพงขึ้น แต่เนื่องจากปริมาณและมูลค่าการส่งออกไม่มากและมีจำกัด ดังนั้นผลกระทบจึงไม่มาก แต่จากอัตราแลกเปลี่ยนนี้ จะทำให้เกาหลีเหนือสามารถมีเงินมาชำระหนี้ หรือซื้อสินค้าจากต่างประเทศได้มากขึ้น
โดยสรุป การปรับค่าเงินของเกาหลีเหนือไม่มีผลกระทบต่อสินค้าไทยในตลาดฮ่องกง และฮ่องกงเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับข่าวนี้เท่าไรนักเมื่อเทียบกับ กรณีดูไบ หรือเวียดนาม อย่างไรก็ตาม ถ้าจะใช้วิกฤตเป็นโอกาสจะเห็นว่าไทยมีโอกาสขยายตลาดการส่งออกสินค้ากับเกาหนีเหนือได้เพิ่มขึ้น เพราะมีสินค้าจำเป็นหลายรายการที่ไทยเองก็มีศักยภาพในการเป็นผู้ผลิต แต่คงต้องพิจารณาความเหมาะสมในหลายมิติประกอบด้วย
สคต.ฮ่องกง
ที่มา: http://www.depthai.go.th