ไปเซี่ยงไฮ้...มหานครแห่งอนาคต

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday December 9, 2009 15:38 —กรมส่งเสริมการส่งออก

เซี่ยงไฮ้....มหานครที่คุณต้องมาเยือน

เซี่ยงไฮ้ หรือที่เรียกกันในภาษาท้องถิ่นว่า “ซ่างไห่”เดิมเป็นหมู่บ้านชาวประมงขนาดเล็ก และพัฒนาตนเองเป็นศูนย์กลางการค้านับแต่ศตวรรษที่ 10 และถูกประเทศเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่นและชาติตะวันตกรุกราน ภายหลังสงครามฝิ่น รัฐบาลจีนจำต้องลงนามในสนธิสัญญาหนานจิง ยอมให้ชาติตะวันตกเข้ามาค้าขาย ซึ่งเขตสัมปทานของต่างชาติในสมัยนั้นครอบคลุมย่านใจกลางเมืองฝั่งผู่ซี (ด้านซีกตะวันตกของแม่น้ำผู่) ในยุคปัจจุบันเกือบทั้งหมด

ในอดีต มหานครแห่งนี้ได้รับสมญานามว่า “ปารีสตะวันออก” (Oriental Paris) คนไทยรู้จักเซี่ยงไฮ้ผ่านภาพยนต์จอเงินทางช่อง 3 ในเรื่อง “เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้” ที่โด่งดังเมื่อหลายปีก่อน เซี่ยงไฮ้มีประชากรประมาณ 20 ล้านคนและนับเป็นเมืองที่มีชาวต่างชาติอาศัยมากที่สุดของจีน เซี่ยงไฮ้มีขนาดเพียง 5,800 ตารางกิโลเมตร เรียกว่าใหญ่กว่ากรุงเทพฯ เล็กน้อย แต่มีขนาดเศรษฐกิจเกือบเท่าไทยทั้งประเทศ

ครั้นได้ไปสัมผัสสถานที่จริงแล้ว ยิ่งพบว่ามหานครแห่งนี้ยิ่งใหญ่กว่าชื่อเสียงที่เล่าขานกันเสียอีก เพราะปัจจุบันเซี่ยงไฮ้เป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนอันดับที่ 1 ของจีน และยังได้กำหนดวิสัยทัศน์ที่จะพัฒนาเป็นศูนย์กลางในหลายด้าน อาทิ ธุรกิจและการเงินระหว่างประเทศ ลอจิสติกส์ และวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งได้ผสมผสานเอาวัฒนธรรมตะวันออก (ของจีน) ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและกลิ่นอายความเป็นตะวันตกยุคใหม่เข้าไว้ด้วยกันจนสุดบรรยาย จนสามารถดึงดูด นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศได้กว่า 70 ล้านคน-ครั้งในแต่ละปี ด้วยการพัฒนาที่รวดเร็ว ผมเองก็แทบนึกภาพเดิม ๆ ในอดีตของนครเซี่ยงไฮ้ได้ยากเต็มที

ไว่ทัน ... ย่านริมน้ำ

จุดแรกที่ผมจะพาท่านแวะไปซึบซับบรรยากาศความยิ่งใหญ่ ก็คือ หาดไว่ทันอันเลื่องชื่อนั่นเอง ฝรั่งต่างชาติเรียกย่านนี้ว่า “เดอะบันด์” (The Bund) หรือที่ชาวยุโรปชอบเรียกว่า “เดอะบุนด์” เล่ากันว่าตลอดถนนจงซานตงลู่เส้นนี้แต่เดิมเป็นหาดเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำหวงผู่ซึ่งเป็นเพียงสาขาหนึ่งของตอนปลายแม่น้ำแยงซีเกียง แม่น้ำหวงผู่แห่งนี้กว้างและลึกกว่าแม่น้ำเจ้าพระยาของเราไม่มากนัก และมีเรือขนส่งสินค้าใช้ลำน้ำนี้อย่างหนาแน่น หากท่านเดินทางไปเที่ยวก็สามารถนั่งเรือเฟอรรี่ชมวิวทิวทัศน์สองฝั่งแม่น้ำได้ โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งสามารถซึมซับบรรยากาศความแตกต่างระหว่างความเก่าและใหม่ของสถาปัตยกรรมสองฝั่งแม่น้ำอย่างเห็นได้ชัด

บริเวณริมชายหาดไว่ทันที่เคยเป็นแหล่งขันลงสินค้าเมื่อครั้งอดีตนั้น ปัจจุบันได้ถูกก่อสร้างเป็นเขื่อนริมแม่น้ำซึ่งกลายเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ โดยด้านติดริมแม่น้ำนี้จะมี 2 ระดับ ด้านบนเป็นจุดชมวิว ส่วนด้านล่างเป็นที่นั่งเล่น สวนดอกไม้ และมีรูปปั้นบุคคลสำคัญ เช่น นายพลเฉิน อี้ นายกเทศมนตรีเซี่ยงไฮ้คนแรก ซึ่งดูเผลิน ๆ จะนึกว่าเป็นรูปปั้นของเหมา เจ๋อ ตุง และรูปปั้นที่แสดงพลังประชาชน เช่น รูปกำปั้น ให้ถ่ายรูปกันเพิ่มเติม โดยเฉพาะอาคารสูงในย่านผู่ตง (Pudong) (ด้านซีกตะวันออกของแม่น้ำผู่) ซึ่งอยู่อีกฝั่งแม่น้ำ

เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะมาเยือนนครเซี่ยงไฮ้เกือบร้อยล้านคนในงานเอ๊กซ์โปในกลางปี 2553 รัฐบาลเซี่ยงไฮ้ยังได้ลงทุนปรับภูมิทัศน์ในย่านไว่ทันครั้งใหญ่ โดยขุดอุโมงค์ให้รถยนต์หันไปวิ่งใต้ดินและใช้ถนนด้านบนเป็นถนนคนเดินยาวหลายกิโลเมตร นี่ก็ทำมาได้กว่าปีแล้ว เห็นว่าจะแล้วเสร็จให้ผู้คนได้ไปชื่นชมได้ในต้นปี 2553

เมื่อมองข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม ตลอดถนนจงซานตงลู่ (Zhong Shan Dong Lu) ก็จะเห็นอาคารบ้านเรือนซึ่งส่วนใหญ่สูงประมาณ 10-15 ชั้นที่ออกแบบก่อสร้างในสถาปัตยกรรมแบบยุโรปตะวันตก ความสวยงามของอาคารเหล่านี้อาจทำให้หลายคนคิดว่าตนเองเดินเที่ยวเล่นอยู่ในยุโรปแถมในยามราตรี อาคารคลาสสิคเหล่านี้เปิดไฟตกแต่งสว่างไสว เรียกว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของเซี่ยงไฮ้ ในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวชาวจีนและชาวต่างชาติ ทุกเพศทุกวัยมาเดินเล่นถ่ายรูป และชมวิวกันเต็มไปหมด

ปัจจุบันอาคารย่านนี้เป็นสถานที่ตั้งของหน่วยงานราชการจีน อาทิ กรมศุลกากร และตลาดซื้อขายทองคำ และสถานกงสุลของต่างชาติ อาทิ สเปนและไทย รวมทั้งเป็นศูนย์กลางธุรกิจและการเงินที่สำคัญของเซี่ยงไฮ้ บริษัทข้ามชาติ เช่น ไบเออร์ และสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของโลก เช่น ซิตี้แบ้งค์ และเอไอเอ รวมทั้งสถาบันการเงินท้องถิ่นชั้นนำต่างมาเปิดสาขาของตนบนถนนเส้นนี้กันทั้งนั้น โรงแรม Peace Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมสไตล์ตะวันตกแห่งแรกของจีนก็อยู่ในย่านนี้ (อยู่ระหว่างการปิดปรับปรุง) ใครไปใครมาชอบแวะไปฟังแจ๊สที่นั่นกัน เห็นว่านักดนตรียังเป็นชุดดั้งเดิมที่มีแต่ละคนล้วนมีอายุกว่า 70 ปีกันแล้วทั้งนั้น

นอกจากนี้ ระยะหลังยังมีสินค้าแฟชั่นชื่อดังของโลกต่างมาจับจองพื้นที่ชั้นล่างของอาคารริมหาดไว่ทันกันมาก ขณะที่ชั้นบนของอาคารเหล่านี้ก็มีร้านอาหารหรูสไตล์ตะวันตก ญี่ปุ่น และจีนอยู่เต็มไปหมด แต่ที่น่าภาคภูมิใจก็คือ มีสาขาของธนาคารกรุงเทพไปตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กับเขาด้วยและสำนักงานของหน่วยงานราชการของไทยในจีน อาทิ สถานกงสุลใหญ่ และหน่วยงานด้านการลงทุนและการค้าก็เคยเช่าพื้นที่อยู่ในชั้น 2 และชั้น 3 ของอาคารแห่งนี้ด้วย

ย่านผู่ตง (Pudong) ... เขตพัฒนาเศรษฐกิจใหม่

จากฝั่งผู่ซีไปเยือนย่านผู่ตง ท่านสามารถเดินทางไปได้หลายเส้นทาง ทั้งอุโมงค์ลอดและสะพานข้ามแม่น้ำหวงผู่ แต่เส้นทางที่ใกล้ที่สุดควรใช้เส้นทางอุโมงค์ซึ่งมีความยาวประมาณ 2,300 เมตรอุโมงค์นี้ออกแบบให้โค้งเป็นรูปตัว S เพื่อเพิ่มระยะทางและลดความชันลง ที่ไม่สร้างเป็นสะพานข้ามนัยว่าเป็นเรื่องของฮวงจุ้ยและความสวยงามของทัศนียภาพ ปัจจุบันเซี่ยงไฮ้มีอุโมงค์เช่นนี้ 3 เส้นทางและจะก่อสร้างเพิ่มขึ้นอีก 4 เส้นทางในอนาคต

ความเจริญของย่านผู่ตงเกิดขึ้นนับแต่ต้นศตวรรษที่ 21 โดยรัฐบาลจีนกำหนดที่จะสร้างให้พื้นที่บริเวณนี้เป็นเมืองใหม่และพัฒนาเป็นศูนย์กลางการเงินของโลกในอนาคต ภายหลังเหตุการณ์ก่อการร้ายในสหรัฐฯ เมื่อ 11 กันยายน 2544 ก็ยิ่งทำให้แผนงานที่รัฐบาลจีนวางไว้เป็นจริงเป็นจังมากขึ้น พื้นที่ศูนย์กลางของย่านธุรกิจนี้ได้แก่ส่วนที่อยู่ติดริมแม่น้ำ บริเวณจุดหักโค้งของสายแม่น้ำที่เป็นลักษณะแหลม หรือที่เรียกว่า “ลู่เจียจุ่ย” (Lujiazui) ซึ่งเต็มไปด้วยอาคารสูงที่ออกแบบอย่างวิจิตรพิศดารแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ หากมองจากฝั่งตรงข้าม (ย่านไว่ทัน) แล้ว ท่านอาจรู้สึกว่ากำลังมองเมืองแห่งโลกอนาคตยังไงยังงั้น

จุดเด่นที่สุดของวิวจากฝั่งตรงข้ามนี้เห็นจะได้แก่ หอคอยไข่มุก (The Oriental Pearl Tower) ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์ “Mingzu TV Tower” หอคอยไข่มุกนี้ใช้เวลาก่อสร้างถึง 4 ปีและเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี 2537 นี้เอง หอคอยแห่งนี้มีความสูงถึง 468 เมตร เรียกว่าสูงที่สุดในเอเซียและสูงเป็นอันดับ 3 ของโลกเลยทีเดียว หอคอยนี้ออกแบบก่อสร้างในลักษณะศิลปะร่วมสมัยแบบยุโรป โดยมีสถาปนิกชาวจีนวัย 26 ปีของบริษัท เซี่ยงไฮ้ออเรียลทอล กรุ๊ป จำกัดเป็นผู้ออกแบบ นัยว่าก่อนหน้านั้น รัฐบาลเซี่ยงไฮ้จัดประกวดรูปแบบของสถาปัตยกรรมที่จะก่อสร้างขึ้นบริเวณนั้น และมีสถาปนิกนับพันคนที่ยื่นแบบเข้าแข่งขัน แต่ที่แบบนี้ได้รับคัดเลือกเพราะมีความหมายลึกซึ้งและสะท้อนความเป็นตะวันออกด้วยในเวลาเดียวกัน โดยหอคอยจะมีลักษณะเสมือนไข่มุกสีชมพูและสีเงิน 11 ลูกตกลงมาจากสวรรค์ลงบนจานมรกต

ชาวจีนส่วนใหญ่ถือว่าหอคอยไข่มุกแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของเซี่ยง ไฮ้ยุคใหม่ ถ้ามีโอกาสผมแนะนำให้ท่านขึ้นไปบนหอคอยยามค่ำคืน จะเห็นความยิ่งใหญ่ของมหานครเซี้ยงไฮ้ผ่านแสงสีที่ระยิบระยับสุดลูกหูลูกตา ทั้งนี้มีจุดชมวิว 3 ระดับ ไล่ตั้งแต่ระดับ 90 เมตร ที่เรียกว่า “Space City” ระดับที่ 2 เรียกว่า “Sightseeing Floor” สูงประมาณ 263 เมตร นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะขึ้นไปชมเมืองในระดับนี้ และระดับสูงสุด 350 เมตร ที่เรียกว่า “Space Module” นอกจากนี้ ยังมีห้องอาหารลอยฟ้า ณ ระดับ 267 เมตร ห้องอาหารนี้หมุนรอบตัวเองอย่างช้า ๆ (Revolving Restaurant) ถ้าเงินเหลืออาจขึ้นไปนอนที่ “Space Hotel” ที่อยู่ระหว่างจุดชมวิวระดับที่ 1 และระดับที่ 2 ของหอคอยแห่งนี้ซักคืน แต่คืนหนึ่งราคาเกือบหมื่นบาท และต้องจองล่วงหน้าหลายเดือนเพราะมีเพียง 20 ห้องเท่านั้น

ถัดจากหอคอยนี้ก็เป็นที่สถานที่ตั้งของซุปเปอร์แบรนด์ มอลล์ (Super Brand Mall) หนึ่งในห้างสรรพสินค้าชั้นนำในย่านนั้นของซีพีกรุ๊ป หลังจากที่ซบเซาในช่วงแรก ปัจจุบันห้างสรรพสินค้าแห่งนี้มีห้างร้านชั้นนำจำนวนมากไปเปิดให้บริการจนลูกค้าชาวจีนเข้าไปใช้บริการอย่างหนาแน่น โดยเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และนับว่าเป็นห้างสรรพสินค้าที่มีร้านอาหารที่มากที่สุดแห่งหนึ่งในโลกในเร็ววันนี้ อาคารสำคัญที่อยู่ถัดไปเพียงช่วงถนนก็คือ ศูนย์ประชุมนานาชาติที่เปิดใช้ครั้งแรกในการประชุมผู้นำเอเปคเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ศูนย์ประชุมฯ แห่งนี้ก่อสร้างโดยใช้คนงาน 4,000 คนตลอด 24 ชั่วโมง รวมเวลาก่อสร้างเพียง 1 ปี แต่เมื่อถามจากนักธุรกิจก่อสร้างของไทยที่เดินทางไปด้วยกันว่าถ้าบ้านเราสร้างจะใช้เวลาซักขนาดไหน ก็ได้รับคำตอบว่า คงจะต้องใช้เวลาก่อสร้างอย่างน้อย 2 ปี!!!

ตึกหนึ่งที่สร้างได้สวยงามยิ่งก็คือ The Jin Mao Tower ซึ่งเป็นอาคารสีเงินประดับด้วยกระจกสูง 88 ชั้น ถ้าท่านใช้เส้นทางอุโมงค์ ท่านจะเห็นอาคารนี้ได้เป็นอาคารแรก ๆ เมื่อขึ้นจากอุโมงค์ ตอนล่างของอาคารนี้เป็นสำนักงานและตอนบนเป็นโรงแรม Grand Hyatt ซึ่งนับเป็นโรงแรมหนึ่งที่สูงที่สุดในโลกเลยทีเดียว แถมยามค่ำคืนยังมีลำแสงไฟคู่ส่องสว่างขึ้นท้องฟ้าเรียกความสนใจจากผู้ผ่านไปมาอีกด้วย เรียกว่าสามารถเห็นได้ชัดแต่ไกล เมื่อกลางปี 2550 นักปีนตึกชื่อดังชาวฝรั่งเศสที่ได้รับฉายาว่า “มนุษย์แมงมุม” ก็เพิ่งมาโชว์ฝีมือการไต่อาคารนี้ไป

อีกอาคารหนึ่งได้แก่ Shanghai World Financial Center ของกลุ่ม Mori Building Corporation ของญี่ปุ่น ที่ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังอย่าง Kohn Pedersen Fox Associates ร่วมมือกับ East China Architecture and Design Institute อาคารนี้ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างตั้งแต่ปี 2540 และวางศิลาฤกษ์ไปเมื่อ 27 สิงหาคม 2540 แต่กว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดใช้ก็ปาเข้าไปต้นปี 2551 สาเหตุที่ล่าช้ามากบ้างก็ว่าเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจในเอเซีย บ้างก็ว่าถูกทางการจีนให้หยุดการก่อสร้างเนื่องจากความขัดแย้งระหว่างจีนและญี่ปุ่นที่ประทุขึ้นเมื่อ 2-3 ปีก่อน

อย่างไรก็ดี เมื่อสร้างเสร็จ อาคารนี้จะมีพื้นที่รวมทั้งสิ้นกว่า 377,000 ตารางเมตร มีความสูง 101 ชั้นหรือสูงถึง 492 เมตร ด้านบนจะมีช่องสี่เหลี่ยมเพื่อลดแรงลมที่จะกระทบอาคาร พร้อมสะพานเดินชมวิว ภายในจะมีสถานที่จัดประชุม (ชั้น 1-5) สถานที่ทำงาน (ชั้น 7-77) โรงแรม (ชั้น 79-93) สิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ครบครัน ตั้งแต่ร้านค้าปลีก และที่จอดรถใต้ดิน รวมทั้งจะมีการติดตั้งลิฟท์ผู้โดยสารจำนวนรวม 31 ตัวเพื่อรองรับผู้ใช้บริการ

อีกตึกหนึ่งที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและคาดว่าจะแล้วเสร็จในราว 2555 ก็คือ “Shanghai Tower” รูปทรงของอาคารนี้มีต้นแบบจาก “กระโปรงมาริลีล มอนโรว์ (Marilyn Monroe) ที่พริ้วไหว” จึงมีลักษณะที่บิดตัวตลอดตัวอาคาร โดยเมื่อสร้างเสร็จคาดว่าจะสูงถึง 632 เมตร รวมจำนวน 128 ชั้น ซึ่งจะกลายเป็นอาคารที่สูงที่สุดของจีน ทำให้ย่านนั้นมีอาคารสูงให้ยลหลายอาคารและห่างเพียงไม่กี่สิบก้าวเท่านั้น

นอกจากนี้ ในย่านผู่ตงนี้ ยังมีป้ายโฆษณาสินค้าชั้นนำของโลกประดับประดาด้วยไฟแสงสีระยิบตาทั่วไปหมด เช่น เป๊ปซี่ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับประตูเข้าออกหอคอยไข่มุก ขณะที่โคคา-โคลา และเอ็นอีซีกระโดดขึ้นไปเด่นเป็นสง่าอยู่บนยอดตึกสูงโน่น จากคำบอกเล่าของคนจีนที่นั่น อาคารระฟ้าทั้งหมดนี้ใช้เวลาก่อสร้างเพียงไม่กี่ปีเท่านั้นเอง และทุก ๆ เดือนก็จะมีอาคารขนาดใหญ่สร้างเสร็จอย่างน้อยหนึ่งหลังทุกเดือน ผมเชื่อว่า หากปิดตาใครก็ตามพาไปบริเวณนั้นและเปิดตาขึ้น ใครคนนั้นจะไม่นึกว่าอยู่ในเมืองจีนกันเลย

หนานจิงลู่....ถนนคนเดิน

ถนนสายนี้คนไทยมักเรียกว่า “ถนนนานกิง”หรือ “หนานจิงลู่” ในภาษาท้องถิ่น มีระยะทางยาวจากหัวถนนถึงปลายสุดประมาณ 5.5 กิโลเมตร ผมผ่านเข้าไปบริเวณนั้นจากด้านหาดไว่ทัน แต่เห็นป้ายโฆษณาแล้วอยากจะเรียกว่า “ถนนเป๊ปซี่”มากกว่าเพราะมีป้ายโฆษณาของน้ำดำยี่ห้อนี้เกือบตลอดสายจุดเด่นของถนนสายนี้ ก็คือ การปิดถนนบางช่วงประมาณ 2 กิโลเมตรไม่ให้รถวิ่ง และจัดให้เป็นถนนคนเดิน สำหรับผู้ที่นิยมแสงสีและการจับจ่ายใช้สอย แต่หากท่านมีปัญหาการเดินในระยะทางไกล ๆ หรือไม่ต้องการเดินช้อปปิ้ง ก็มีรถรางให้บริการ โดยต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 3 หยวน หรือประมาณ 15 บาท

สองฝั่งถนนบริเวณนี้เต็มไปด้วยร้านขายสินค้าและร้านอาหารทั้งจีนและเทศนับพันร้าน แต่ขอบอกก่อนว่าบริเวณนี้เป็นย่านซื้อหาสินค้าที่คนต่างเมืองหรือต่างประเทศนิยมมาเดินเล่นโดยเฉพาะสำหรับคนจีนนั้น มีคำบอกว่า ชีวิตหนึ่งควรมาเยือนหนานจิงลู่สักครั้ง จึงทำให้มีผู้คนหลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศเพื่อมาเดินท่องเที่ยวและจับจ่ายใช้สอยในบริเวณนี้กัน ร้านรวงแถวนี้จะเปิดทุกวันและปิดราว 4 ทุ่ม

ช่วงหยุดยาววันแรงงาน (ต้นเดือนพฤษภาคม) และวันชาติจีน(ต้นเดือนตุลาคม) ซึ่งอากาศดีมาก ก็จะมีนักท่องเที่ยวทั้งจีนและเทศมาเดินกันควั่กไคว่ตามถนนหนทางและร้านรวงก็ตกแต่งกันอย่างได้ใจ โดยเฉพาะสีแดงพรึบเต็มไปหมด หลังจากสังเกตดูพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของคนจีนยุคใหม่แล้ว พวกเราหลายคนยังสงสัยอยู่ว่าชาวเซี่ยงไฮ้มีเงินจับจ่ายใช้สอยสินค้ามีราคาแพงกันขนาดนี้เชียวหรือ โดยพบว่าส่วนใหญ่จะเลือกซื้อสินค้าแบรนด์ดัง ๆ ของตะวันตกซะด้วย แต่เช่น รองเท้าไนกี้ (Nike) ได้รับความนิยมมาก แต่รองเท้าเลียนแบบแบรนด์ดังกลับแทบไม่มีคนสนใจ นึกแล้วก็อดเป็นห่วงแทนรัฐบาลจีนในอนาคตไม่ได้ ร้านอาหารตะวันตกจะมีคนไปยืนต่อแถวกันยาวเหยียด ในบรรดาร้านอาหารจานด่วน ร้านแม็คโดนัลด์ส (McDonald’s) ดูจะมีจำนวนสาขาและได้รับความนิยมมากที่สุด

นอกจากนี้ ยังพบว่าหนุ่มสาวเซี่ยงไฮ้รับเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวันมากไม่แพ้ของไทย ในด้านการแต่งกาย ผมเห็นสาวจีนใส่เสื้อผ้าสายเดี่ยว โชว์สะดืออย่างดาษดื่น ทรงผมก็ไว้ตามสมัยนิยม การเดินจับมือถือแขนหรือยืนกอดจูบกันมีให้เห็นกันโดยทั่วไปในบริเวณนั้น จนบางครั้งอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าไม่มีป้ายโฆษณาภาษาจีนในบริเวณนั้น จะนึกว่ากำลังเดินอยู่ในยุโรปเป็นแน่

สวนอวี้หยวน...อีกเสน่ห์หนึ่งประจำเมือง

เซี่ยงไฮ้ยังมีสถานที่เที่ยวมากมาย อาทิ ในด้านศิลปะวัฒนธรรมคนไทยนิยมมาสักการะวัดวาอารามที่นี่ ถ้าพอมีเวลา ผมแนะนำให้ไปไหว้พระที่ 3 วัดสำคัญ ได้แก่ วัดพระหยกขาว วัดจิ้งอัน และวัดหลงหวา นอกจากนี้ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรมสำคัญอีกหลายแห่ง อาทิ พิพิทธภัณฑ์เซี่ยงไฮ้และพิพทธภัณฑ์ผังเมือง แต่ที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง ได้แก่ สวนอวี้หยวน (Yu Yuan Garden)

“สวนอวี้หยวน” เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่บริษัททัวร์นิยมพาคณะลูกทัวร์มาเยือนในเซี่ยงไฮ้ แต่เวลาผมถามคนไทยที่ได้มีโอกาสมาเที่ยวสวนอวี้หยวนแห่งนี้ ส่วนใหญ่มักจะเอ่ยถึงย่านช๊อปปิ้งก่อน แต่ที่ผมอยากเล่าให้อ่านกันในวันนี้เป็นส่วนของสวนอวี้หยวนดั้งเดิม

สวนอวี้หยวนเป็นสวนหินที่สวยที่สุดในนครเซี่ยงไฮ้ ส่วนแห่งนี้มีประวัติความเป็นมามากกว่า 4 ศตวรรษ ตั้งอยู่ฝั่งผู่ซี (ด้านซีกตะวันตกของแม่น้ำผู่) เจ้าของเดิมคือ “ผ่าน หยิน ตวน” ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองเสฉวนในยุคนั้น โดยตั้งใจว่าจะก่อสร้างสวนนี้เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยของบิดามารดาสวนนี้นับว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในเซี่ยงไฮ้ การก่อสร้างต้องว่าจ้างคนงานฝีมือนับพันคนเป็นเวลากว่า 20ปี เรียกว่าต้องก่อสร้างสวนข้ามราชวงศ์กันเลยทีเดียว จึงทำให้สวนนี้ผสมผสานสถาปัตยกรรมในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงเอาไว้ แต่ก็สามารถทำได้อย่างกลมกลืน จนทุกคนที่ได้ยลต่างชื่นชมในความวิจิตรบรรจงและประณีตพิถีพิถัน กล่าวคือ แต่ละสิ่งที่ปรากฏอยู่ในสวนแห่งนี้ล้วนแต่มีความหมายที่ดีแก่ผู้อยู่อาศัยและผู้มาเยือนทั้งสิ้น อาทิ ตามแนวสันกำแพงมีสัตว์คล้ายมังกรทอดยาวอยู่ทั้งสิ้น 5 ตัวเพื่อแสดงถึงอำนาจ อย่างไรก็ดีเนื่องจากมังกรเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ แต่เจ้าของสวนเป็นเพียงข้าราชการ จึงลดจำนวนนิ้วของมังกรจาก 5 เหลือ 3 บ้าง 4 บ้างเพื่อมิให้เกิดปัญหาและข้อครหาว่าต้องการทาบบารมีของกษัตริย์

ขณะที่ตามแนวหลังคาก็ประดับตกแต่งไปด้วยโคมไฟสไตล์จีนและกระเบื้องลวดลายพิเศษ ขณะที่บนหลังคาก็มีการก่อสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่มีความหมายดี อาทิ มังกรพ่นน้ำ “ซื้อเหวิน” และค้างคาวจีน “เปลี่ยนโฟ๋ว” เพื่อเป็นสิริมงคลไม่ให้ไฟไหม้บ้านและอยู่เย็นเป็นสุข ตามลำดับ

ขณะเดียวกัน ประตูทางเข้าห้องในแต่ละส่วนก็ทำเป็นรูปต่าง ๆ เช่น แจกันและผลน้ำเต้าหลากหลายขนาด หรือประดับตกแต่งเป็นประตูมังกรบ้าง ประตูหินบ้าง ทำให้แต่ละส่วนดูแตกต่างไม่ซ้ำกัน ขณะที่พื้นทางเดินปูด้วยกระเบื้องที่เป็นตัวอักษรจีนที่มีความหมายที่เป็นมงคล เช่น คำว่า “เงิน” และ “อายุยืน” เป็นต้น

ตามช่องหน้าต่างก็มีรูปต้นสนและนกกระยาง ซึ่งในวัฒนธรรมจีนมีความหมายว่า“ความมีอายุยืนยาว” ขณะที่ตามผนังอาคารก็เป็นรูปต่างๆ นานา เช่น เทวดาถวายลูกท้อ และดอกโบตั๋นซึ่งหมายถึง มีอายุมั่นขวัญยืน และมั่งมีศรีสุข ตามลำดับ นอกจากนี้ ทางเข้าห้องสำคัญก็มักมีหินแกะสลักเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ ที่มีความหมายอันเป็นมงคล เช่น สิงโตคู่

เมื่อเดินชมต่อไปถึงพื้นที่ตอนในของสวน “นุ่ยหยวน” ก็มีหอสำราญไว้ต้อนรับแขกสำคัญ หอสำราญนี้มีชื่อว่า “ไขว้โหล” ซึ่งแปลว่า “เมืองสวรรค์” ลักษณะของหอสำราญไม่ใหญ่มากนักแต่จุดเด่นอยู่ที่ลักษณะของสถาปัตยกรรมที่ยกลอยสูงท่ามกลางกลุ่มเมฆหินที่แกะสลักไว้อย่างงดงามด้านล่าง ดังนั้น เวลาที่ท่านขึ้นไปอยู่บนหอสำราญและมองออกมาภายนอก จะรู้สึกว่าตนเองอยู่บนสวรรค์ดั่งชื่อหอเลยทีเดียว

สวนตอนในยังมีสระน้ำอยู่มากมาย บางจุดมีศาลากลางน้ำและเชื่อมต่อด้วยสะพานซิกแซ็ก (Zigzagging Bridge) ทีแรกผมเข้าใจว่า เป็นกุศโลบายที่หากใครไปดื่มกินในห้องนั้นแล้วคงนอนค้างคืนที่นั่น เพราะถ้าเมาคงต้องเดินตกน้ำกันเป็นแน่ แต่ที่ไหนได้ สะพานซิกแซ็กเหล่านี้ นอกจากจะถูกสร้างขึ้นเพื่อความสวยงามแล้ว ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อลดภัยคุกคามจากผู้ไม่ประสงค์ดี แถมผู้รู้บางคนยังบอกว่า เพื่อไว้ป้องกันผี ถามไปถามมาก็ถึงบางอ้อ เพราะได้รับคำอธิบายว่า ผีจีนกระโดดได้แต่ตรง ๆ เลี้ยวไม่เป็น!!!

ที่น่าสนใจอีกจุดหนึ่ง ได้แก่ โรงงิ้วหรือโอเปร่าจีนซึ่งมีอยู่หลายห้องด้วยกัน แต่ห้องใหญ่ที่สุดตกแต่งด้วยทองคำนับพันจุด และมีการประดิษฐ์และติดตั้งลำโพงเทียมขึ้น โดยทำเป็นเกลียวคล้ายก้นหอยสีทองครอบอยู่บนหลังคาของห้องแสดงงิ้วและตอนปลายสุดมีรูให้เสียงออก ซึ่งช่วยให้เจ้าของบ้านและแขกผู้ฟังซึ่งอยู่ไกลออกไปได้ยินเสียงร้องได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ด้านหน้าโรงงิ้วยังมีตัวอย่างหินที่ใช้ในการก่อสร้างสวนแห่งนี้ เห็นแล้วก็ยิ่งทึ่งในความพยายามของเจ้าของบ้านเสียจริงๆ

อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นภายในสวนแห่งนี้ที่ไม่ควรพลาดชม ก็คือ “อู้หลินหลง” หรือหิน 81 รู หินนี้มีรูพรุนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติอยู่ทั่ว โดยตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางลานและขนาบด้วยหินสวยขนาดเล็กกว่าอีกสองก้อนจากคำบอกเล่าของผู้รู้ หินนี้นับเป็นหินที่สวยที่สุด 1 ใน 3 ของจีน นักท่องเที่ยวจึงมักมาหยุดถ่ายรูปกันที่นี่เต็มไปหมด

สำหรับผู้ที่ชอบต้นไม้ใบหญ้า ก็รับรองไม่ผิดหวัง ท่านจะเพลิดเพลินกับต้นไม้เก่าแก่นานาพันธุ์และสีเขียวชะอุ่มไปทั่วทั้งบริเวณสวน ต้นไม้ที่ท่านควรแวะชื่นชมและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกมีมากมาย เช่น ต้นแปะก้วยอายุกว่า 400 ปี เดิมทีต้นแปะก้วยมีคู่กัน 2 ต้น โดยให้ต้นหนึ่งเป็นเพศผู้ อีกต้นหนึ่งเป็นเพศเมีย แต่ต่อมาต้นเพศเมียตายลง ผู้ดูแลสวนจึงตัดสินใจปลูกต้นจำปาทดแทน ตลอดการเดินชมสวน ผมเชื่อว่าท่านจะสังเกตเห็นต้นหลิวซึ่งปลูกอยู่รายรอบเป็นทิวแถว ยิ่งเวลาต้องลมเมื่อไหร่ กิ่งใบของต้นหลิวจะพริ้วไหวอย่างมีชีวิตชีวา

ตลอดเวลาเกือบ 3 ชั่วโมงที่เดินชมสวนอวี้หยวนทำให้ผมรู้สึกซาบซึ้งในความลุ่มลึกในวัฒนธรรมของคนจีนในยุคนั้นยิ่ง ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านจะซึมซับรรยากาศและเกิดความรู้สึกเช่นนี้หรือไม่ แต่หากยังไม่เมื่อยจากการเดินชมสวน ท่านก็อาจมาสักการะวัดศาลเจ้าพ่อหลักเมือง และเดินชมวิวทิวทัศน์ แวะถ่ายรูปตามมุมต่าง ๆ ภายนอกก็ได้ หรือท่านที่ชอบช๊อปปิ้งก็ยังสามารถมาเดินต่อด้านนอกสวนได้ ด้านนอกนี้มีร้านค้าเล็กใหญ่นับพันเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ตั้งแต่อาหารการกิน เสื้อผ้า ของตกแต่งบ้าน อัญมณีและเครื่องประดับ และอื่น ๆ

ย่านนี้มีชื่อเสียงในเรื่องของการเป็นแหล่งซื้อขายอัญมณีและเครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดในเซี่ยงไฮ้ แต่ละร้านมีขนาดใหญ่โตและสูง 4-5 ชั้น ที่สำคัญผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา มักอดใจไม่ไหว แวะซื้อหยกบ้าง เพชรบ้าง หรือเครื่องประดับทองคำบ้าง เท่าที่สำรวจดู ราคาของอัญมณีและเครื่องประดับที่นี่แพงกว่าที่เมืองไทยและมีหลายลวดลายที่คล้ายคลึงกับของบ้านเรา

อันที่จริง ย่านนี้ข้าวของก็ไม่แพงมากนักแต่อาจบอกผ่านเยอะ ท่านต้องใช้ศิลปะในการเจรจาต่อรองและความใจกล้าหน่อย ผมรับรองว่าท่านไปเดินแถวนั้นไม่นาน ก็จะมีของฝากกลับติดมือไปได้แน่ อันที่จริง อาจารย์ที่สอนวิชาการเจรจาต่อรองและกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศของกระทรวงพาณิชย์อาจพาลูกศิษย์และข้าราชการมาฝึกภาคปฏิบัติกับร้านค้าแถวนี้บ้างก็ดี เพราะกลับถึงที่พักเมื่อไหร่ได้หัวเราะกับราคาของที่คิดว่าถูกที่สุดแล้วทุกครั้งไป

ส่วนพวกที่ชอบชิมก็อาจอิ่มจนพุงกางได้ เพราะมีผลไม้ดองหลากหลายชนิดให้เลือกลำพังแค่ท่านเดินผ่านร้านขายนกพิราบและเนื้อแกะหมักสมุนไพรย่าง ก็ไม่อาจอดใจในกลิ่นหอมที่โชยมาเตะจมูกได้แล้ว แวะซื้อสักไม่สองไม้ เดินไปชิมไปด้วยความเพลิดเพลิน

หากท่านเริ่มหิว ก็อาจไปลิ้มลองอาหารจีนที่ตั้งเรียงรายมากมายหลายแห่ง ถ้าไปกันหลายคน ก็ควรต้องจองโต๊ะล่วงหน้า ถ้าต้องการความเป็นส่วนตัวหน่อย ก็อาจจองห้องทานเลี้ยงส่วนตัว เพราะภายในร้านเสียงจะดังมาก โต๊ะบางตัวอาจมีการตกแต่งที่วิจิตร เช่น อ่างปลาเงินปลาทองตั้งอยู่กลางโต๊ะให้ชมเพลิน ๆ ก่อนอาหารจะมาเสิร์ฟอีกด้วย นอกจากนี้ ตอนกลางของย่านช๊อปปิ้งภายนอกยังมีร้านขายเสี่ยวหลงเปา ในว่าเป็นเจ้าดั้งเดิม ถ้าท่านอยากลิ้มรส ขอแนะนำให้ไปยืนรอตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะคิวยาวมาก โดยเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์จีน หรือเบื่ออาหารจีนก็อาจไปฝากท้องที่ร้านแม็คโดนัลด์สก็ได้

หากเริ่มเมื่อย ท่านจะไปลองนั่งจิบกาแฟในร้านสตาร์บั๊กส์ ส์ที่ตกแต่งสไตล์จีน ซึ่งเดี๋ยวนี้เฉพาะในย่านนั้นก็มีถึง 2 สาขา แต่ผมขอเตือนซะก่อนว่าร้านกาแฟที่นี่ไม่ได้มีขนาดใหญ่โตมากนัก แถมได้รับความนิยมสูง ดังนั้น ท่านอาจหาที่นั่งลำบากหน่อย

ซินเทียนตี้... สถานที่ท่องเที่ยวสำหรับคนมีระดับ

ผมขอแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ในใจกลางนครเซี่ยงไฮ้ ได้แก่ ซินเทียนตี้ (Xin Tian Di) ตั้งอยู่ฝั่งผู่ซี ขนาดพื้นที่ไม่ใหญ่มากนัก เดินสัก 1 ชั่วโมงก็ทั่วแล้ว ย่านนั้นมีร้านอาหารบาร์ โรงหนัง และร้านจำหน่ายสินค้าชื่อดังทั้งของจีนและต่างประเทศมาจำหน่ายอยู่แถวนั้น สนนราคาข้าวของต่างๆ ค่อนข้างแพง แต่ก็ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมในหมู่คนมีเงินในเซี่ยงไฮ้

จุดเด่นของซินเทียนตี้อยู่ที่ทำเลที่ตั้ง การเดินทางที่สะดวกและระบบการจัดการที่ดี ไม่ว่าจะเป็นจุดขึ้นลงรถแท๊กซี่ที่มีระบบคิวเรียบร้อยรวมทั้งพนักงานของร้านรวงในแถบนั้นสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ และที่ผ่านมา ไม่เคยมีข่าวว่านักท่องเที่ยวถูกหลอกโก่งราคาค่าอาหารและบริการแต่อย่างใด ทำให้ผู้คนต่างนิยมนัดหมายเพื่อนฝูงมาพบกันที่นั่น ผู้ที่สนใจอยากเดินทางไปเที่ยวทีนั่น ก็สามารถเรียกแท๊กซี่ไปได้เลย โดยอาจนัดพบกันที่ร้านต้นทาง อย่างสตาร์บักส์ (Starbucks Coffee) และพอล (Pual) ซึ่งในวันที่มีอากาศดี จะมีผู้คนนั่งอาบแดดและคุยกันบริเวณหน้าร้านอย่างคึกคัก

ในคืนวันศุกร์-เสาร์จะมีผู้คนมาเที่ยวอย่างหนาตา แถมยิ่งดึกคนยิ่งมาก เห็นว่าเปิดกันถึงสว่างเลยก็มี ด้านข้างมีทะเลสาบขุดขนาดย่อมให้พักผ่อนหย่อนใจในช่วงวันขึ้นปีใหม่ บริเวณนี้จะเป็นจุดสำคัญแห่งหนึ่งที่มีการเฉลิมฉลองเทศกาลกัน ใครอาศัยอยู่ย่านนี้ก็ต้องปวดหัวกับเสียงพลุและการจราจรที่แออัดกันหน่อย นอกจากนี้ ระยะหลังผมสังเกตเห็นบริษัทท่องเที่ยวพาลูกทัวร์มีระดับมาเยี่ยมชมซื้อหาสินค้าและทานอาหารกันมากขึ้น แถมหัวหน้าทัวร์ยังเจตนาถือธงชาติของประเทศลูกทัวร์ของตนอีกด้วย สงสัยผู้บริหารของซินเทียนตี้ต้องการให้ย่านนี้ดูเป็น “ระหว่างประเทศ” ให้มากขึ้น

ประการสำคัญ จุดหนึ่งในย่านนั้น มีประวัติศาสตร์หน้าสำคัญสำหรับประเทศจีนในยุคใหม่ คือ มีห้องประชุมพรรคคอมมินิสต์แห่งแรก ถ้าไปช่วงกลางวันก็สามารถซื้อบัตรผ่านประตูเข้าไปดูภายในได้ แต่หากไปช่วงค่ำ ก็ต้องถ่ายรูปเป็นที่ระลึกจากด้านนอกแทน ต้องขอบอกว่า ที่จีนมีวันนี้ได้ก็เพราะห้องประชุมแห่งนี้นั่นเอง... ซินเทียนตี้จะสวยและมีเสน่ห์ขนาดไหน ขอให้ท่านผู้อ่านไปยลด้วยตาตนเองก็แล้วกัน

ท้องถนนเป็นเสมือนสนามแข่งรถ

สิ่งที่ควรระมัดระวังอย่างมากนับแต่ย่างก้าวแรกที่ออกจากสนามบินก็คือ ท้องถนนเพราะรถยนต์ที่เมืองจีน ซึ่งรวมทั้งเซี่ยงไฮ้ ขับชิดขวาของถนน ซึ่งตรงกันข้ามกับของไทย แม้ว่าปัจจุบันผู้คนในเซี่ยงไฮ้จะใช้แตรน้อยลงไปมาก แต่เมื่อเห็นวิธีการขับรถของชาวจีนแล้ว จะยังน่าหวาดเสียวอยู่สำหรับท่านที่เป็นโรคหัวใจ ผมไม่แนะนำให้นั่งด้านหน้า มิฉะนั้น ท่านอาจหัวใจวายเอาง่าย ๆ เพราะชาวจีนขับรถยนต์กันแบบวัดใจจริงๆ สงสัยกันว่ามารยาทการขับรถที่นี่ถือคติ “ใครที่ช่วงชิงพื้นที่บนท้องถนนได้ก่อน ได้ไปก่อน” บางครั้งผมยังว่าไม่น่าเร่งแซงขึ้นไปหรือเลี้ยวตัดหน้า แต่คนขับที่นี่ก็ดูเหมือนจะถือเป็นเรื่องธรรมดา สำหรับผู้อ่านที่ได้มีโอกาสเดินทางไปยังประเทศที่มีการขับรถแบบหฤโหด เช่น เวียดนามและเม็กซิโก จะเข้าใจทำไมผมถึงเตือนแบบนี้

ลำพังนั่งอยู่ในรถก็เสียวแทบแย่แล้ว ถ้าหากต้องข้ามถนนก็คล้ายไปออกสนามรบยังไงยังงั้น อย่าคิดว่าไฟเขียวให้คนข้ามหรือเดินข้ามบนทางม้าลาย แล้วจะปลอดภัย เพราะหลุดจากรถยนต์ก็มีรถมอเตอร์ไซด์ไฟฟ้าและจักรยานซึ่งไม่ค่อยสนใจสัญญาณไฟจราจรอีก แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ แล้วละก็ควรให้คนจีนนำหรือข้ามเป็นกลุ่มใหญ่ และต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง

ถ้าถามคนที่ไม่เคยไปเซี่ยงไฮ้ว่าที่นั่นผู้คนเขาใช้รถเก๋งยี่ห้ออะไรเป็นหลัก? รับรองว่าตอบผิดแน่ ๆ เพราะคงไม่มีใครคิดว่าที่นั่นส่วนใหญ่ใช้รถโฟล์กสวาเก้น โดยเฉพาะรถแท๊กซี่ นัยว่าขายดีมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศเลยทีเดียว และท่านผู้อ่านจะเห็นรถยี่ห้ออื่นและรถยนต์หรู ๆ มากขึ้น เมื่อออกไปเมืองอื่นหรือไปยังสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ โดยเฉพาะแถบเมืองหังโจวและซูโจว

สำหรับรถแท็กซี่นั้น สถิติระบุว่ามีอยู่มากกว่า 40,000 คันในปัจจุบัน เกือบทั้งหมดเป็นรถโฟล์กสวาเก้น รุ่นซานตานา (Santana) คงเป็นเพราะมีโรงงานอยู่ที่เซี่ยงไฮ้และมีราคาถูก ผู้อ่านคงสงสัยว่าแล้วประเทศจีนที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับต้น ๆ ของโลกในปัจจุบันมียี่ห้อรถเป็นของตนเองบ้างไหม? คำตอบคือ มี และได้รับความนิยมมากนักโดยลำดับ ที่ดังหน่อยเห็นจะได้แก่ รถยี่ห้อ “เชอร์รี่” ที่กลุ่มธุรกิจเครือซีพีจับมือกับกลุ่มยนตรกิจเอาไปทำตลาดที่เมืองไทยอยู่เช่นกัน

แท็กซี่ที่เซี้ยงไฮ้นี่ติดมิเตอร์ด้วยครับ สนนราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 12 หยวนในช่วง 2.4 กิโลเมตรแรก หลัง 5 ทุ่มจะเก็บเพิ่มขึ้นเป็น 16 หยวน สภาพรถโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี มีหลากสี แต่ก็คล้ายของไทยตรงที่ว่ามีความแตกต่างกันในเรื่องสภาพรถอยู่มาก ภายในรถมีพลาสติกกั้นระหว่างคนขับกับผู้โดยสารทั้งประตูหน้าและหลังด้วย โดยมีช่องเล็ก ๆ สำหรับจ่ายค่าแท๊กซี่ นัยว่าพลาสติกช่วยป้องกันมิให้คนขับรถแท๊กซี่ถูกจี้ปล้นได้มาก รถแท๊กซี่ที่นั่นสามารถเรียกกลางทางได้ แต่ต้องดูที่จอดรับ-ส่งให้ดี ขืนจอดรับ-ส่งผู้โดยสารไม่ดูตาม้าตาเรือแล้วล่ะก็ อาจโดนรุกฆาตจากตำรวจจราจรได้

ในเซี่ยงไฮ้ ยังมีการใช้จักรยานและจักรยานไฟฟ้าอยู่มาก ห้างร้านแต่ละแห่งจึงต้องจัดเตรียมที่จอดรถจักรยานไว้มาก ๆ ตัวอย่างเช่น โลตัสที่เซี่ยงไฮ้บางสาขาต้องจัดที่จอดรถจักรยานถึง800 คัน แต่แหล่งข้อมูลกล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา แนวโน้มการใช้มอเตอร์ไบค์ (จักรยานยนต์ไฟฟ้า) และรถยนต์มีมากขึ้นเรื่อยๆ แหม...ใคร ๆ ก็ล้วนอยากสบายเป็นธรรมดา

มาถึงขนส่งมวลชนบ้าง สำหรับรถประจำทางในเมืองนั้นมีให้บริการหลายสาย รถปรับอากาศสนนราคาอยู่ที่ 2 หยวน ถ้ารถพัดลมก็เหลือแค่หยวนเดียว แต่หายากแล้ว ส่วนใหญ่วิ่งใก้บริการเฉพาะแถบรอบนอกของเมือง สิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดอีกอย่างหนึ่งของรถประจำทาง ก็คือ สายเคเบิ้ลที่ระโยงระยางเหมือนสายไฟบ้านเราทั่วไปหมด สายเคเบิ้ลเหล่านี้ถูกโยงเข้ากับรอกที่ติดตั้งเข้ากับตอนท้ายของรถเพื่อจ่ายกระแสไฟฟ้า รถที่วิ่งในเส้นทางเดียวกันจึงไม่สามารถแซงกันได้ ดังนั้น ที่ไหนมีสายเคเบิ้ลที่นั่นมีรถโดยสารประจำทางผ่าน นัยว่าจีนสามารถประหยัดเชื้อเพลิงที่ใช้ในการขับเคลื่อนได้มาก และตอนนี้ก็เริ่มทดลองใช้รถประจำทางติดตั้งซีเอ็นจีแล้วเช่นกัน

ที่น่าสนใจกว่าคือ รถประจำทางที่ให้บริการระหว่างเมือง ซึ่งมีทั้งที่ติดแอร์และไม่ติดแอร์ เนื่องจากประเทศจีนกว้างใหญ่มาก ในอดีต เราจึงมักเห็นรถประจำทางระหว่างเมือง ซึ่งต้องวิ่งกันข้ามวันข้ามคืน เป็นประเภท “รถนอน” แต่รถนอนที่ว่าแจ๋วกว่าของบ้านเรา ตรงที่ว่าสามารถปรับเอนนอนได้ 180 องศาเหมือนชั้นเฟิร์สคลาสของสายการบินดัง ๆ เลย เรียกว่าพอดึกหน่อยก็หลับยาวเลยไม่ต้องหลังขดหลังแข็งให้เมื่อยเหมือนของบ้านเรา อย่างไรก็ดี ในระยะหลังพอชาวจีนมีเงินมากขึ้น ก็หันไปใช้รถยนต์ส่วนตัวหรือบริการรถประจำทางคุณภาพดี รวมทั้งหนีไปใช้รถไฟและเครื่องบินกัน

ปัจจุบันในเมืองเซี่ยงไฮ้มีรถไฟใต้ดินเปิดให้บริการ 10 สายแล้ว และอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 3 สาย ในจำนวนนี้ เห็นว่าจะให้เสร็จเรียบร้อยก่อนการจัดงานเอ๊กซ์โป 2010 ได้รวม 11 สาย มีเรื่องเล่ากันว่า แต่เดิมโครงการรถไฟใต้ดินออกแบบโดยบริษัทฝรั่งเศส ซึ่งในขณะนั้นคาดว่าจะเป็นผู้ก่อสร้างด้วย แต่เนื่องจากรัฐบาลฝรั่งเศสทำให้รัฐบาลจีนไม่พอใจด้วยการตัดสินใจขายเครื่องบินรบให้กับไต้หวัน จึงทำให้ถูกฝ่ายจีนยกเลิกสัญญาและหันไปว่าจ้างบริษัทเยอรมันแทน

มีเรื่องเล่าว่าตอนริเริ่มโครงการรถไฟใต้ดินนั้น รัฐบาลจีนส่งผู้แทนมาดูงานกรุงเทพฯ ที่ไหนได้เขาเปิดใช้ไปตั้งหลายปีแล้ว เรายังไม่เริ่มสายแรกเลย ผมขอเตือนอย่างหนึ่งสำหรับการใช้รถไฟใต้ดินและขนส่งมวลชนใด ๆ ในเซี่ยงไฮ้ แม้ว่าบริการที่มีให้จะจัดได้ว่าดีและไม่แพง แต่ท่านอาจต้องเบียดกับผู้คนที่มาร่วมใช้บริการกันหน่อย โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วนและช่วงกลางวันของวันหยุด

นอกจากนี้ เซี่ยงไฮ้ยังมีบริการรถไฟฟ้าแม่เหล็กซึ่งจะเป็นรถไฟฟ้าแม่เหล็ก (Maglev) แห่งแรกของโลก โดยสร้างเชื่อมระหว่างสนามบินระหว่างประเทศผู่ตงกับสถานีหลงหยาง ฝั่งผู่ตงในเมืองเซี่ยงไฮ้ ซึ่งจะอยู่ไม่ไกลจากสถานที่จัดงานเอ็กซ์โปที่จะมีขึ้นในปีหน้า โครงการนี้ก็ออกแบบโดยวิศวกรชาวเยอรมันเช่นกัน สามารถแล่นด้วยความเร็วถึงกว่า 430 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เรียกว่าขึ้นรถไฟแค่ 8 นาทีก็ถึงสนามบินแล้ว (ถ้าขับรถต้องใช้เวลาอย่างน้อย 40 นาที) และมีแผนที่จะขยายไปยังอีกหลายเมืองสำคัญในอนาคต เช่น กรุงปักกิ่ง และเมืองหังโจว แต่เห็นว่าตกลงกันไม่ได้ จีนเลยหันมาพัฒนาใช้รถไฟความเร็วสูงแทน

อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือ รถบรรทุกที่เซี่ยงไฮ้ (และอีกหลาย ๆ เมือง) ส่วนใหญ่พ่นสีน้ำเงิน ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ถามคนเซี่ยงไฮ้หลายคนก็ยังไม่ได้รับคำตอบ ส่วนใหญ่บอกว่าคงเป็นความชื่นชอบที่เหมือนกันโดยบังเอิญ

อาหารการกินและห้องน้ำ...สิ่งที่คนไทยกลัว

คนไทยเรานี่เป็นห่วงเป็นใยเรื่องปากเรื่องท้องมาก ดังนั้น จึงมักมีคนไม่ชอบเดินทางไปต่างบ้านต่างเมือง กลัวไม่มีพริกน้ำปลาและอาหารที่ถูกปากกิน ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ แต่เรื่องนี้จะหมดไปหากท่านเดินทางไปบริษัททัวร์ของไทย เพราะส่วนใหญ่แล้วจะรู้ใจคนไทยด้วยกัน ด้วยการพกเอาพริกน้ำปลา หรือแม้กระทั่งน้ำพริกติดไปให้ลูกทัวร์อยู่เสมอ

อย่างไรก็ดี โดยรวมแล้ว อาหารของเซี่ยงไฮ้และเมืองข้างเคียงก็มีรสชาติละม้ายคล้ายคลึงกับของไทย แต่อาจหวานกว่า อาหารจานเด็ดที่นี่เห็นจะได้แก่ ขาหมูพะโล้ ผัดผักนานาชนิดและตระกูลเต้าหู้ทั้งหลาย ขณะที่อาหารทานเล่น (จนถึงทานจริง) อีกอย่างหนึ่งก็คือ ไข่พะโล้ต้มยาจีนและใบชา ชาวจีนนิยมทานอาหารตามฤดูกาลมากกว่าคนไทย กอรปกับความเป็นอินเตอร์ของเซี่ยงไฮ้ จึงทำให้มีรายการอาหารทั้งจีนและเทศให้เลือกมากมาย แต่ถ้าเข้าตาจนจริง ๆ แล้ว ผมแนะนำให้มองหา ร้านอาหารจานด่วนที่มีอยู่อย่างแพร่หลาย หรือซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาลองดูสนนราคาก็อยู่ราว ๆ 4-5 หยวนหรือ 20 กว่าบาทเท่านั้น รับรองจะติดใจ แถมไม่ต้องเสียแรงขนใส่กระเป๋าไปด้วย ยิ่งถ้าเข้าพักในโรงแรมที่มีมาตรฐานหน่อย ก็ยิ่งสะดวก เพราะในห้องมักมีกาต้มน้ำไฟฟ้าให้เสมอ

สำหรับน้ำเปล่านั้น มีขายโดยทั่วไปแต่ราคาตกประมาณ 2 หยวนถ้าเป็นน้ำผลไม้ น้ำสมุนไพร และน้ำอัดลมก็มีให้เลือกมากมายเช่นกัน แต่สนนราคาก็แพงขึ้นไปอีกหน่อย สำหรับท่านที่ชอบดื่มเบียร์ ก็ขอให้สบายใจได้เพราะเบียร์ที่นี่ราคาไม่แพง มีให้เลือกหลายยี่ห้อ ที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักของคนไทยมากที่สุดเห็นจะได้แก่ เบียร์ชิงเต่า (Tsingtao Beer) ซึ่งมีข่าวก่อนหน้านี้ว่าจะไปร่วมลงทุนกับไทยเบฟตั้งโรงงานผลิตเบียร์ที่เมืองไทยอยู่เหมือนกัน แต่ขอเรียนว่า เบียร์ที่นี่อาจไม่แรงซะใจเหมือนเบียร์ไทยนะครับ และที่น่าดีใจยิ่งกว่านั้น ก็คือ ผมลองทำวิจัยแบบปิดตา (Blind Test) ทีไร เบียร์สิงห์ก็เป็นขวัญใจของกลุ่มผู้บริโภคเสมอ

อีกเรื่องหนึ่งที่เวลาผู้คนทั้งไทยและเทศจะเดินทางไปเมืองจีนมักสอบถามกันมากเห็นจะเป็นสภาพของห้องน้ำ เพราะห้องน้ำจีนในอดีตมักเปิดโล่ง ไม่มีประตูกั้น หรือหากดีขึ้นมาหน่อยก็มีฝาและประตูกั้นครึ่งลำตัว สาวจีนรุ่นใหม่ที่เริ่มอายจึงมักมีหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารติดตัวเวลาไปเข้าห้องน้ำ จนกลายเป็นเสียงอื้ออึงเกี่ยวกับห้องน้ำจีนในอดีตนั่นเอง ถึงขนาดเวลาทำวิจัยถามนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่เคยเดินทางไปเมืองจีนต้องการให้ปรับปรุงมากที่สุด ก็คือ ห้องน้ำ

อย่างไรก็ดี สภาพห้องน้ำเหล่านั้นได้รับการปรับปรุงขึ้นมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างเซี่ยงไฮ้ โรงแรมระดับ 3-5 ดาว และร้านอาหารที่ดีมีห้องน้ำแบบตะวันตกกันหมดแล้ว แต่ถ้าเป็นร้านอาหารท้องถิ่นก็อาจเจอลูกผสม คือทั้งส้วมแบบเก่าและแบบใหม่ นอกจากนี้ ตามจุดชุมชนสำคัญในเซี่ยงไฮ้ ก็มีการสร้างห้องน้ำสาธารณะกระจายอยู่เต็มไปหมด โดยต้องเสียค่าบริการเล็กน้อย ห้องน้ำเหล่านี้สะอาดได้ระดับ เพราะคนดูแลทำความสะอาดก็นั่งให้บริการอยู่ด้านหน้าได้เลย

แต่เพื่อความปลอดภัยของท่าน เวลาจะเดินทางไปไหนก็อาจเข้าห้องน้ำ ที่โรงแรมหรือร้านอาหารสำรองไว้ก่อนก็จะดี ในกรณีที่ท่านจะเดินทางไปต่างเมือง ก็ไม่กังวลใจมากนัก เพราะตามจุดพักรถ ก็มีห้องน้ำให้บริการมากมาย แต่ด้วยความที่มีผู้ใช้บริการค่อนข้างมาก และพฤติกรรมการใช้ห้องน้ำที่เป็นแบบตัวใครตัวมัน ท่านผู้อ่านอาจไม่สบายใจ เพราะห้องน้ำบางแห่งอาจส่งกลิ่นเอาเรื่องส่วนห้องน้ำหญิงนั้น เห็นว่าอาจมีที่ต้องโชว์ส่วนสัดกันบ้างเล็กน้อย ถ้าท่านผู้อ่านไปเผชิญสถานการณ์ที่ยากจะปฏิเสธ ก็ให้คิดซะว่ามาหาประสบการณ์ก็แล้วกัน กลับมาถึงเมืองไทยจะได้มีอะไรมาเล่าให้คนฟังกันได้

ขอให้สนุกกับการท่องเที่ยวนครเซี่ยงไฮ้กันนะครับ...

ดร. ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร

ผอ. สคต. ณ นครเซี่ยงไฮ้

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ