ปีใหม่เป็นเวลาที่คนอินเดียนิยมแต่งงานเช่นเดียวกับคนไทย ปัจจุบันคนอินเดียนิยมมาแต่งงานเมืองไทยกันมาก ทุ่มทุนสร้างไม่อั้นไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท ธุรกิจงานแต่งงานบ้านเรารวมทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับงานแต่งงาน ไม่ว่าจะเป็นสปา การท่องเที่ยว ฮันนีมูน ธุรกิจเสริมสวย อัญมณีเครื่องประดับ ทองรูปพรรณา สถาบันความงาม คอร์สลดความอ้วน เสื้อผ้า ผ้าไหม การแสดง การจัดเลี้ยง OTOP ฟิตเนส ของชำร่วย ของขวัญงานแต่งงาน ฯลฯ เตรียมรับงานหนักกันได้แล้วเพราะบ่าวสาวอินเดียเข้าคิวจองมาแต่งงานเมืองไทยกันยาวเหยียด แถมหากบริการถูกใจบ่าวสาวอาจพาคุณไปเปิดบริษัทรับงานรับทรัพย์กันถึงในอินเดียเลยก็เป็นได้
ทุกวันนี้ภูเก็ตเป็นเป้าหมายที่ฮ้อตที่สุดสำหรับหนุ่มสาวอินเดียรุ่นใหม่ เมื่อเร็วๆ นี้ก็มีคนอินเดียมาจัดแต่งงานที่ภูเก็ตกันคึกคัก โดยเฉพาะหาดบางเทา และหาดแถว .ถลาง จะนิยมเป็นพิเศษ แต่ละครั้งจะมีแขกร่วมเดินทางมาด้วยไม่ต่ำ กว่า 100 คน ทั้งแขกทั้งญาติๆ เหมาโรงแรมกันเลยทีเดียว อยู่กันยาวเป็นอาทิตย์ทำเอาบรรดาผู้จัดการยิ้มกันแก้มปริรับทรัพย์กันไปตามๆ กัน สำหรับเหตุผลที่เลือกเมืองไทย บรรดานายห้างทั้งหลายกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า เพราะหาดทรายของไทยสวยงามติดอันดับโลก ค่าห้องพักโรงแรม 5 ดาวของไทยก็ถูกกว่าอินเดียเกินครึ่ง อาหารก็อร่อย และที่สำคัญ service mind ของคนไทยที่ไม่มีชาติใดเทียบได้
ที่สำคัญบรรดาแขกที่มาร่วมงานก็ชอบเมืองไทยด้วย เพราะที่เที่ยวเยอะ ที่ช้อปปิ้งก็มาก โดยเฉพาะสยามพารากอนจะชอบเป็นพิเศษ สำหรับของฝากก็นิยมไปช้อป JJ Market และห้าง discount store ต่างๆ จึงสรุปได้ว่านักท่องเที่ยวอินเดียนั้นไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
เราลองมาทำความรู้จักกับพิธีแต่งงานของอินเดียกัน ไม่ยากเลยคุณก็ทำได้ สมมติว่าคุณได้รับเชิญไปงานแต่งงานของอินเดีย เริ่มจากที่ประตูทางเข้าของสถานที่จัดงานพิธี คุณจะพบกับ
- ที่ประตูทางเข้าจะมีต้นกล้วยที่มีกล้วยเครือใหญ่ๆ ยาวถึงดินผูกติดไว้กับเสาประตูทั้งสองข้างคอยต้อนรับคุณอยู่ เป็นมงคลแห่งความอุดมสมบูรณ์ของชีวิตคู่ ให้มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง แต่สำหรับบ้านเราก็มีธรรมเนียมคล้ายๆ กันใช้กล้วยสำหรับแห่ขันหมาก
- ที่เหนือประตูจะมีใบมะม่วงเรียงร้อยสลับกับกลีบดอกไม้หลากสีสันเป็นมาลัยประดับอยู่ เป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรือง สว่างสไวของชีวิตคู่ไม่รู้โรยรา
- ขอแนะนำให้ใช้สำลีอุดหูไว้ด้วย เพราะจะมีวงปี่พาทย์ Nadaswaram ระดมทั้งปี่ทั้งกลองบรรเลงเพลงกล่อมหอกันอึกทึกครึกโครมสนั่นหวั่นไหวจนเรือนโยกคลอนก่อนเวลาอันควร
- บริเวณพื้นหน้าทางเข้าจะมีลวดลายมงคลเรียกว่า Kolam หรือ Rangoli มักเป็นลวดลายเขียนด้วยช้อก แต่ปัจจุบันนิยมใช้กลีบดอกไม้มาเรียงกันมากกว่าเพื่อเพิ่มความหรูหราอลังการ โดยมีความหมายว่า “ยินดีต้อนรับ” ปกติคนอินเดียก็นิยมเขียนโกลัมกันไว้ที่หน้าบ้านกันทุกเช้ากันอยู่แล้ว เพื่อเชิญชวนสิ่งมงคลต่างๆเข้าบ้าน
- และเมื่อเดินถึงประตูห้องโถงพิธีคุณจะถูกประพรมด้วยน้ำลอยกลีบกุหลาบ สวมพวงมาลัย พร้อมของที่ระลึกเป็นขนมหวาน และมะพร้าว 1 ลูก
ย้อนกลับไปในคืนก่อนวันแต่งงานจะมีพิธีหมั้น หลังจากเสร็จพิธีทางศาสนาที่วัดแล้ว เจ้าบ่าวจะถูกส่งตัวไปให้เจ้าสาวด้วยขบวนแห่ โดยเจ้าบ่าวจะนั่งในรถม้าหรือรถยนต์ที่ประดับด้วยดอกไม้ทั้งคัน ถ้าเป็นที่ภูเก็ตก็จะใช้ช้างแทนรถ ทำการแห่แหนกันไปตามถนน บางครั้งจะประดับหลอดไฟระย้าที่ตัวรถด้วยเพื่อเพิ่มสีสัน หัวขบวนมีวงมโหรีบรรเลงเพลงเขย่าโสตประสาทตลอดทาง จะมีกลองยาวด้วยก็ยิ่งดี ที่ขาดไม่ได้คือบรรดาเด็กมุงที่เดินตามขบวนแห่เสมอ ที่ด้านซ้าย-ขวาจะมีว่าที่พ่อตา-แม่ยายนั่งมาด้วย และเมื่อถึงสถานที่จัดงาน ซึ่งมักเป็นที่บ้านเจ้าสาว แต่ปัจจุบันนิยมจัดกันที่โรงแรม เจ้าบ่าวจะเดินไปยังปรัมพิธี (เรียกว่า Jaana vasam ในอินเดียใต้ แต่ในอินเดียเหนือเรียกว่า Baraat) มักจัดกันในศาลากลางแจ้งเพื่อจัดพิธีหมั้น สำหรับเจ้าสาวก็จะมีการแห่เจ้าสาวขึ้นเกี้ยวหรูหราไม่แพ้เจ้าบ่าวเช่นกัน
- คณบดีบูชา (Ganapati Puja) คณบดีเป็นอีกพระนามหนึ่งของพระพิฆเณศวร งานแต่งงานก็เช่นเดียวกับพิธีอื่นๆ ของคนอินเดีย ซึ่งจะต้องเริ่มต้นด้วยการบูชาพระพิฆเณศวร เทพแห่งการเริ่มต้นกิจการงานต่างๆ และความสำเร็จ เพื่อปัดเป่าอุปสรรคทั้งปวงและเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงราบรื่น
- นันทิเทวตาบูชา (Naandi Devata Puja) โคนันทิเป็นโคของพระศิวะ เป็นพิธีขอพรจากญาติที่ล่วงลับไปแล้วให้อวยพรแก่คู่สมรสให้มีอายุยืนนานโดยผ่านสื่อสวรรค์โคนันทิ พิธีบูชามักกระทำโดยญาติผู้หญิงของบ่าวสาวที่แต่งงานแล้ว 5 คน (5 sumangalis) ด้วยการถวายพุ่มใบโพธ์ และรดน้ำนมที่โคนันทิ หลังจากนั้นจะมีการมอบของขวัญเป็นผ้าโสร่งไหมสีขาวโดธิ (Dhothi) ให้เจ้าบ่าวและส่าหรีให้เจ้าสาว
คำบูชานันทิ
โอม มหากาลยัม มหาวีรยัม
ศิวะ วหานัม อุตัตมามา
กานานัมตวา ปราตัม วานดิ
นันทิสวารัม มหาบาลัม
- นพเคราะห์บูชา (Navagraha puja) เป็นการบูชาเทพนพเคราะห์ทั้ง 9 เจ้าแห่งโชคชะตามนุษย์ เพื่อให้บ่าวสาวพบแต่โชคดี
- วราตัม (VRATHAM) —พิธีสละโสด ในตอนเช้าของวันแต่งงาน เจ้าบ่าวจะเข้าพิธีวราตัมที่บ้านตนเองซึ่งกระทำโดยพราหมณ์เพื่อสละชีวิตโสดสู่การเป็นคฤหัสต์ (Grihastra) ในพิธีนี้จะมีการบูชาเทพเจ้าหลายองค์ เช่น พระอินทร์ พระโสม (Soma) พระจันทร์ และพระอัคนี ส่วนเจ้าสาวก็จะทำพิธีสละโสดเช่นกันที่บ้านแต่เรียกว่าพิธีกัปปู กัตตัล(kappu kattal) โดยพ่อแม่เจ้าสาวจะเป็นผู้ประกอบพิธีให้ ซึ่งจะเริ่มจากการบูชาพระพิฆเณศวรและเทพต่างๆ ก่อนที่จะผูกด้ายสาสิญจ์ (Kappu) บายศรีสู่ขวัญเจ้าสาวที่ข้อมือขวา (อันนี้คล้ายศาสนาพุทธ)
- กาษียาตรา (Kasiyathra)
พิธีนี้น่าสนใจทีเดียว เพราะอาจมีเค้าเงื่อนมาจากเรื่องในศาสนาพุทธ โดยในช่วงสายของวันแต่งงาน เจ้าบ่าวจะห่มผ้าเหลืองคล้ายจีวรหรือสีขาวเป็นนักบวช (sanyasi) คีบแตะ ถือไม้เท้า และพัดใบตาล (ตาลปัต?) ทำทีว่าจะเดินทางธุดงค์ไปยังแคว้นกาษี ซึ่งก็คือพารานาสี แหล่งใหญ่ของนักบวชทั้งหลาย (รวมถึงพระในศาสนาพุทธด้วย) สละโลกแล้ว ระหว่างทางพ่อเจ้าสาวก็เข้ามาขวางพร้อมทั้งกล่าวพรรณาถึงข้อดีต่างๆ ของการแต่งงานและเอ่ยปากยกลูกสาวให้ จนเจ้าหนุ่มใจอ่อนยอมสึกแล้วตามไปแต่งงานกับเจ้าสาว และเช่นเคยจะมีเด็กเล็กๆ เดินตามกันเป็นพรวน
ในชาดกของพุทธศาสนามีเรื่องทำนองนี้เหมือนกัน ในพุทธประวัติกล่าวว่าในวันที่ ๕ นับแต่วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงเมืองกบิลพัสดุ์เป็นครั้งแรกได้มีพิธีวิวาห์มงคล ระหว่างเจ้าชายศากยะ ที่ชื่อว่า "นันทะ" กับเจ้าหญิงที่มีชื่อว่า "ชนบทกัลยาณี" นันทะเป็นพระอนุชาต่างมารดาของพระพุทธเจ้า ในงานวันวิวาหมงคลนั้น พระพุทธเจ้าได้เสด็จร่วมงานมาตามคำทูลอาราธนาของพระพุทธบิดา เมื่อทรงฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว พระพุทธเจ้าเสด็จกลับ ได้ทรงมอบบาตรของพระองค์แก่เจ้าชายนันทะ ทรงถือตามส่งเสด็จ นันทะทรงดำริว่าอีกสักพักพระพุทธเจ้าคงจะทรงหันกลับมารับบาตรคืนไปจากตน แต่จนแล้วจนรอดพระพุทธเจ้าก็มิได้ทรงทำเช่นนั้น ครั้นนันทะจะมอบบาตรถวายพระพุทธเจ้าก็ไม่กล้า ด้วยเกรงพระทัยผู้ทรงเป็นพระเชษฐา จนไปถึงพระอารามที่ประทับ พระพุทธเจ้าจึงหันมาตรัสกับพระอนุชาว่า "บวชไหม ?" นันทะจะปฏิเสธก็เกรงใจพี่ชาย หลุดปากไปว่า "บวชพระเจ้าข้า"
นันทะไม่ได้ยอมบวชด้วยน้ำใสใจจริง เพราะกำลังจะแต่งงาน ทั้งที่ตอนที่จะออกจากพระราชนิเวศน์นำบาตรมาส่งพระพุทธเจ้า นางชนบทกัลยาณีผู้เป็นเจ้าหญิงคู่อภิเษกสมรส ยังร้องเรียกสั่งตามมาว่า "เจ้าพี่ไปแล้วให้รีบเสด็จกลับ" แต่ที่ต้องตอบเช่นนั้น ก็เพราะว่าเกรงใจพระพุทธเจ้าดังกล่าวแล้ว ท้ายที่สุดพระนันทะก็บรรลุอรหันต์เป็นพุทธสาวกองค์สำคัญ
พิธีนี้เห็นแล้วถึงกับอึ้ง ศาสนาพุทธได้ฝังรากลึกลงในจิตใจคนอินเดียโดยไม่รู้ตัว ศาสนาพุทธมิได้สูญหายไปจากอินเดีย เพราะศาสนาพุทธได้เข้าไปแฝงอยู่ในทุกลมหายใจของชาวอินเดียแล้วนั่นเอง ทั้งนี้ปรัชญาฮินดูในเรื่องภัควัตคีตาดูเหมือนจะมีแนวทางศาสนาพุทธเข้าไปปนอยู่เป็นจำนวนมาก
พิธีบูชาต้นโพธิ (Ashwatha tree หรือ Peepal) บางท้องที่อาจเติมพิธีนี้เข้าไป โดยเจ้าสาวและเพื่อนๆ จะไปสวดมนต์ขอบคุณและขอพรจากต้นโพธิซึ่งเป็นตัวแทนของพระวิศณุ
พิธี Vaaku Nichaya Muhurtham ที่ปรัมพิธีในห้องโถงงานแต่งงาน บ่าวสาวนั่งเคียงคู่อยู่ข้างกองไฟพิธีเพื่อให้อัคนีเทพเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยพ่อ-แม่ของทั้งสองฝ่าย พราหมณ์ปุโรหิต ( purohit) จะร่ายเวทมนต์พร้อมทั้งเอ่ยนามของคู่บ่าวสาว และญาติผู้ใหญ่ 3 ชั่วคนให้ทวยเทพได้รับรู้ โดยมีแขกและญาติๆ นั่งเป็นสักขีพยานอยู่โดยรอบ โดยมนต์ตอนที่สำคัญจะกล่าวว่า “ข้าแต่วรุณเทพ จงอย่าให้มีอันตรายเกิดแก่เขาทั้งสอง ข้าแต่พระพฤหัสบดี (Brihaspathi) ขอเธออย่าคิดร้ายต่อสามี ข้าแต่พระอินทร์จงประทานพรแด่เธอให้ปกปักษ์รักษาลูกๆ ของเธอ ข้าแต่สุริยเทพจงประทานพรแด่เธอให้สุขภาพสมบูรณ์”
บ่าวสาวมอบพวงมาลัยให้กันและกัน (Maalai Mathal) บ่าวสาวสวมมาลัยปลุกเสก (varamala) ให้กันและกันฝ่ายละ 3 พวง เป็นสัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้นชีวิตคู่ ในภาคใต้ของอินเดียมีการเพิ่มเติมให้บ่าวสาวต้องนั่งบนบ่าของพี่หรือน้องชายของแม่ทั้งสองฝ่ายในตอนที่สวมมาลัยแก่กันด้วย
พิธีโล้ชิงช้า (Oonchal)
ต่อไปก็จะเชิญบ่าวสาวไปนั่งชิงช้า (Oochal) แกว่งไปมา โดยมีสาวๆ หางเครื่องร้องเพลงกล่อมเป็นเพลง Laali ทั้งนี้สายโซ่ที่ห้อยชิงช้าแสดงให้เห็นถึงสายใยเชื่อมไปถึงอำนาจศักดิ์สิทธิบนสวรรค์ สำหรับการแกว่งไปมาแสดงถึงความไม่แน่นอนของชีวิต มีทั้งสุขและทุกข์ที่ทั้งคู่จะต้องฟันฝ่าไปด้วยกัน
พิธีหว่านเมล็ดพืช (Paalikai)
ญาติผู้หญิงของบ่าวสาวที่แต่งงานแล้ว 5 คน (5 sumangalis)พร้อมด้วยถาดใส่ถ้วยดินเผาหลายใบที่มีธัญพืชงอกใหม่ 9 อย่างบรรจุอยู่มอบให้พราหมณ์บริกรรมคาถา หลังพิธีแต่งงานธัญพืชนี้จะถูกนำไปลอยในแม่น้ำหรือสระน้ำเพื่อเป็นการบูชาเทวดาที่ปกป้องลูกๆ ของสามีภรรยา
วารีบูชา (Vara Puja)
เป็นพิธีล้างเท้าเจ้าบ่าวด้วยน้ำนมและเช็ดให้แห้งด้วยผ้าไหม หลังจากนั้นจะมีการนำเอาน้ำและตะเกียงไฟไปเวียนทักษิณาวัตรไปเวียนรอบชิงช้าเพื่อป้องกันคู่บ่าวสาวจากสิ่งชั่วร้าย ตามมาด้วยการให้ทานเปรตโดยการขว้างข้าวปั้นย้อมสีเหลืองและแดงไปรอบๆ ชิงช้าเพื่อไม่ให้ภูติผีมารบกวนงานวิวาห์
กันยาดานัม (Kanyadhaanam) บางครั้งเรียกวา Dhaarai กันยาหมายถึงหญิงสาว ดานัมหมายถึงการมอบ รวมความกันหมายถึงการส่งตัวเจ้าสาวให้เจ้าบ่าว เจ้าสาวจะนั่งบนตักของพ่อ เหมือนลูกยังเล็กอยู่ในสายตาพ่อแม่ก่อนจะมอบต่อให้เจ้าบ่าวไปดูแลต่อ ใบพลูและมะพร้าวจะถูกวางลงบนอุ้งมือของเจ้าสาว โดยมีมือเจ้าบ่าวและพ่อเจ้าสาวรองอยู่ข้างล่าง แม่เจ้าสาวจะรดน้ำลงบนมือเจ้าสาวเป็นสัญลักษณ์ของการมอบเจ้าสาวให้เจ้าบ่าว ต่อจากนั้นพ่อเจ้าสาวก็จะจับมือเจ้าบ่าววางลงบนมือของเจ้าสาวเป็นอันเสร็จพิธี พิธีนี้ดูคล้ายการรดน้ำสังข์ของไทยไม่น้อย
พิธีมงคลยธารานัม (Mangalya Dharanam)
ขั้นต่อไปเป็นตอนสำคัญ เมื่อถึงมงคลฤกษ์เจ้าบ่าวจะผูกเชือกมงคลสีเหลืองขมิ้นพร้อมจี้ทองคำเล็กๆ ไว้ที่คอของเจ้าสาวเรียกว่า “มงคลสูตร” (Mangalsutra)(ฟังดูคล้ายกับมงคลสูตร 38 ของเรา) แต่ในอินเดียใต้จะเรียกว่าตาลี่ (Thaali) เปรียบได้กับแหวนแต่งงานของฝรั่ง เพื่อแสดงว่าหญิงนี้มีสามีแล้ว โดยทั่วไปจะมัดมงคลสูตรเป็นปม 3 รอบ รอบแรกเจ้าบ่าวเป็นผู้ผูก ส่วน 2 รอบหลังพี่สาวเจ้าบ่าวเป็นผู้ผูกเพื่อแสดงการยอมรับเข้าสู่ครอบครัว ในขณะที่กำลังผูกอยู่นั้นวงปี่พาทย์นาดาสวารัมก็จะบรรเลงสนั่นหวั่นไหวอีกคราเอาฤกษ์เอาชัยและขับไล่สิ่งอัปมงคลต่างๆ โดยประเพณีภรรยาจะสวมมงคลสูตรไปตลอดชีวิตของสามี หลังจากพิธีนี้ 2-3 วันจะมีงานเลี้ยงฉลองสมรส สามีก็จะเปลี่ยนด้ายนี้ให้เป็นสร้อยคอทองคำเส้นมหึมาแทนแต่ยังมีจี้มงคลสูตรหรือตาลี่ห้อยอยู่เหมือนเดิม ทองคำเป็นค่านิยมของคนอินเดียที่เจ้าสาวจะต้องสวมเครื่องประดับทองคำจำนวนมากเพื่อแสดงฐานะ ทองคำเป็นอัญมณียอดนิยมมียอดขายถึง 85% ของยอดขายอัญมณีทั้งหมด ซึ่งเป็นที่น่ายินดีที่แพรนดาโกลของไทยก็ได้เข้าไปทำตลาดเรียบร้อยแล้ว
บ่าวสาวจับมือกัน (Paanigrahanam)
ปานิคฤหัสถ์เป็นพิธีที่เจ้าบ่าวจับมือเจ้าสาวเป็นสัญญาใจว่าจะอยู่เคียงคู่กันชั่วนิรันดร์ พร้อมกับพูดว่า “ทวยเทพได้ประทานนางแก่ข้าเพื่อข้าจะได้ใช้ชีวิตอย่าคฤหัส เราจะไม่มีวันพรากจากกันแม้ว่าจะแก่เฒ่าชราปานใดก็ตาม”
พิธีสัปตปาธี (Sapthapadhi) พิธีนี้สำคัญที่สุดของพิธีแต่งงาน โดยเจ้าบ่าวจะเดินจูงเจ้าสาวเดินรอบกองไฟ 7 ก้าว (Sathaadhi) ด้วยคติความเชื่อที่ว่าคนเราเมื่อเดินด้วยกัน 7 ก้าวก็จะกลายเป็นเพื่อนกันตลอดไป
พิธีบูชาไฟ (Pradhaana Hommam)คู่บ่าวสาวบูชาไฟด้วยการเทเนยเหลว (Ghee) พร้อมด้วยกิ่งไม้มงคล 9 อย่างลงไปในกองไฟเพื่อบูชาเทพอัคนี เทพอัคนีเมื่อได้เป็นสักขีพยานแล้ว ก็จะนำข่าวสารงานวิวาห์นี้ไปแจ้งแก่ทวยเทพบนสวรรค์
พิธีเหยียบหินบดแป้ง —เจ้าสาวจะใช้เท้าเหยียบหินบดแป้งขณะที่เจ้าบ่าวประคองก้มลงเอามือแตะเท้านั้นไว้ พร้อมกันนั้นพราหมณ์ปุโรหิตจะร่ายมนต์ว่า “ขอให้เจ้าเหยียบหินโดยไม่หวั่น ในชีวิตที่อาจมีอุปสรรคและยากลำบาก”
ต่อจากนั้นเจ้าบ่าวจะเชิญชวนเจ้าสาวไปชมดาว “Arunadhati” เชื่อกันว่าเป็นเทวีที่งดงามบริสุทธิมีความซื่อสัตย์ต่อสวามีเทพนาม “Visishta” เป็นอย่างยิ่ง และมีความอุตสาหบากบั่นไม่ย่อท้อ โดยมีคติว่าให้เจ้าสาวจะได้รับพรจากเทวี Arunadhati ในคืนนั้น
โปรยข้าวบูชาไฟ (Lajja Homan) เจ้าสาวโปรยข้าวเข้ากองไฟเพื่อขอพรให้สามีอายุมั่นขวัญยืนและครอบครัวยั่งยืนสืบเชื้อสายหลายชั่วคน หลังจากนั้นบ่าวสาวเดินรอบกองไฟ 3 รอบพร้อมกับโปรยข้าวเข้ากองไฟอีกสามครั้ง
เมื่อเสร็จพิธีข้างกองไฟแล้ว ทั้งสองคนก็เป็นสามีภรรยากันโดยสมบูรณ์ บ่าวสาวจะเดินออกจากปรัมพิธี ขณะที่ญาติผู้ใหญ่จะคอยประพรมน้ำมนต์ “Akshadi” ให้ตลอดทางเพื่อเป็นศิริมงคลของทั้งคู่
Grihapravesam “ข้ามธรณีประตู”
บ่าวสาวจะเดินทางไปยังบ้านของฝ่ายชายซึ่งต่อไปนี้จะเป็นบ้านของเธอด้วย ที่ธรณีประตูจะมีกระป๋องข้าววางอยู่ เจ้าสาวจะก้าวข้ามธรณีประตูพร้อมกับเขี่ยให้กระป๋องข้าวล้มเข้าไปในบ้านเป็นสัญญลักษณ์ของการนำความอุดมสมบูรณ์รุ่งเรืองมาสู่บ้าน เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีแต่งงาน
ในตอนค่ำคืนหลังเสร็จพิธีทางศาสนา ก็จะเป็นช่วงของงานเลี้ยง ก็คล้ายๆ บ้านเรา มีการกินเลี้ยง การแสดงแสงสีเสียง สนุกสุดเหวี่ยงกันเลยทีเดียว อาจเลี้ยงกันคืนเดียวหรือหลายคืนก็ขึ้นอยู่กับความพอใจของบ่าวสาว ทั้งนี้จะไม่มีการให้เงินช่วยแบบของไทย แต่จะให้เป็นของขวัญแทน เล่าเสียยืดยาว จะเห็นว่าไม่ยากเลยสำหรับการจัดพิธีแต่งงานแบบอินเดีย หากมีข้อสงสัยลองสอบถามผู้เชี่ยวชาญ 2 บริษัทในไทยดูก็ไม่ผิดกติกา ดังนี้
I Do Organize Co.,Ltd.(พัทยา)
www.ido-organize.com
Tel : 6681-451-6391 or 6685-828-2626.
Email: sales@ido-organize.com , info@ido-organize.com
Luxury Events Phuket Co Ltd (ภูเก็ต)
Jeanette Skelton
Email: js@luxuryeventsphuket.com
T +66 (0) 813 700 246
พิธีแต่งงาน ถือเป็นทูตสันทวไมตรีไทย-อินเดียได้เป็นอย่างดี เป็นสะพานเชื่อมทางวัฒนธรรมซึ่งจะเอื้อต่อการขยายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจภายใต้ FTA อาเซียน-อินเดียที่จะมีผลบังคับใช้ในปี 2553
ผู้ประกอบการด้านธุรกิจแต่งงานของไทยมีศักยภาพสูง สามารถจับตลาดอินเดียได้เป็นอย่างดี จึงควรให้ความสำคัญตลาดนี้มากขึ้นเป็นพิเศษ
ผู้สนใจเปิดตลาดธุรกิจรับจัดงานแต่งงานแบบอินเดียในไทย ควรหาโอกาสไปร่วมงานแสดงสินค้าไทยในอินเดียที่จัดเป็นประจำในเมืองเจนไน กรุงนิวเดลี และมุมไบเพื่อเปิดตัวให้กับว่าที่บ่าวสาวและลูกค้าที่จะมาฮันนีมูน และสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าในการตัดสินใจ
โดยไพศาล มะระพฤกษ์วรรณ
ผอ. สำนักงานส่งเสริมการค้าฯ ณ เมืองเจนไน
ที่มา: http://www.depthai.go.th