แนวคิดของแฟชั่นสตรีในฤดูใบไม้ร่วม/ฤดูหนาว ปี 2010-2010 คือ "Reclaim" เป็นการนำสิ่งที่มีอยู่เดิมให้กลายเป็นของใหม่อีกครั้ง ผลิตภัณฑ์ในตลาดจะที่มีลักษณะให้ความรู้สึกว่าเป็นของเก่าหรือของใช้แล้ว ซึ่งทำขึ้นมาใหม่เพื่อให้ดูเก่าจะได้รับความนิยม นอกจากนี้แล้วการถ่ายทอดเรื่องราวของเสื้อผ้าจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้สินค้าเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค รูปแบบดังกล่าวเป็นหนึ่งในสี่แนวโน้มของฤดูกาลแสดงเฉพาะใน Infomat โดยความเอื้อเฟื้อข้อมูลจาก Fashion Snoops
1.สี (Color)
โลหะที่เป็นสนิมมีสีทอง สีน้ำตาล สีเหลืองอำพัน ทำให้เป็นมันด้วยสีฟ้าคล้ายๆ คล้ายกับการเปียกโชกของน้ำหนัก ซึ่งแรงบันดาลใจของแนวคิดนี้มาจากสนิมโลหะและคราบน้ำมันเปื้อน ซึ่งทำให้เกิดความงามตามธรรมชาติเหมือนมีอายุมาก นอกจากนี้แล้วสีเทาที่ลอยเด่นบนสีทองสนิม หรือสีทองหกราดสีม่วงที่อบอุ่นและสีหยกมัน ตลอดจนสีมะกอกและสีน้ำตาลเข้มก็สามารถทำให้ดูเก่ามีอายุได้เช่นเดียกัน
2.วัสดุ (Materails)
ผ้าใบหยายหรือเศษผ้าเก่าที่นำมาต่อกัน หนังแตกหรือผ้ายีนส์ที่ระบายสีเปรอะเปื้อน ไหมพรมขรุขระ ผ้าสักหลาดเส้นใหญ่ ขนสัตว์ปุยที่เป็นฝอยจะสามารถสร้างความเก่าดูเหมือนชำรุด แนวคิดของวัสดุที่ทำให้ดูเหมือนมีลักษณะเก่าคือผ้าใบหยาบและเศษผ้าที่นำมาปะติดปะต่อกัน
3.การนำเสนอ (Expression)
รูปแบบที่นำเสนออกมาเหมือนเป็นมรดกทอดมาจากพวกเร่ร่อน (Boho Nomad) มีการนำไหมพรมมาใส่ทับอีกชั้น ดูง่ายๆ สบายๆ สะดวกในการนำมาผสมผสานกับผ้าทอสองสีลายขวาง ให้เป็นคู่ให้มีรอยย่อนหรือสกปรกจะทำให้ดูช่วยเน้นให้ดูกระเชิง การขลิบริมที่ขาดจะช่วยให้เสื้อผ้าดูมีอายุและดูประหยัด การนำสิ่งของมาใช้จะเป็นการบอกเล่านเรื่องราวในอดีตและผสมผสานความเป็นปัจจุบันเข้าด้วยกัน
กระเป๋าจากสไตล์คลาสสิจนถึงกระเป๋าถือทรงแข็งถูกปรับปรุงสีสรรให้สวยงามตามความต้องการของผู้บริโภค องค์ประกอบจากธรรมชาติถูกนำมาใช้ในการเพิ่มความสวยงาม อาทิเช่น ผ้าลินินฝอย ฟาง ไม้ ไม้ก๊อก ในส่วนกระเป๋าสไตล์ถักหรือทอมีการใช้เทคนิคงานหัตถกรรมเข้ามาร่วมด้วยทำให้กระเป๋าดูโดดเด่นมากขึ้น นอกจากนี้แล้วการนำสายโซ่มาตกแต่งบนกระเป๋าทำให้ดูมีความทันสมัยมากขึ้น สำหรับสไตล์วินเทจการนำหนังเปียกมาใช้หรือหนังที่มีสีสันสดใส เนื้อนุ่มหรือผ้าฝ้ายที่มีลายพิมพ์ หรือผ้าไหมลายดอกไม้หรือลายเรขาคณิต หรือที่ใกล้เคียงจะทำให้น่าสนใจมากขึ้น
การจำแนกประเภทกระเป๋าแบ่งออกได้ ดังนี้
1. กระเป๋าอเนกประสงค์ (Utility Bill)
กระเป๋ามีลักษณะใหญ่ที่สามารถนำมาใช้ได้ทั้งเป็นระหว่างวันหรือวันสบายๆ กระเป๋าสะพายหลัง กระเป๋าสะพายไหล่ที่ไม่มีทรงที่สามารถจุของได้เป็นจำนวนมากซึ่งทำจากวัสดุผ้าใบหยาย สีจะเป็นสีสว่างไม่มีลูกเล่นมากนัก ส่วนการนำเสนอภายนอกจะเน้นการทำกระเป๋าเพิ่มขึ้นใช้ลักษณะ หัวเข็มขัดจัดมาเป็นสายรัด
2. กระเป๋าถือชนิดพับได้ (Playing Squash)
กระเป๋าถือแบบนุ่มทรงบีบมีไสตล์คลาสสิก สีที่ใช้จะมีลักษณะสดใสทำให้กระเป๋าดูโดดเด่น สำหรับตัวกระเป๋าสามารถพับหรือจีบให้ดูมีทรวดทรงสวยงาม มีการแต่งเติมลวดลายด้วยหนังสัตว์แปลกๆ (Exotic skin) หรือโลหะ หรือช่องซิปด้านบน ตลอดจนการประดับประดาด้วยห่วงโลหะตรงขอบ
3. ถังแห่งความรัก (Buckets of Love)
ลักษณะทรงกระบอกฐานเรียบเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย กระเป๋าถือแบบนี้จะนิยมทำมาจากหลังลูกวัวเนื้อนุ่ม หนังสัตว์ถักหรือสาน ส่วนรายละเอียดที่หิ้วเป็นการปรับสไตล์คลาสสติกให้ทันสมัยขึ้น
รองเท้า
นักออกแบบมีความปราถนาที่จะนำเสนอให้รองเท้ามีความสมดุลทั้งในเรื่องพื้นผิว สีและรายละเอียดในการตกแต่ง รองเท้าที่ไม่มีฐานขนาดใหญ่และส้นรูปทรงใหม่ๆ กำลังมาแรง นอกจากนี้แล้วการนำสิ่งของที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาใช้ตกแต่ง เช่น ผ้าทอ เชือก ไม้ก๊อกและไม้ ทั้งรองเท้าทางการและรองเท้าใส่เล่น สไตล์รองเท้าที่พองฟู รองเท้าที่ทำจากหนังทอหรือรองเท้าที่เจาะเป็นรูหรือมีสายขาดจะสร้างกระแสใหม่ให้กับแฟชั่นรองเท้าในฤดูร้อนนี้ รองเท้าที่มีระดับหรือพื้นเรียบ รองเท้านหนังไม่ผูกเชือกเย็บด้วยหนังก็ยังคงความสำคัญ ส่วนรองเท้าแตะและรองเท้าลูกผสมรองเท้าบูธเปิดก็ได้รับความนิยมในฤดูกาลนี้
การจำแนกประเภทรองเท้าแบ่งออกได้ ดังนี้
1. รองเท้าส้นหนา (Clog Dance)
รองเท้าส้นหนาจะถูกปรับปรุงให้มีความทันสมัยมากขึ้นในฤดูกาล S/S 2010 ไม้ฟอกสีหรือส้นโปร่งใสถูกนำมาผสมผสานตกแต่งด้วยตะปูเหล็ก
2. รองเท้าส้นแบน (Flat out)
รองเท้าส้นแบนได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในฤดูกาลนี้ การนำแฟชั่นรองเท้าบูทแบบเปิดมาผสมผสานกับรองเท้าแบนหรือเสริมแต่งด้วยสายรัดแบบหัวเข็มขัด รองเท้าพองฟูแบบไม่ผูกเชือกหรือรองเท้าแบบที่มีเชือกรัดข้อเท้าด้วยหนังสีน้ำตาล ซึ่งแนวคิดแบบ Earth look จะได้รับความนิยมอย่างยิ่งในฤดูกาล S/S 2010
3. สวยสง่าเพื่อสิ่งแวดล้อม(Eco Elegant)
รองเท้าหน้าร้อนจะมีการนำสิ่งของจากธรรมชาติมาปรับใข้ทำให้น้ำหนักของรองเท้าเบาขึ้นโปร่งสบาย มีการนำเชือกมาผูกตรงด้านบนหรือมีเชือกรัดด้านหลังเพื่อทำให้ดูสวยงามมากยึ่งขึ้น นอกจากนี้แล้วการทำให้ด้านบนดูเปลือยด้วยผ้าใบ ลินิน ถ้าถักหรือสานก็ทำให้ดูมีความสวยงามขึ้น
4. นักศึกษาจบจากอ๊อกฟอร์ด (Oxford Graduate)
ลักษณะรองเท้าแบบผู้ชายจะช่วยทำให้ดูสบายๆ ผ่อนคลาย รูปแบบทรงรองเท้าแบบ Captoe และ สไตล์ Balmoral ที่ใช้สีดำพื้นฐาน โทนน้ำตาลอ่อน หรือโทนส้มน้ำตาล การนำเครื่องหนังสีเงินโลหะ (Mettallic Silver) มาตกแต่งก็จะช่วยทำให้ดูทันสมัยมากขึ้น
5. พันห่อเพื่องานรื่นเริง (Wrap Party)
การห่อข้อเท้าให้ดูฟูกำลังมาแรงในฤดูกาล S/S 2010 การพันห่อข้อเท้าอย่างมีสไตล์จะทำให้สามารถซ่อนเหล็กกลัดข้อเท้าได้อย่างดูดี ผ้าชนิดนุ่มหรือหนังที่ม้วนย่นหรือผ้ายืดสไตล์เจอร์ซี่ที่เป็นประกายมันวาวหรือการเพิ่มเติมลูกเล่นนิดหน่อยลงบนรองเท้าก็จะทำให้รองเท้าดูโดดเด่นขึ้นมาก
เสื้อไหมพรมและเสื้อถัก
การจำแนกประเภทของเสื้อไหมพรมและเสื้อถักแบ่งออกได้ดังนี้
1. The New Basic
เสื้อยืดและเสื้อกล้ามเป็นสิ่งที่ฮิตมาโดยตลอดช่วงฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเสื้อที่นมาแสดงบน Runway มีทั้งเสื้อเปิดคอ เปิดไหล่ข้างเดียวหรือเสื้อคว้าน การนำเสนอดังกล่าวเน้นการออกแบบที่ให้พื้นที่กับร่างกาย ให้ร่างกายถูกโอบกอดด้วยเสื้อผ้าและถ่ายทอดความงามออกมาโดยส่วนโค้งเว้าของร่างกายที่ออกมาเป็นเสมือนภาพเงา
2. Scuba Lesson
เสื้อสวนหัวที่ให้ความรู้สึกเหมือนนักประดาน้ำและเสื้อเชิ้ต Pullover รวมกันโดยเป็นลักษณะ bodysuit และมีซิปอยู่ด้านหลัง เสื้อแขนยาวจะเป็นการเลียนรูปแบบเสื้อ wetsuits ได้ดีทีเดียว รูปแบบการนำเสนอในสไตล์นี้จะเน้นสัดส่วนรูปร่างของผู้สวมใส่มากทีเดียว
3. No Sweat
เสื้อสวมหัวแบบ Sweatsuit มีการพัฒนาและดัดแปลงโดยมีริ้วแบบเสื้อทรงสตรี (Blouse) หรือเสื้อผ้าแพรและสไตล์หลวมๆ สีเทา ตกแต่งด้วยผ้าลายหรือนำแขนชุดกิโมโนมาประยุกต์ และมีเบาะรองบ่าจะช่วยทำให้ดูทันสมัยขึ้น
เสื้อใส่ด้านนอก (Outerwear)
สิ่งที่เคยเก่าจะถูกนำมาประยุกต์ให้ใหม่ด้วยเทคนิคการถัก เสื้อโปโลและเสื้อ Henleys จะมีการนำผ้าถักมาตกแต่งชายให้ดูมีความเซ็กซี่มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้จะใส่แบบปลดกระดุมหรือนำใส่แบบลักษณะต่ำเปิดหน้าอกก็ดูดีไปอีกแบบ เสื้อถักแบบสวมหัวแบบสั้นระบายหรือแบบยาวก็ดูทันสมัยไม่ตกยุค เสื้อยืดและเสื้อกล้ามธรรมดานำมาประยุกต์ให้ทันสมัยโดยการนำรูปแบบการคว้านคอที่แปลกตามาใช้หรือการใช้ผ้ามาตกแต่ง สำหรับเสื้อแบบสองตัว (Twin Sets) ขยับตัวเองจากเสื้อแบบธรรมดามาเป็นเสื้อทรงอ่อนที่สามารถบิดได้ ซึ่งจะเน้นการเปิดเผยเรือนร่างจะช่วยให้ดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น
ชุดว่ายน้ำ
การจำแนกประเภทของชุดว่ายน้ำแบ่งออกได ดังนี้
1. Pin Up Princess
ชุดว่ายน้ำแบบ Prinup จากยุค 1950 จะกลับมาด้วยสไตล์เน้นสะโพก โคนข่าต่ำและขอบเอวสูงสำหรับชิ้นบนของชุดว่ายน้ำจะเป็นแบบเรียบๆ สงบเสงี่ยม แต่จะนำรูปแบบการนำเสนอลายแบบเส้นหรือจุด ซึ่งจะทำให้การนำเสนอในลักษณะนี้มีความทันสมัยมากขึ้น
2. Making The Cut
การสร้างสรรค์แนวใหม่ๆ จะนำมาใช้ประยุกต์รูปแบบชุดว่ายน้ำแบบชิ้นเดียว โดยการนำดีไซน์ในรูปแบบการเปิดไหล่ข้างหนี่งหรือรูปแบบชุดว่ายน้ำแบบเกาะอกไม่มีสาย นอกจากนี้แล้วนักออกแบบยังได้นำแนวคิด "Peek-a-boo" มาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์ เช่น เว้าตรงนี้นิด เว้าตรงนั้นหน่อยหรือ การนำลักษณะมันวาวหรือดูเหมือนว่าเปียกน้ำมาเป็นหนึ่งในลักษณะการออกแบบ หรือการนำเชือกมาพันผูกให้ดูสวยงาม
3. Halter Skelter
เสื้อแบบผูกคอที่มาจากยุค 1970 กลับมาอีกครั้งในรูปแบบชิ้นเดียวและ 2 ชิ้นที่มีการสายพาดคอลากยาวจากตรงกลางด้านหน้าไปผูกคอด้านหลัง หรือแบบไขว้ (ตะเบงมาน) ที่ใช้ห่วงมาประดับประดาหรือลูกปัดทำให้สวยพร้อมที่จะไปปาร์ตี้ริมสระได้เลยทีเดียว
On the Beach
เสื้อผ้าสำหรับเล่นกีฬาหรือเสื้อผ้าที่มีลักษณะแบบของโบราณ (Vintage) จะถูกนำมาผสมผสานกันอย่างกลมกลืนในฤดูกาลนี้ ส่วนแว่นตาแบบทันสมัยจะถูกนำมาแต่งแต้มด้วยลวดลายให้สวยงามและเหมาะสมกับการจะนำไปใส่ที่ชายหาด
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก
ที่มา: http://www.depthai.go.th