จากการสัมมนาที่จัดขึ้น โดย Hong Kong Export Credit Insurance Corporation (HKECIC) ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐบาลฮ่องกง ตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2509 เพื่อช่วยประกันความเสี่ยงให้ผู้ประกอบการฮ่องกงจากการชำระเงินของผู้ซื้อต่างประเทศ งานหลักที่ดำเนินการได้แก่ บริการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของคู่ค้าและในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปัจจุบัน หน่วยงานนี้ได้ปรับปรุงบริการให้รวดเร็ว และทันต่อเหตุการณ์มากขึ้นโดยเฉพาะฐานข้อมูลการล้มละลายของธุรกิจต่าๆ
นักเศรษฐศาสตร์ฮ่องกงได้คาดการณ์ภาวะตลาดโลกในปี 2553 สรุปดังนี้
1. การฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกจะเป็นไปอย่างช้าๆ และอ่อนไหว เนื่องจากยังต้องแบกภาระซ่อนเร้นอีกหลายประการ
2. ประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป จะฟื้นตัวช้ากว่าประเทศที่กำลังพัฒนาเช่น ตะวันออกกลาง เอเชีย
3. การฟื้นตัวจะเริ่มให้เห็น จากอสังหาริมทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
4. ราคา ทอง น้ำมัน ที่แพงขึ้น จะเป็นสิ่งสะท้อนว่าเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น
ตลาดสหรัฐอเมริกา
- เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มยังไม่ดีขึ้น ในปีนี้ ภาระหนี้สินจำนวนมหาศาลยังเป็นตัวถ่วงการเติบโต
- กำลังซื้อผู้บริโภคยังจะลดลงอย่างต่อเนื่อง อัตราการว่างงานสูงกว่าร้อยละ 10 นอกจากนี้รัฐบาลมีแนวโน้มจะขึ้นภาษี
ตลาดสหภาพยุโรป
สหราชอาณาจักร
- สถานการณ์เดียวกันกับสหรัฐอเมริกา ยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว
อิตาลี
- สินค้าแบรนด์เนม ได้รับผบกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจค่อนข้างมาก
ฝรั่งเศส
- ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากวิกฤตเท่าใดนัก ทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจค่อนข้างดี
ตลาดญี่ปุ่น
- การฟื้นตัวจะอ่อนไหว และช้า ค่าเงินเยน จะลดลงต่อเนื่อง
- จะมีประชากรที่สูงวัยมากขึ้น ด้วยรายได้ที่น้อยลง
- ภาระหนี้สินจำนวนมากของประเทศ และไม่มีทรัพยากรจะเป็นตัวฉุดเศรษฐกิจ
ตลาดจีน
- เศรษฐกิจโตในอัตราร้อยละ 8 ในปี 2552 และคาดว่าปีนี้จะโตในอัตราร้อยละ 9
- การเติบโตของเศรษฐกิจ 1 ใน 3 มาจากการบริโภคภายในประเทศ 2 ใน 3 มาจากการลงทุนของต่างประเทศ
- ปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนในปี 2553 ได้แก่การใช้จ่ายในประเทศ
ตลาดอาเซียน
- เศรษฐกิจมีแนวโน้มการฟื้นตัวดี โดยเฉพาะเวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซียน
ตลาดละตินอเมริกา
- บราซิล มีตลาดภายในประเทศที่เข้มแข็ง ทำให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างมีเสถียรภาพ
ตลาดตะวันออกกลาง
- ราคาน้ำมันดิบจะเป็นตัวสร้างความแข็งแกร่งในเศรษฐกิจ คาดว่าการฟื้นตัวจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว
ตลาดยุโรปตะวันออกและกลาง
- ภาวะเศรษฐกิจยังอ่อนไหว เนื่องจากผลกระทบของภาระหนี้ในยุโรปตะวันตก
- หันกลับไปสู่พื้นฐาน (Back to Basic) และระมัดระวังในการใช้จ่าย
- จะใช้ชีวิตในบ้านมากขึ้น สินค้าที่เกี่ยวกับการใช้ชีวิตในบ้านจะขายดี
- จะเลือกสินค้าจากความสามารถในการใช้งาน มากกว่าสิ่งฟุ่มเฟือยอื่นๆ
- สินค้าอุสาหกรรม เช่น อิเลคทรอนิกส์ เสื้อผ้า ของเล่น นาฬิกา จะเน้นประโยชน์การใช้งานมากกว่าดีไซนื
- สินค้าที่คุ้มค่าเงิน จะเป็นสินค้าฮิตในปีนี้
- แม้การเพิ่มค่าเงินหยวน เป็นแรงกดดันให้ต้นทุนการผลิตสินค้าของจีนเพิ่มขึ้น แต่ด้วยเทคโนโลยีและแรงงานที่มีอยู่ ก็ยังทำให้จีน เป็นแหล่งผลิตสินค้าจำนวนมาก (mass production) ที่น่าสนใจของนักลงทุนต่อไป
การส่งออก จะเติบโตร้อยละ 5
การนำเข้า จะเติบโตร้อยละ 4
ปี 2553 เป็นปีของการฟื้นฟูตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลก เศรษฐกิจฟองสบู่จะมีให้เห็นแต่การฟื้นตัวที่แท้จริงจะปรากฎให้เห็นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีหน้า (2554)
สคร.ณ เมืองฮ่องกง
ที่มา: http://www.depthai.go.th