สรุปภาวะการค้าระหว่างประเทศไทย - ญี่ปุ่น ปี 2552 (ม.ค.—พ.ย.) สรุปจากสถิติ Menucom กรมส่งเสริมการส่งออก

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday January 27, 2010 15:12 —กรมส่งเสริมการส่งออก

ข้อมูลทั่วไป:
เมืองหลวง         :  Tokyo
พื้นที่              :  377,899  ตารางกิโลเมตร
ภาษาราชการ       :  Japanese
ประชากร          :  127.8 ล้านคน (February 2008)
อัตราแลกเปลี่ยน     :  100 เยน = 36.320 บาท (05/01/2553)

(1) เครื่องชี้วัดเศรษฐกิจ

ปี 2553 ปี 2554

Real GDP growth (%)                                   1.4        1.0
Consumer price inflation (av; %)                     -0.4        0.8
Budget balance (% of GDP)                              -8       -6.7
Current-account balance (% of GDP)                    2.7        2.7
Commercial banks' prime rate (year-end; %)            1.5        1.9
Exchange rate :US$ (av)                                88         87
Exchange rate : E (av)                              125.2      121.6


โครงสร้างสินค้าออกของไทยกับญี่ปุ่น
                                   มูลค่า :          สัดส่วน %      % เพิ่ม/ลด

ล้านเหรียญสหรัฐฯ

สินค้าออกสำคัญทั้งสิ้น                  14,299.02         100.00        -23.90
สินค้าเกษตรกรรม                     2,088.96          14.61        -22.22
สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร             1,514.26          10.59         -5.38
สินค้าอุตสาหกรรม                    10,413.44          72.83        -22.30
สินค้าแร่และเชื้อเพลิง                    282.36           1.97        -74.38
สินค้าอื่นๆ                                  0              0          -100


โครงสร้างสินค้าเข้าของไทยกับญี่ปุ่น
                                         มูลค่า :          สัดส่วน %      % เพิ่ม/ลด

ล้านเหรียญสหรัฐฯ

นำเข้าทั้งสิ้น                              22,131.19         100.00         -28.69
สินค้าเชื้อเพลิง                               137.33           0.62          33.47
สินค้าทุน                                  8,569.54          38.72         -26.22
สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป                   9,821.44          44.38         -35.05
สินค้าบริโภค                               1,329.85           6.01          -6.70
สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์                    2,271.61          10.26         -17.96
สินค้าอื่นๆ                                     1.42           0.01         -66.77

1. มูลค่าการค้า
มูลค่าการนำเข้า ส่งออก และดุลการค้าของไทย — ญี่ปุ่น
                           2551            2552           D/%

(ม.ค.—พ.ย.) ล้านเหรียญสหรัฐฯ

มูลค่าการค้ารวม             49,827.17      36,430.21      -26.89
การส่งออก                 18,790.56      14,299.02      -23.90
การนำเข้า                 31,036.60      22,131.19      -28.69
ดุลการค้า                 -12,246.04      -7,832.17      -36.04

2. การนำเข้า
ญี่ปุ่นเป็นตลาดนำเข้าอันดับที่ 1 ของไทย มูลค่า 14,441.02 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 35.83
สินค้านำเข้าสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่
                              มูลค่า :          สัดส่วน %      % เพิ่ม/ลด

ล้านเหรียญสหรัฐฯ

มูลค่าการนำเข้ารวม             22,131.19         100.00         -28.69
1.เครื่องจักรกล                 4,258.00          19.24         -28.87
2.เหล็ก เหล็กกล้า               2,601.09          11.75         -47.08
3.แผงวงจรไฟฟ้า                2,166.89           9.79         -12.03
4.เครื่องจักรไฟฟ้า               1,786.91           8.07         -20.62
5.ส่วนประกอบ                  1,789.91           8.07         -20.62
         อื่น ๆ                4,496.59          20.32         -22.14

3. การส่งออก
ญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 2 ของไทย มูลค่า 9,811.74 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 28.42
สินค้าส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่
                                 มูลค่า :          สัดส่วน %      % เพิ่ม/ลด

ล้านเหรียญสหรัฐฯ

มูลค่าการส่งออกรวม               14,299.02          100.00         -23.90
1.เครื่องคอมพิวเตอร์ฯ                918.51            6.42          -9.02
2.แผงวงจรไฟฟ้า                    813.05            5.69         -20.16
3.ไก่แปรรูป                        614.63            4.30           2.00
4.อาหารทะเลกระป๋องฯ               500.09            3.50          -2.87
5.รถยนต์ อุปกรณ์ฯ                   492.72            3.45         -46.21
        อื่น ๆ                   8,989.21           62.87         -24.06

4. ข้อสังเกต
4.1 สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปญี่ปุ่น ปี 2552 (ม.ค.—พ.ย.) ได้แก่

เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ : ญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 4 ของไทยปี 2552 (ม.ค.-พ.ย) ไทยส่งออกเครื่องคอมพิวเตอร์ฯ มูลค่า 918.51 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 9.02 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2551 ในขณะเดียวกันญี่ปุ่นนำเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ฯ เป็นอันดับ 2 รองจากจีน โดยมีประเทศสิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ เป็นตลาดนำเข้าของญี่ปุ่นอันดับที่ 4 และ 5 ตามลำดับ

แผงวงจรไฟฟ้า : ญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 2 ของไทยรองจากฮ่องกง และเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2551 — 2552 (ม.ค.-พ.ย.) มีอัตราการขยายตัวลดลงร้อยละ 20.16 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2551 โดยมีประเทศสิงคโปร์ และจีน เป็นอันดับ 3 และ 4 ตามลำดับ

ไก่แปรรูป : ญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของไทย และเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2551-2552 (ม.ค.-พ.ย.)พบว่ามีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลา เดียวกันของปีก่อน

อาหารทะเลกระป๋องฯ : ญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 2 ของไทย รองจากสหรัฐฯ และเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2551-2552 (ม.ค.-พ.ย.) พบว่า ปี 2552 มีอัตราการขยายตัวลดลง ร้อยละ 10.01 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

รถยนต์ อุปกรณ์ฯ : ญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 6 ของไทยและเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2551-2552 (ม.ค.-พ.ย.) พบว่า ปี 2552 มีอัตราการขยายตัวลดลง ร้อยละ 46.21 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

4.2 ในบรรดาสินค้าส่งออกจากไทยไปตลาดญี่ปุ่น ปี 2552 (ม.ค.—พ.ย.) 25 รายการแรกสินค้าที่มีอัตราเพิ่มสูง ได้แก่
       อันดับที่ / รายการ                    มูลค่า         อัตราการขยายตัว
                                     ล้านเหรียญสหรัฐ          %
3.  ไก่แปรรูป                             614.63            2.00
14. เตาอบไมโครเวฟและเครื่องใช้ไฟฟ้า         269.19           10.12
17. กุ้งสดแช่เย็น แช่แข็ง                     245.71           22.40
28. เครื่องสำอาง  สบู่                      242.37           61.56


4.3 ในบรรดาสินค้าส่งออกจากไทยไปตลาดญี่ปุ่น ปี 2552 (ม.ค.- พ.ย.) 10 รายการแรก สินค้าที่มีอัตราลดลง ได้แก่
         อันดับที่ / รายการ                               มูลค่า           อัตราการขยายตัว
                                                  ล้านเหรียญสหรัฐ             %
1.เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ                         918.51              -9.02
2.แผงวงจรไฟฟ้า                                        813.05             -20.16
4.อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป                            500.09              -2.87
5.รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ                            492.72             -46.21
6.ผลิตภัณฑ์พลาสติก                                       409.82             -14.64
7.เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ                        406.59             -24.97
8.ยางพารา                                            403.35             -57.62
9. เลนซ์                                              378.56             -23.23
10.ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม                                     372.47             -10.81
11.เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์                             333.58             -22.77
12.เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักร                 307.55             -35.89


4.4  ข้อมูลเพิ่มเติม

นายมูเนะโนริ ยามาดะ ประธานเจโทรหรือองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่นเข้าพบนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว.อุตสาหกรรม เมื่อวันที่ 6 ม.ค.2553 โดยได้แจ้งความประสงค์ว่า ต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหา ศาลปกครองกลางสั่งระงับ 65 โครงการมาบตาพุดให้จบภายใน 2-3 เดือน พร้อมย้ำถึงความเสียหายว่า “ปัญหาที่เกิดขึ้นส่งผลให้นักลงทุนญี่ปุ่นมองว่า ประเทศไทยไม่ได้เป็นอันดับ 1 ของประเทศที่น่าลงทุนในเอเชียอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่รัฐบาลควรทำขณะนี้คือประเมินความเสียหายทุกโครงการแบบรายวันเพื่อให้ทราบผลกระทบที่แท้จริงจะได้รีบดำเนินการแก้ไข ไม่ใช่แค่ดูว่าหลังเกิดกรณีนี้ขึ้น นักลงทุนญี่ปุ่นจะย้ายไปลงทุนที่ไหน” หลังจากนั้นนายมูเนะโนริ ยามาดะ ยังเดินทางเข้าหารือกับ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้รัฐบาลไทยประสานหาแหล่งเงินกู้ให้กับบริษัทญี่ปุ่นที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ที่เริ่มมีปัญหาขาดสภาพคล่อง และเงินสดหมุนเวียนในการบริหารจัดการ โดยเฉพาะบริษัทที่เปิดดำเนินการอยู่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะทำสัญญาเงินกู้ในลักษณะเงินกู้ร่วมลงทุน (Syndicate Loan) จากธนาคารในหลายประเทศ เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง ซึ่งเริ่มไม่ปล่อยเงินกู้ก้อนใหม่ให้ ขณะที่แต่ละบริษัทก็ไม่สามารถกลับไปขอเงินทุนเพิ่มเติมจากในประเทศญี่ปุ่นได้ เพราะจะถูกผู้ถือหุ้นมองว่าโครงการมีปัญหาโดยนายกอร์ปศักดิ์ ได้ตอบไปว่าเป็นนโยบายของรัฐบาลอยู่แล้ว โดยที่ผ่านมาได้ให้ รมว.คลังประสานงานกับธนาคารกรุงไทย เพื่อที่จะให้การสนับสนุนในเรื่องนี้

หนังสือพิมพ์โยมิอุริชิมบุนของญี่ปุ่นรายงานว่า เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (5 ม.ค.) ผู้นำของ 3 องค์กรหลักภาคธุรกิจเอกชนของญี่ปุ่นได้ออกแถลงข่าวร่วมกัน โดยนายฟูจิโอะ มิตะระอิ ประธานสมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น หรือ นิปปอน เคดันเร็น สภาหอการค้าและอุตสาหกรรม และสมาคมผู้บริหารองค์กรธุรกิจแห่งญี่ปุ่นได้มาแสดงความเห็นว่า เศรษฐกิจของประเทศจะมีการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จากแรงขับเคลื่อนของภาคการส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากเศรษฐกิจในภาพรวมมีการฟื้นตัวขึ้นแล้ว โดยมีปัจจัยหนุนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจในเอเชีย ขณะเดียวกันผู้นำของ 3 องค์กรใหญ่ดังกล่าวยังได้ แสดงความคาดหวังและความกังวลใจเกี่ยวกับยุทธศาสตร์กระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจฉบับใหม่ที่คณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเพิ่งลงมติรับรองเมื่อวันที่ 30 ธันวาคมที่ผ่านมา

ภายใต้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว รัฐบาลญี่ปุ่นมีเป้าหมายผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่อัตราเฉลี่ยกว่า 3% ต่อปี แต่หากปรับตัวเลขเงินเฟ้อแล้วเป้าหมายจีดีพีอยู่ที่กว่า 2% นับจากปีงบประมาณล่าสุดถึงปี 2020 (พ.ศ.2563) ซึ่งเท่ากับการขยายตัว 1.5 เท่าของมูลค่าจีดีพีปัจจุบัน เป้าหมายส่วนหนึ่งก็เพื่อส่งเสริมให้มีการสร้างงานใหม่ 4.7 ล้านตำแหน่งงานภายในปี 2563 และ 3 ภาคธุรกิจเป้าหมายที่รัฐบาลญี่ปุ่นมุ่งสร้างการขยายตัวได้แก่ธุรกิจการท่องเที่ยว การส่งเสริมสุขภาพและโรงพยาบาล ตลอดจนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งแวดล้อม

นายมิตะระอิ ซึ่งเป็นผู้นำองค์กรธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดและทรงอิทธิพลที่สุดในญี่ปุ่นกล่าวว่า รัฐบาลไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากจำเป็นต้องดำเนินการมาตรการต่าง ๆ ในแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นกลับมาตั้งลำได้อย่างแข็งแรงอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการปฏิรูปทางด้านภาษี และการผ่อนคลายกฎระเบียบเพื่อส่งเสริมกิจกรรมการลงทุนของบริษัทเอกชน และยังย้ำด้วยว่าญี่ปุ่นจำเป็นต้องเพิ่มความสัมพันธ์กับประเทศอื่น ๆ ในเอเชียเพื่อเร่งให้เศรษฐกิจของประเทศกลับมาสู่ความแข็งแกร่ง ขณะเดียวกันนายทาดาชิ โอกามูระ ประธานหอการค้าและอุตสาหกรรมได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลให้การส่งเสริมการลงทุนของเอกชนในโครงการด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากโครงการดังกล่าวจะกลายเป็นแก่นแกนของนโยบายหลักระดับชาติของญี่ปุ่นในอนาคต

ทางด้านนายมาสะมิตสุ ซากุระอิ ประธานสมาคมผู้บริหารองค์กรธุรกิจ หรือ สมาคมเคไซโดยุไค เน้นว่า ภาคเอชนมีบทบาทสำคัญยิ่งในการพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสู่ตลาด “เอกชนจำเป็นต้องช่วยตนเองด้วยเช่นกัน เพราะท่ามกลางภาวะที่รัฐบาลมีภาระหนี้สินมหาศาลการใช้จ่ายงบประมาณย่อมมีข้อจำกัดมาก”

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ