การดำเนินการตามนโยบายหัวหน้ากลุ่มสินค้า(Chiefs of Products) ของนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ที่ให้แบ่งกลุ่มการดูแลสินค้าส่งออกเป็นรายสินค้า และรายตลาดนั้น จะมีส่วนช่วยผลักดันให้การส่งออกสินค้าไทยปี 53 เป็นไปตามเป้าหมายการเติบโตที่ 14% คิดเป็นมูลค่า 173,852 ล้านดอลลาร์
นางศรีรัตน์ รัษฐปานะ อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยว่า ปีนี้การส่งออกสินค้าไทยต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทั้งแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรปที่อาจจะฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้, ทิศทางและแนวโน้มของราคาน้ำมันตลาดโลกที่ยังเพิ่มสูงขึ้นและยังผันผวน, ความไม่มีเสถียรภาพของค่าเงินบาท, การขาดแคลนแรงงานของอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น และมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศต่างๆ
อย่างไรก็ดี เชื่อว่าการดำเนินการตามนโยบายหัวหน้ากลุ่มสินค้า(Chiefs of Products) ของนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ที่ให้แบ่งกลุ่มการดูแลสินค้าส่งออกเป็นรายสินค้า และรายตลาดนั้น จะมีส่วนช่วยผลักดันให้การส่งออกสินค้าไทยปี 53 เป็นไปตามเป้าหมายการเติบโตที่ 14% คิดเป็นมูลค่า 173,852 ล้านดอลลาร์ จากปัจจัยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ที่จะขยายตัวขึ้นร้อยละ 3.1 การจัดทำเขตการค้าเสรีระหว่างไทยกับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอาเซียน รวมถึงสินค้าไทยเป็นที่ยอมรับในคุณภาพและมาตรฐานของต่างชาติ อีกทั้งสินค้าของประเทศคู่แข่งอย่างจีนมีปัญหาทางด้านคุณภาพและมาตรฐาน แต่อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยในปีนี้ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่อาจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ ราคาน้ำมันที่ยังผันผวน ปัญหาค่าเงินบาท การขาดแคลนแรงงานและมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี ทั้งนี้แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2553 เริ่มฟื้นตัวขึ้น แต่หลายสำนักในต่างประเทศมองเศรษฐกิจโลกเพิ่งฟื้นไข้และยังมีอีกหลายปัจจัยที่อาจทำให้เศรษฐกิจโลกทรุดตัวลงได้ ดังนั้น กรมส่งเสริมการส่งออกจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด อีกทั้งจะต้องเร่งเจาะตลาดในปีนี้ คือ จีน อินเดีย บราซิล แอฟริกาใต้ ตะวันออกกลาง
สำหรับความคืบหน้านโยบายหัวหน้ากลุ่มสินค้านั้น ขณะนี้แต่ละกลุ่มสินค้าได้กำหนดเป้าหมายการส่งออก, โอกาส, วิธีการปฏิบัติ, กิจกรรม, ตลาดเป้าหมาย รวมถึงปัญหาและอุปสรรคเสร็จสิ้นแล้ว โดยจะนำรายงานให้ รมว.พาณิชย์ รับทราบวันพรุ่งนี้ (29 ม.ค.) โดยกลุ่มสินค้าเกษตรและอาหารที่ตนเป็นหัวหน้ากลุ่มนั้น มองว่าสินค้าที่น่าจะเจาะตลาดก่อน ได้แก่ ไก่สดแช่เย็น-แช่แข็ง หลังจากที่เร็วๆ นี้หลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น รัสเซีย ยกเลิกการห้ามนำเข้าสินค้าดังกล่าวจากไทย เพราะไม่พบการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกแล้ว
“เมื่อก่อนเราเคยส่งออกไก่สดได้มาก แต่หลังจากไข้หวัดนกระบาด ถูกหลายประเทศห้ามนำเข้า ทำให้เราเสียส่วนแบ่งตลาดไปมาก แต่เมื่อเร็วๆ นี้ ประเทศเหล่านั้นได้ยกเลิกการห้ามนำเข้าแล้ว เราจึงต้องเร่งบุกส่งออกเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดคืนมา โดยเฉพาะในตลาดหลัก เช่น ยุโรป, อาหรับเอมิเรตส์, ญี่ปุ่น ส่วนตลาดรอง เช่น รัสเซีย” นางศรีรัตน์ กล่าว
ที่มา: http://www.depthai.go.th