ช่วงระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา รัฐบาลอิหร่านมอบหมายให้หน่วยงานของอิหร่าน คือ Government Trading Corporation (GTC) เป็นผู้ผูกขาดการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศแต่เพียงผู้เดียว โดยนำเข้าข้าวผ่านการประมูล ซึ่งข้าวสารที่ GTC นำเข้านั้น ก็เพื่อแทรกแซงราคาข้าวและป้องกันปัญหาขาดแคลนข้าวภายในประเทศ และประเทศไทยได้เคยส่งออกข้าวขาว 100% ชั้น 2 ให้อิหร่านจำนวนหลายแสนตันต่อปี
อย่างไรก็ดี ในปี 2551 ราคาข้าวในตลาดโลกสูงขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้ราคาข้าวสารในตลาดอิหร่านขยับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเพื่อแก้ปัญหาราคาข้าวและป้องกันปัญหาขาดแคลนข้าวภายในประเทศ รัฐบาลอิหร่านเปลี่ยนนโยบายจากเดิมให้ GTC ผูกขาดการนำเข้า มาสนับสนุนให้ผู้นำเข้าข้าวเอกชนอิหร่านนำเข้าข้าวจากต่างประเทศแทน โดยรัฐบาลได้ลดภาษีการนำเข้าข้าวทุกชนิดจากเดิมร้อยละ 140 เหลือร้อยละ 4 เพื่อสร้างแรงจูงใจในการนำเข้าข้าว ซึ่งผู้นำเข้าภาคเอกชนอิหร่านได้เริ่มนำเข้าข้าวบาสมาติกจากอินเดียและปากีสถานเข้าสู่ตลาดอิหร่านเป็นจำนวนมาก ในขณะที่ข้าวไทยไม่มีการนำเข้าเท่าที่ควร
ในปี 2552 เกษตรกรผู้ผลิตข้าวในอิหร่านได้ประท้วงรัฐบาลและขอให้กีดกันการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศ โดยอ้างว่าการนำเข้าข้าวทำลายภาคการผลิตข้าวของอิหร่าน รัฐบาลจึงออกกฎหมายขึ้นภาษีนำเข้าข้าวเป็นร้อยละ 45 และเก็บค่าธรรมเนียมปกป้องเกษตรกรอิหร่านอีกตันละ 150 เหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ปัจจุบัน ข้าวนำเข้าจากต่างประเทศมีราคาขยับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ต้นปี 2553 กระทรวงพาณิชย์อิหร่าน ได้ระงับการออกใบอนุญาตนำเข้าข้าวทุกชนิด เพื่อแก้ปัญหาราคาข้าวในประเทศตกต่ำ ทำให้ราคาข้าวสารในประเทศมีราคาสูงขึ้น คาดว่ารัฐบาลอิหร่านจะผ่อนผันให้นำเข้าอีกครั้งหลังเดือนมีนาคม 2553
3.1. พื้นที่
พื้นที่เพาะปลูกข้าวของอิหร่านส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในบริเวณภาคเหนือของประเทศ โดยจังหวัดที่มีการปลูกข้าวมากที่สุดได้แก่ จังหวัดกีลอน (Gilan) และมอซันดะรอน (Mazandaran) รองลงมาได้แก่จังหวัดกุลิสตอน (Golestan) อิสฟาฮาน (Isfahan) คุรอซาน (Khorasan) ส่วนจังหวัดอื่นๆ เช่น จังหวัดที่ตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศมีการเพาะปลูกข้าวเพื่อการบริโภคภายในท้องถิ่นเท่านั้น การปลูกข้าวของอิหร่านมี 2 แบบคือ แบบนาดำและแบบนาหว่าน ซึ่งเกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าว อิหร่านนิยมปลูกข้าวโดยใช้วิธีการดำ มากกว่าการปลูกข้าวแบบนาหว่าน
ปัจจุบันประเทศอิหร่านมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวหอมบนพื้นที่ของประเทศกว่า 600,000 เฮกเตอร์ ใน 15 จังหวัดของประเทศ แต่ทั้งนี้ พื้นที่หลักกว่าร้อยละ 80 จะผลิตในจังหวัดมาร์ซานดาราน Mazandaran (ประมาณ 265,000 เฮกเตอร์) และจังหวัดกีลาน Gilan (ประมาณ 230,000 เฮกเตอร์) นอกจากนี้จังหวัดที่สำคัญได้แก่ จังหวัดอิสฟาฮาน (Isfahan) อาเซอร์ไบจานตะวันตก (West Azerbaijan) และกุลลิสตาน (Gulistan)
3.2. ปริมาณ
ประเทศอิหร่านสามารถผลิตข้าวได้ในปริมาณ 2 ล้านตันต่อปี มีอัตราการผลิต ประมาณ 3,780 กิโลกรัมต่อเฮกเตอร์ ข้าวที่ผลิตเพาะปลูกบนพื้นที่ชื้นและบนดินที่มีค่าปกติ (pH 7.0 -7.5) และเพาะปลูกเป็นข้าวนาปี เพาะปลูกในระหว่าง เดือนเมษายน/พฤษภาคม ถึง เดือนสิงหาคม/กันยายน โดยใช้เวลาจากการเพาะปลูกถึงเวลาเก็บเกี่ยวประมาณ 110-125 วัน แต่มีเพียงบางพื้นที่ของสองจังหวัดที่สามารถเพาะปลูกข้าวนาปรังได้สำหรับสถิติการผลิตนั้น
ข้าวอิหร่านที่นิยมปลูกและได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวอิหร่านได้แก่ ข้าวพันธ์เฟ่ะเรดูนเค่ะนอร (Feredon Kenar) ซึ่งเป็นข้าวหอมพันธ์ที่ดีที่สุดและมีราคาแพงที่สุด ส่วนพันธ์ข้าวที่ได้รับความนิยมอันดับรองลงมาคือ ข้าวหอมพันธ์ทอรุม (Tarom) ดุมซิยอฮ์ (Dom Seyah) ซัดรี ( Sadri) อะลอเย่ะอัชรัฟฟี (Alaye Ashrafif) กุลสิสตอน (Goolestan) เลนจูนเน่ะอิสฟาฮาน (Lenjoone Isfahan) ส่วนข้าวหอมดูดี (Dodi) เป็นข้าวสารที่ได้รับการเพิ่มความหอมโดยการรมควัน ซึ่งเมื่อเกษตรกรทำการเก็บเกี่ยวต้นข้าวและแยกเมล็ดออกจากรวงข้าวแล้ว จะนำเมล็ดข้าวสารที่ได้ไปรมควันกับไม้หรือถ่าน เพื่อช่วยเพิ่มความหอมของข้าว
3.3. ผลผลิต
ปริมาณข้าวที่ประเทศอิหร่านผลิตประมาณร้อยละ 80 เป็นข้าวหอม เพราะเป็นที่ต้องการของตลาดภายในประเทศ และสามารถขายได้ในราคาที่สูง ทั้งที่สามารถผลิตได้ในอัตราที่ต่ำ (โดยเฉลี่ยประมาณ 2.5 — 3 ตันต่อเฮกเตอร์) รูปร่างข้าวหอมของประเทศอิหร่านจะมีความคล้ายคลึงกับข้าวบัสมาติ และรูปร่างเรี่ยวยาว ปัจจุบันข้าวหอมพันธุ์พื้นเมืองที่นิยมเพาะปลูกได้แก่ พันธุ์ Hasan sarai, Domsiah, Binam, Hasani, Salari, Ambarboo, และ Sang tarom
4.1. ประเภทข้าว
ระดับคุณภาพของข้าวหอมของประเทศอิหร่าน สามารถจำแนกได้เป็น 3 ระดับ ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดตามกายภาพและราคาของตลาด ได้แก่
- ระดับ Sadri มีขนาดเรียวยาวมาก เมล็ดขนาดความยาวมากกว่า 7 มม. มีคุณภาพสูง มีความหอมสูง หุงง่าย โดยมีอัตราการเพาะปลูกเฉลี่ยประมาณ 5 ตันต่อเฮกเตอร์ จำหน่ายในตลาดในราคาสูงที่สุด
- ระดับ Champa ความเรียวยาวขนาดกลาง เมล็ดขนาดกลาง ราคาในตลาดต่ำกว่าระดับ Sadri แต่มีความคงทนต่อสภาพแวดล้อม แมลงและโรคได้ดีกว่า ทั้งปริมาณผลิตต่อหน่วยสูง
- ระดับ Gerdeh ขนาดเมล็ดสั้น ไม่มีกลิ่นหอมและราคาต่ำในตลาด แต่มีผลผลิตสูงต่อหน่วย มีความคงทนต่อสภาพแวดล้อม แมลงและโรคมากกว่าทั้งสองกลุ่ม
อิหร่านเป็นประเทศที่บริโภคข้าวเป็นอาหารหลักเช่นเดียวกับประเทศไทย โดยในแต่ละปี อิหร่านมีความต้องการบริโภคข้าวปีละ 3.6 ล้านตัน แต่มีผลผลิตภายในประเทศปีละ 2 ล้านตัน จึงจำเป็นต้องนำเข้าข้าวปีละ 1.6 ล้านตัน
รสนิยมการบริโภคข้าวของประชาชนอิหร่านมีลักษณะโดยรวมดังนี้
- เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจอิหร่านไม่ดีนัก ประชาชนจะนิยมซื้อข้าวบรรจุในถุงขนาดเล็กขนาด 5 ถึง 10 กิโลกรัม โดยจะไม่ซื้อข้าวปริมาณมากๆ ไปเก็บในบ้าน
- ชาวอิหร่านนิยมหุงข้าวปริมาณมากๆ แล้วอุ่นรับประทานใหม่ (Re-cooked) เป็นครั้งๆ ไปจนหมด ดังนั้น ข้าวที่อุ่นใหม่แล้วเสียคุณภาพ จะไม่เป็นที่นิยม
- ข้าวที่ชาวอิหร่านนิยมรับประทาน จะเป็นข้าวที่หุงแล้วร่วนซุย ขาว และมีเมล็ดยาว (non-sticky and long grain) หรือเป็นข้าวที่มีกลิ่นรมควัน ซึ่งหากข้าวมีคุณภาพใกล้เคียงกับข้าวหอมชั้นเลิศของอิหร่านเท่าใด ก็จะเป็นที่นิยมมากขึ้นเท่านั้น
- ในตลาดอิหร่าน ข้าวบรรจุถุงจะแข่งขันโดยใช้ยี่ห้อประทับบนถุง เพื่อเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่สร้างความแตกต่าง โดยจะวางขายทั้งในลักษณะแบ่งชั่งกิโลขายหรือบรรจุถุงขาย 3
- สำหรับร้านอาหารทั่วไป จะหุงข้าวในหม้อขนาดใหญ่ที่มีวิธีการหุงแตกต่างจากหม้อขนาดเล็กที่ใช้ในครัวเรือน และจะตักข้าวเพื่อบริการลูกค้าเป็นจานๆ ไป ดังนั้น ข้าวที่หุงในหม้อขนาดใหญ่จะต้องมีคุณภาพดีเสมอกันทั้งหม้อเท่านั้นจึงจะเป็นที่นิยม
5.1. ช่องทางการจัดจำหน่ายข้าวในอิหร่านมีสองช่องทางได้แก่
- จำหน่ายโดยรัฐบาลหรือสหกรณ์ โดยรัฐบาลหรือสหกรณ์จะประกาศเปิดประมูลข้าวสาร โดยให้เอกชนอิหร่านเป็นผู้เสนอราคา เพื่อไปจำหน่ายในร้านค้าของรัฐบาล เพื่ออุดหนุนค่าครองชีพของประชาชน
- จำหน่ายโดยภาคเอกชน ผู้นำเข้ารายย่อยเป็นผู้นำเข้าข้าว เพื่อจำหน่ายในร้านค้าย่อยทั่วไปในอิหร่าน
5.2. ราคาจำหน่ายในประเทศ
ราคาข้าวในอิหร่านสามารถแบ่งออกได้เป็นสามระดับดังนี้
- ระดับบน ได้แก่ข้าวหอมชั้นเลิศของอิหร่าน ราคาประมาณกิโลกรัมละ 3 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งข้าวชนิดนี้มีความหอมและมีเมล็ดข้าวเรียวยาว ผู้บริโภคจะเป็นกลุ่มที่มีรายได้สูง และบางรายมีที่นาเป็นของตัวเอง และจ้างชาวนาปลูกข้าวหอมชั้นเลิศ เพื่อบริโภคเองในครอบครัวและญาติมิตรเท่านั้น
- ระดับกลาง ได้แก่ข้าวหอมชั้นกลางและข้าวบาสมาติก ราคาประมาณกิโลกรัมละ 2.4 เหรียญสหรัฐฯ เป็นข้าวที่มีเมล็ดยาว ผู้บริโภคเป็นกลุ่มชนชั้นกลางที่มีรายได้ปานกลาง
- ระดับล่าง ได้แก่ข้าวอุรุกวัยและข้าวขาว100% ชั้น 2 ของไทย ราคาประมาณกิโลกรัมละ 1.3 เหรียญ เป็นข้าวคุณภาพต่ำ ซึ่งรัฐบาลให้การอุดหนุนให้เป็นข้าวราคาถูกสำหรับผู้บริโภคที่มีรายได้น้อย
ตามสถิติของกรมศุลกากรอิหร่านพบว่า ในปี 2548 อิหร่านนำเข้าข้าวสารจำนวน 1,044,609 ตัน คิดเป็นมูลค่า 345,284,000 เหรียญสหรัฐฯ และในปี 2549 อิหร่านนำเข้าข้าวสารปริมาณ 1,216,192 ตัน เป็นมูลค่า 403,188,000 เหรียญสหรัฐฯ การนำเข้าข้าวสารในปี 2549 เทียบกับการนำเข้าในปี 2548 เพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและมูลค่าคิดเป็นปริมาณการนำเข้าเพิ่มขึ้นในอัตราส่วนร้อยละ 16.4 และร้อยละ 16.8 ตามลำดับ ทั้งนี้ในปี 2549 อิหร่านนำเข้าข้าวสารมากกว่าปี 2548 ในปริมาณ 171,533 ตัน คิดเป็นมูลค่า 57,904,000 เหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ ในปี 2550 การนำเข้าข้าวสารของอิหร่านลดปริมาณลง โดยมีการนำเข้าจำนวน 1,062,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 417 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่ในปีที่ผ่านมาการนำเข้าข้าวสารขยับตัวสูงขึ้น โดยมีการนำเข้าจำนวน 1,383,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 790 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเทียบกับปีก่อนหน้าการนำเข้าเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและมูลค่าในอัตราส่วนร้อยละ 30 และ 85 ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม การนำเข้าในปี 2552 ยังคงขยับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาสแรกของปีงบประมาณอิหร่าน (มีนาคม-มิถุนายน 2552) อิหร่านนำเข้าข้าวสารจำนวน 368,000 ตัน มูลค่า 310 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นปริมาณและมูลค่าในอัตราส่วนร้อยละ 3 และ 2.66 ของสินค้านำเข้าทั้งหมด ขณะที่ในระยะเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมามีการนำเข้าในปริมาณ 250,000 ตัน มูลค่า 97 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นปริมาณและมูลค่าในอัตราส่วนร้อยละ 2.77 และ 0.74 ของสินค้านำเข้าทั้งหมด ดังนั้นอิหร่านมีการนำเข้าข้าวสารในปีปัจจุบันเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและมูลค่าในอัตราส่วนร้อยละ 46.79 และ 219.35 ตามลำดับ
ในปี 2552 อิหร่านนำเข้าข้าวจากไทยเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 16 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากปี 2551 ร้อยละ 79.89 ดังตาราง
มูลค่าการส่งออกข้าวไทยไปตลาดอิหร่าน ปี 2549-2552 มูลค่า : ล้านเหรียญ 2549 2550 2551 2552% เปลี่ยน ข้าว 201.4 200.6 79.6 16.0 -79.9 ที่มา : ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร
ในปี 2552 อิหร่านนำเข้าข้าวจากไทยเป็นปริมาณทั้งสิ้น 24144.19 ตัน ลดลงจากปี 2551 ร้อยละ 84.3 ดังตาราง
ปริมาณการส่งออกข้าวของไทยไปตลาดอิหร่าน ปี 2549-2552 หน่วย : ตัน 2549 2550 2551 2552% เปลี่ยน ข้าว 650,696.7 615,904.3 153,596.4 24,144.2 -84.3 ที่มา :กรมการค้าต่างประเทศ สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงเตหะราน ที่มา: http://www.depthai.go.th